ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเรือลำเล็กเช่นนี้ จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงท้องของตัวเองร้องดังขึ้นมา
ในขณะนั้นเซี่ยเจิงจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา : “เที่ยงครึ่งแล้ว”
“มิน่าล่ะฉันถึงได้หิว” ชวีเสี่ยวปอลูบท้องของตัวเองผ่านเสื้อไปมาสองครั้ง “ปั่นกลับกันเถอะ”
ตอนขากลับกลับดูไม่มีแรงเท่าตอนมาอย่างเห็นได้ชัดว่าเป็เพราะความหิวบวกกับทำเื่ที่อยากทำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว กว่าเรือจะกลับไปถึงฝั่งจึงไม่ใช่เื่ง่ายเลยสักนิด ทันทีที่ทั้งสองคนขึ้นฝั่งมา ชวีเสี่ยวปอก็ได้ยินเสียงท้องของตัวเองร้องออกมาเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
“ข้าว! ฉันอยากกินข้าว! ” ชวีเสี่ยวปอเดินไปพลางบ่นพึมพำไปด้วย
“แถวนี้เหมือนว่าจะไม่มีร้านอาหารเลยนะ” เซี่ยเจิงหยิบมือถือออกมาค้นหาดู “ห่างจากตรงนี้ใกล้ที่สุดแปดร้อยเมตรมีร้านหม้อไฟปลากินไหม? ”
“ไม่กิน” ชวีเสี่ยวปอยื่นหน้าเข้าไปดู แล้วจึงส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เป็คนเลือกกินสักเท่าไหร่ แต่ฟังดูแล้วกลับรู้สึกไม่ค่อยอยากอาหาร
“ถ้านายยังพอทนไหวอยู่อีกแป๊บหนึ่ง พวกเราไปกินกระดูกเนื้อวัวกันไหม? ” เซี่ยเจิงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงไป “ร้านอยู่แถวบ้านฉัน”
“ได้” ชวีเสี่ยวปอเห็นด้วยขึ้นมาทันที
อันที่จริงตอนแรกความรู้สึกที่มีต่อสภาพแวดล้อมแถวบ้านของเซี่ยเจิงคือของกินอร่อยๆ มากมาย แต่เมื่อเปรียบกับออกไปทานข้าวกับชวีอี้เจี๋ยและเวินลี่ พวกเขาก็แทบจะพาไปแต่ร้านอาหารหรูหรา ประเภทที่ว่าพื้นถูจนเกือบจะสะท้อนเงาคนได้ ประกอบกับโคมไฟระย้าขนาดใหญ่ที่ส่องประกายระยิบระยับ สิ่งเหล่านี้มักจะทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกเย็นะเืขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ใช่การไปทานข้าว แต่คือการไปรับความทุกข์ทรมาน
เขาชอบนั่งกับเซี่ยเจิงในร้านอาหารเล็กๆ อันแสนจะแออัดนี้มากกว่า ในร้านมีโต๊ะวางอยู่เพียงไม่กี่ตัว คนที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าแทบจะชนกับหลังของคนที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหลัง เท้าเขาทั้งสองคนที่วางอยู่ใต้โต๊ะมักจะชนเข้ากับอีกฝ่ายอยู่บ่อยๆ บนกระจกล้วนมีแต่ไอร้อน หลังจากทานข้าวมื้อนี้เสร็จต้องกลับไปซักเสื้อผ้าทันที ไม่อย่างนั้นกลิ่นของร้านอาหารสามวันก็ยังไม่จางหายไป
