ลั่วซางรับตราประจำตัวมาพลางขมวดคิ้วมุ่น เมื่อนึกถึงหลงเหยียนที่สร้างปัญหาให้กับน้องชายและตระกูล อีกทั้งยังเสียมารยาทต่อลุงสอง นั่นเป็การท้าทายอำนาจในเนินดาราของพวกเขาเชียวนะ
“เ้ากล้าหยามศักดิ์ศรีพวกเราตระกูลลั่ว ทั้งยังมาสำนักตงฟางที่ข้าดูแล เช่นนั้นเ้าอย่าโทษข้าก็แล้วกัน”
ลั่วซางเก็บตราประจำตัวไว้ในเสื้อของตนแล้วพูดเสียงดัง “ไอ้หนุ่ม ไม่แน่เ้าอาจเก็บตราประจำตัวนี่มาจากไหนก็ได้ ตอนนี้ข้าพบมันแล้ว แล้วข้าจะนำกลับคืนเ้าของเอง ส่วนเ้า รีบไสหัวไปดีกว่า เพราะพลังระดับชีพัขั้นแปดไม่มีสิทธิ์เข้าตระกูลอู่ตี้”
“ไม่มีสิทธิ์อย่างนั้นหรือ?” หลงเหยียนโมโหมาก อย่างไรก็ตาม เพราะลั่วซางแข็งแกร่งมากกว่าเขาหลายเท่า เขาจึงทำอะไรไม่ได้
มองลั่วซางและลั่วเฉิง หลงเหยียนก็โกรธจนอยากกลืนพวกเขาสองคนลงไปทั้งตัว โดยเฉพาะใบหน้าที่น่ารังเกียจของลั่วเฉิง เพียงแค่เห็น หลงเหยียนก็อยากฆ่าเขาเสียทันที
‘ทำอย่างไรดี? ตอนนี้เ้าหมอนั่นชิงตราประจำตัวไปแล้ว อีกทั้งเว่ยเวยยังไม่ออกมา หรือว่าข้าจะเข้าตระกูลอู่ตี้ไม่ได้แล้วจริงๆ?’
ในที่สุดหลงเหยียนก็ััได้ถึงคำพูดของบิดาแล้ว บิดาเตือนตนก่อนออกเดินทางว่าต้องระวังตัวจากคนอื่นให้มากๆ รวมไปถึงคนใกล้ชิดด้วย ดูเหมือนการมีเื่กับลั่งเฉิงจะเป็การสร้างความลำบากให้ตนจริงๆ
ทุกคนมองสิ่งที่เกิดขึ้น ต่างก็รู้สึกเสียดายแทนหลงเหยียนกันทั้งนั้น
ลั่วเฉิงมองหน้าตาที่บูดบึ้งของหลงเหยียนก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ ครั้งนี้เขากดหลงเหยียนไว้ได้ รู้สึกเบิกบานใจจริงๆ
ลั่วเฉิงกระซิบข้างหูลั่วซางพร้อมเอ่ยว่า “พี่ เราปล่อยให้เขาเข้ามาดีกว่าไหม ดูท่าทางเขาสิ หากเข้าเมืองอู่ตี้ได้จริงๆ เมื่อไร พวกเราค่อยจัดการเขาทีละน้อย แบบนั้นน่าสนุกกว่าเยอะเลยมิใช่หรือ?”
ลั่วซางตาเป็ประกาย “ก็จริงของเ้า เพราะไม่ว่าอย่างไรเ้าหมอนั่นก็มีพลังเพียงขั้นที่แปด ต่อให้แปลงกายได้ก็ยังห่างจากข้าอีกเยอะ เขาก็เหมือนลูกไก่ในกำมือข้า!”
พวกเขาสองพี่น้องหันมายิ้มให้กัน จากนั้นลั่วซางก็มองหลงเหยียน
“ในเมื่อเ้าบอกว่าตัวเองเป็ผู้ฝึกวิชาอสูร เช่นนั้นก็ลองแปลงกายให้ข้าดูเสียหน่อย หากข้าพอใจ ข้าจะยอมให้เ้าเข้ารับการทดสอบ”
หลงเหยียนแสดงสีหน้านิ่งงัน กำหมัดแน่น จากนั้นก็หันไปมองลั่วซางด้วยความโมโห มีคนข้างๆ ตบไหล่เขา
“นี่ เ้าหนุ่ม เ้าเสียสติไปแล้วหรือ ยังไม่รีบใช้ิญญาอสูรแปลงกายอีก ไม่ได้ยินที่ใต้เท้าผู้ฝึกพูดหรือ”
ทันใดนั้น ทุกคนรู้สึกเหมือนแท้จริงแล้วตระกูลอู่ตี้ก็ไม่ได้มืดมนขนาดนั้น อย่างน้อยก็ยังมีเหตุผลอยู่บ้าง
ทว่ามีหรือที่หลงเหยียนจะไม่เข้าใจ สองพี่น้องนั่นอยากให้ตนเข้าไปในเมืองอู่ตี้ อยากรังแกตนน่ะสิ ถึงอย่างไรหลงเหยียนไม่กลัวหรอก อีกหน่อยพวกเขาสองคนต้องผิดหวังแน่
จากนั้นหลงเหยียนก็ใช้กายธาตุพลังแปลงกายเป็หมีทะลวงอีกครั้ง รังสีพลังก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
เมื่อเห็นร่างหมีทะลวง ลั่วซางก็หัวเราะอย่างสดใส ใบหน้าแสดงถึงความพึงพอใจ
“อ้อ ในเมื่อเป็ผู้ฝึกวิชาอสูร น่าเสียดายที่ต่อให้เ้าจะใช้ร่างอสูร ทว่าพละกำลังก็ยังไม่พอ ดูจากท่าทางที่น่าเวทนาของเ้าแล้ว อีกทั้งเดินทางมาไกล ครั้งนี้ข้าจะเมตตาเ้าสักครั้งก็แล้วกัน”
ทว่ากลับนึกในใจอีกอย่าง ‘รอดูก็แล้วกันว่าอีกหน่อยเ้าจะเจอกับอะไร’ เมื่อพูดจบ ลั่วซางก็หัวเราะด้วยเสียงเยือกเย็น พาลั่วเฉิงเดินจากไป
คนบันทึกเขียนประวัติของหลงเหยียนใหม่อีกครั้ง หันมาสิ่งยิ้มให้ จากนั้นก็มอบเหรียญเจ็ดสีให้หลงเหยียน
“สหายน้อย ดูเหมือนเ้าจะโชคดีไม่น้อยเลย ผู้ฝึกคนนี้น่ะโหดยิ่งนัก ปกติเขาโหดร้ายมาก เมื่อครู่ยังยิ้มให้เ้าอีก ข้าอายุมากกว่าเขาเป็เท่าตัว ทว่าตำแหน่งกลับต่ำกว่า ข้ามีหน้าที่รับสมัครผู้เข้ารับการทดสอบเท่านั้น”
หลงเหยียนพยักหน้า “ขอบคุณพี่ใหญ่”
“อืม ไม่เลว เอาเหรียญเจ็ดสีนี่ไปแล้วเข้าไปรอตรงนั้นเถิด เดี๋ยวจะมีคนมานำทางพวกเ้าเอง ต้องผ่านการคัดเลือกนี้เท่านั้น เ้าถึงจะได้เป็หนึ่งในสมาชิกของตระกูลอู่ตี้ ทว่า… ความหวังเ้าคงน้อยนิด!”
“ต่อให้เ้าไม่ถูกเลือกก็ไม่ต้องเสียใจไป เหรียญเจ็ดสีนี่เป็เหมือนของขวัญที่มอบให้กับคนรุ่นใหม่อย่างพวกเ้า”
เหรียญเจ็ดสีมีมูลค่าสูง ยิ่งแสดงให้เห็นถึงเื้ัที่ยิ่งใหญ่ของตระกูล เพียงแค่เหรียญเจ็ดสีชิ้นนี้ก็มีมูลค่าสูงกว่ากิจการของตระกูลหลงแล้ว
…
ในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ พละกำลังของหลงเหยียนถือว่าต่ำมากจริงๆ แม้กระทั่งผู้ฝึกวิชาอสูรที่เข้าไปก่อนหน้านั้นก็ยังแกร่งกว่าหลงเหยียนนัก
อย่างน้อยคนอื่นก็คิดว่าิญญาอสูรของชายผู้นั้นอยู่ในระดับที่สูงกว่าหลงเหยียน เพราะิญญาอสูรของหลงเหยียนไม่ปรากฏในหินทดสอบมาร
พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าหินทดสอบคนเข้าสมัครจากสถานที่เล็กๆ จะเป็ของวิเศษระดับล่าง จึงััไม่ได้ว่าิญญายุทธ์ของหลงเหยียนคือั