แต่ว่ากลับรู้สึกสบายใจ
ไม่ต้องพูดถึงเื่อื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าเซี่ยเจิงเขายังสามารถใช้่เวลานี้ทานข้าวเพิ่มได้อีกหนึ่งชาม
แล้วก็เป็ไปตามที่ชวีเสี่ยวปอปรารถนาไว้ ร้านอาหารเล็กๆ ที่เซี่ยเจิงพามาแม้แต่ป้ายชื่อร้านก็ไม่มี เป็เหมือนลานบ้านเล็กๆ ของครอบครัวธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อมายืนอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งก็รับรู้ได้ทันทีเลยว่าด้านในนั้นแตกต่างออกไป ทั้งยังดูครึกครื้นเป็อย่างมาก
แต่เนื่องจากเซี่ยเจิงเป็คนพามา ชวีเสี่ยวปอจึงไม่มีอะไรที่จะต้องลังเลเลยสักนิด
เป็เช่นนั้นจริงๆ ทันทีที่เดินเข้ามา ลมจากไอร้อนก็ปะทะเข้ามายังใบหน้าทันที เนื่องจากเป็่เวลารับประทานอาหารด้วยพอดี ที่นั่งด้านในร้านจึงเต็มไปด้วยผู้คน ขณะนั้นชวีเสี่ยวปอมองไปรอบๆ ร้านครั้งหนึ่ง แล้วจึงพูดกับเซี่ยเจิงอย่างรู้สึกประหลาดใจ :
“ทำไมถึงดูเหมือนว่าจะมีแต่คนสูงอายุน่ะ? ”
“ใช่ !” มีคนตีลงมาบนหลังของชวีเสี่ยวปอจากด้านหลังอย่างแรง จากนั้นจึงผลักให้เขานั่งลง
ด้วยความประหลาดใจที่ยังคงมีอยู่จึงทำให้ชวีเสี่ยวปอหันหน้าไปในทันที แล้วจึงพบว่าคนที่ตีตัวเองนั้นเป็สาวสวยคนหนึ่ง อายุน่าจะยังไม่ถึงสามสิบ รูปร่างเล็ก ดูไม่เข้ากับเสียงะโและแรงมือของเธอเลยสักนิด
“เสี่ยวเจิง นี่เพื่อนนายเหรอ? ” หญิงสาวยิ้มกว้างขึ้นมา พร้อมทั้งวางเมนูในมือลงไปบนโต๊ะจนเกิดเสียงดัง
“ครับ” เซี่ยเจิงยิ้งพลางเอ่ยขึ้นมา “เจ๊ฮุ่ย ยังขายดีเหมือนเดิมเลยนะครับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” หญิงสาวเท้าเอวขึ้นมาอย่างภูมิใจ “นายสองคนกินหม้อใหญ่เลยไหม? วันนี้เจ๊เลี้ยงเอง”
ชวีเสี่ยวปอโบกไม้โบกมือขึ้นมาทันที พร้อมทั้งพูดตามออกไปว่า : “ขอบคุณครับเจ๊ แต่ว่าไม่เป็ไรครับ”
“กับเจ๊จะเกรงใจอะไร จิ๊ เด็กหนุ่มสมัยนี้นี่จริงๆ เลย กินอะไรเนี่ยฮะ ทำไมถึงได้หล่อขนาดนี้” หญิงสาวยิ้มกว้างพลางใช้มือเกี่ยวสะบัดผม “นายสองคนอยากกินอะไรก็สั่งได้เลย อีกเดี๋ยวเสี่ยวเจิงไปบอกที่หลังครัวเอาก็พอ”
“ได้ครับ” เซี่ยเจิงพยักหน้า แล้วเจ๊ฮุ่ยก็เดินออกไปอย่างรีบร้อน
“คนรู้จักเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ตอนนี้เขายังรู้สึกใอยู่เล็กน้อยที่เมื่อครู่อยู่ดีๆ เจ๊ฮุ่ยก็โพล่เข้ามาที่ด้านหลัง