มีราชสีห์หิรัณย์เท่านั้นที่รู้ ระหว่างทาง ราชสีห์หิรัณย์อธิบายให้หลงเหยียนฟังมากมาย
ทุกคนต่างก็ไม่เห็นดีเห็นงามกับหลงเหยียน และแน่นอนว่าหลงเหยียนก็ไม่คิดอธิบายอะไร ไม่นานทุกคนก็ผ่านการสมัครแล้ว จำนวนคนทั้งหมดห้าสิบคน แบ่งออกเป็ห้ากลุ่ม กลุ่มที่หลงเหยียนอยู่มีด้วยกันแปดคน ชายวัยกลางคนและชายอีกคนหนึ่งนำทางพาหลงเหยียนกับพวกมุ่งหน้าไปยังด้านหลังของเมืองอู่ตี้
มันให้ความรู้สึกเหมือนตอนเข้าเรียนที่วิทยาลัยในอดีตเลย คนที่ถูกคัดเลือกเข้าตระกูลอู่ตี้ก่อนหน้านี้ต่างก็ให้ความสนใจกับกลุ่มคนเข้ามาใหม่
หลงเหยียนเดินไปตามแถว ทว่ารังสีพลังจากยอดฝีมือของกลุ่มคนรุ่นก่อนแข็งแกร่งมาก แกร่งจนทำให้หลงเหยียนแทบหายใจไม่ออก
นี่เป็อีกครั้งที่ทำให้หลงเหยียนรู้สึกตะลึง หากไร้พละกำลัง ก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามาอาศัยในตระกูลอู่ตี้ นี่คือความจริงที่แสนโหดร้าย ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเส้นทางของหลงเหยียนนับจากนี้จะเป็อย่างไร ถึงกระนั้น เส้นทางตรงหน้ายากลำบากมากเท่าใด เืในตัวหลงเหยียนก็พลุ่งพล่านมากเท่านั้น และดูเหมือนิญญาัเองก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ชายผู้นั้นพาทุกคนไปยังโรงอาหาร ที่นั่นมีการแยกประเภทอาหาร ยกตัวอย่างเช่น อาหารเจ ส่วนของเนื้อสัตว์ และส่วนของอาหารจำพวกสัตว์ เป็ต้น ซึ่งก่อนหน้านี้หลงเหยียนไม่เคยเจอมาก่อน
เพียงเท่านี้ คนที่มาจากสถานที่เล็กๆ ก็เบิกตากว้างแล้ว หลังจากทานอาหารจนอิ่ม หลงเหยียนก็เรอเสียงดัง และคนที่เพิ่งถูกพาเข้ามาก็ต้องจับคู่นอนห้องเดียวกัน
“วันนี้พวกเ้าก็พักผ่อนให้สบายเถิด ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ก่อน วันรุ่งขึ้นจะพาพวกเ้าไปเข้าการคัดเลือก”
เขากวาดตามองรอบหนึ่ง หลังจากนับจำนวนคนครบแล้วก็เดินจากไป
คนที่ได้นอนห้องเดียวกับหลงเหยียนคือชายหนุ่มที่อายุมากกว่าหลงเหยียนประมาณสิบปี ร่างกายซูบผอม ทว่าแววตากลับสว่างใส
ดูเหมือนห้องพักที่พวกเขาได้นั้นกว้างขวางไม่เบา เมื่อเขากวาดตามองไปรอบๆ แล้ว ก็รีบพุ่งขึ้นไปยังหนึ่งในเตียงขนาดใหญ่ทันที
คล้ายที่นี่เป็บ้านของเขาอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าบนตัวออกทั้งหมด แล้วเดินไปยังบ่อไม้ที่ถูกกำแพงกั้นอยู่มุมห้อง ปล่อยน้ำจนเต็ม จากนั้นจึงะโลงน้ำ
“ฮ้า… สบายตัวจริงๆ ในที่สุดข้าก็กลับมาอีกครั้ง!” ดูเหมือนเขาคุ้นเคยที่นี่เป็อย่างดี
หลังจากถูร่างกายครู่หนึ่ง เขาก็หันมามองหลงเหยียนแล้วยิ้มให้อย่างเบิกบาน เผยให้เห็นฟันสีดำของเขา “สหายตัวน้อย จะเข้ามาแช่ในบ่อเดียวกันข้าไหม ไม่เป็ไรหรอก ข้าเป็คนมนุษยสัมพันธ์ดี ฮ่าๆ!”
ขณะที่พูด สายตาเขาก็จับจ้องไปยังใบหน้าที่อ่อนหวานของหลงเหยียนพลางมองประเมินอย่างละเอียด
--------------------