“ฉันเคยทำพาร์ทไทม์ที่นี่น่ะ” เซี่ยเจิงขยับเมนูอาหารไปไว้ด้านหน้าของชวีเสี่ยวปอ “เมื่อก่อนเถ้าแก่ของที่นี่คือพ่อของเจ๊ฮุ่ย”
“อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอกวาดสายตามองเมนูอาหารไปครั้งหนึ่ง ซึ่งดูง่ายมาก นอกจากกระดูกเนื้อวัวที่แบ่งขนาดเป็หม้อเล็ก กลาง ใหญ่แล้ว ที่เหลือก็มีเพียงแค่เครื่องเคียงไม่กี่อย่าง เขาสั่งผักไปสองสามอย่าง แล้วก็ยำแตงกวาอีกหนึ่งจาน จากนั้นจึงถามต่อออกไปว่า : “ตอนนี้ยกให้เธอแล้ว? ”
“ปีก่อนโน้นพ่อของเจ๊ฮุ่ยไม่อยู่แล้ว” เซี่ยเจิงชำเลืองมองไปยังเจ๊ฮุ่ยที่ยุ่งอยู่กับการเดินไปมาระหว่างแต่ละโต๊ะ แล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า : “เจ๊ฮุ่ยเธอเคยเป็คุณครูมาก่อนด้วยนะ นายดูออกไหม? ”
“คุณครู? สอนวิชาอะไร? ” ชวีเสี่ยวปอหันไปมองเจ๊ฮุ่ยครั้งหนึ่งทันที
“ครูอนุบาล” เซี่ยเจิงเห็นท่าทีตอบกลับของชวีเสี่ยวปอจึงยกมุมปากขึ้นมา
“ให้ตายเถอะ” ชวีเสี่ยวปอกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่แล้ว “เสียงะโแบบนี้เนี่ยนะ สอนเด็กน้อยร้องเพลงดวงดาวบนท้องฟ้าไปรวมกับกลุ่มดาวจระเข้ [1] ในโรงเรียนอนุบาลทุกวันหรือไง? ”
“เมื่อก่อนเจ๊ฮุ่ยอ่อนโยนมากเลยนะ” เซี่ยเจิงยกกาน้ำร้อนขึ้นมาเทน้ำลงไปในแก้ว แล้วดันไปไว้ด้านหน้าของชวีเสี่ยวปอ แล้วเล่าต่อว่า : “หลังจากที่พ่อของเธอไม่อยู่แล้ว ร้านนี้ก็เกือบจะปิดลงแล้วอยู่เหมือนกัน แต่เจ๊ฮุ่ยเธอทำใจปิดที่นี่ไปไม่ได้ เพราะงั้นเธอเลยลาออกมาทำร้านนี้ต่อ”
ชวีเสี่ยวปอยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง พลางมองไปยังเซี่ยเจิงรอให้เขาพูดต่อ
“เมื่อกี้ที่นายบอกว่าคนที่มากินข้าวที่นี่มีแต่คนสูงอายุ” เซี่ยเจิงยกแก้วน้ำขึ้นมา “เพราะพวกเขาล้วนแต่เป็เพื่อนบ้านเก่าแก่ที่เคยอยู่แถวนี้ ระหว่าง่สิบกว่าปีมานี้ มีคนที่ถูกรื้อบ้านทิ้งและย้ายออกไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงกลับมากินอยู่”
“ดีจังเลย” ชวีเสี่ยวปออดไม่ได้ที่จะทำเสียงจิ๊ปากออกมา จากนั้นจึงมองไปยังรอบๆ ร้านอีกครั้งนอกจากความอบอุ่นแล้ว ยังเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจที่อ่อนโยนของผู้คนอีกด้วย
เขาชอบฟังเซี่ยเจิงเล่าเื่พวกนี้เป็ที่สุด
ชอบฟังสิ่งที่เซี่ยเจิงเล่า ไม่ว่าจะเป็เขาทานข้าวกับอะไร รู้จักใครบ้าง สภาพแวดล้อมที่เขาโตมาเป็แบบไหน
เื่เล็กน้อยยิบย่อยเหล่านี้ทำให้ชวีเสี่ยวปอรู้สึกผสานกลมกลืนเข้าไปกับชีวิตของเซี่ยเจิง เหมือนกับในตอนนี้ เขาและเซี่ยเจิงนั่งอยู่ต่อหน้ากันตรงนี้ เขารู้สึกโชคดีมากที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม
เขากลายมาเป็ส่วนหนึ่งในชีวิตของเซี่ยเจิง
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกสบายใจ จนทำให้เขาสามารถคิดเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้กับคำว่า “วันข้างหน้า” ได้
เพราะในวันข้างหน้า ถ้าหากเซี่ยเจิงพูดถึงเื่ราวเกี่ยวกับร้านเล็กๆ แห่งนี้ เขาก็จะสามารถพูดเพิ่มขึ้นมาอีกประโยคหนึ่งได้
“ที่นั่นที่พวกเราเคยไปด้วยกัน”
กระดูกเนื้อชิ้นใหญ่ที่ตุ๋นเสร็จไว้ตั้งนานแล้ว ไม่นานก็ถูกยกมาเสิร์ฟในหม้อไฟที่สามารถรักษาความร้อนเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง น้ำซุปที่เดือดปุดๆ ส่งกลิ่นหอมดึงดูดให้คนอยากรับประทาน ทันทีที่หม้อไฟวางลงบนโต๊ะชวีเสี่ยวปอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเมนูอาหารของร้านเธอถึงได้มีอาหารเพียงไม่กี่อย่าง
“ไม่พอเติมได้นะ !” เจ๊ฮุ่ยยกข้าวชามใหญ่ที่บรรจุจนล้นมาให้สองชาม
“ขอบคุณครับเจ๊ !” ชวีเสี่ยวปอถึงกับรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก หลังจากที่รอให้เจ๊ฮุ่ยเดินออกไปแล้ว เขาจึงพูดกับเซี่ยเจิงขึ้นมาว่า : “เยอะขนาดนี้ถ้ามีมาเพิ่มอีกคนยังไม่แน่เลยว่าจะกินหมด เจ๊ฮุ่ยเธอได้กำไรไหมเนี่ย? ”
“บ้านนี้เป็ของเขาเอง ได้มันได้อยู่แล้วละ แต่แค่น้อยหน่อยน่ะ” เซี่ยเจิงเลือกกระดูกอันที่มีเนื้อเยอะตักไปให้ชวีเสี่ยวปอชิ้นหนึ่ง “หิวไม่ใช่เหรอ รีบกินเถอะ”
หิวแล้วจริงๆ
ชวีเสี่ยวปอตอบรับกลับไปแล้วจึงลงมือทานอย่างรวดเร็ว นอกจากระหว่างทานเซี่ยเจิงจะเติมน้ำให้เขาครั้งหนึ่ง ทั้งสองคนก็พูดกันเพียงสองสามประโยค จนกระทั่งข้าวในชามตรงหน้าเหลืออยู่ก้นชาม ชวีเสี่ยวปอทานจนต้องถอดเสื้อคลุมออกมาวางไว้ด้านข้าง พร้อมทั้งปาดเหงื่อที่ไหลออกมาบนหน้าผากออก แล้วจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างรู้สึกสบาย : “กินฟินสุดๆ ... ”
เซี่ยเจิงดึงกระดาษทิชชูขึ้นมายื่นไปให้เขา : “เช็ดปากหน่อย”
ชวีเสี่ยวปอรับมาเช็ดไปบนปากลวกๆ สองครั้ง จากนั้นเขาก็ยืดท้องขึ้นมา : “ถ้าชั่งน้ำหนักตอนนี้เดาว่าคงจะหนักเพิ่มขึ้นมาโลครึ่งได้”
.............................
เชิงอรรถ
[1] เพลงดวงดาวบนท้องฟ้าไปรวมกับกลุ่มดาวจระเข้ (天上的星星参北斗) เป็เพลงจีนปลุกใจที่ฟังแล้วฮึกเหิม