คนกลุ่มใหญ่ที่มีจำนวนมากกว่าสามสิบคนได้บุกขึ้นไปยังชั้นสามของเหลาสุราตระกูลหวัง มือของพวกเขาชักดาบและกระบี่ออกมา แต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยรังสีสังหาร และภาพนี้ก็ดึงดูดความสนใจจากกลุ่มนักดื่มหลายคนที่อยู่ในเหลาสุราได้เป็อย่างดี
หลังจากนายท่านเป้าและกลุ่มคนของเขาขึ้นมายังชั้นสาม พวกเขาก็มองเห็นกลุ่มของมู่เฟิงที่กำลังนั่งอยู่ริมหน้าต่างได้ในทันที พวกเขาไม่รอช้ารีบสาวเท้าเข้าไปล้อมกลุ่มเด็กหนุ่มสาวทั้งแปดคนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมู่เฟิงเห็นคนกลุ่มใหญ่ถือดาบและกระบี่พุ่งตรงมาทางพวกเขา สีหน้าของเด็กหนุ่มก็พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ดูเหมือนปัญหาจะมาถึงแล้ว!”
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่ขวงและคนอื่นๆ ต่างก็หยัดกายลุกขึ้นทันที กลุ่มเด็กหนุ่มจ้องมองกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่กำลังถือดาบและกระบี่อยู่ตรงหน้าอย่างระแวดระวัง
“ล้อมพวกมันเอาไว้”
นายท่านเป้าโบกมือสั่งการในทันที เพียงไม่นานกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนมากกว่าสามสิบคนก็ได้เข้าไปโอบล้อมกลุ่มเด็กหนุ่มสาวทั้งแปดคนเอาไว้อย่างสมบูรณ์
มู่เฟิงขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พวกเ้าเป็ใคร? คิดจะทำอะไร?”
“ประหลาดใจรึ? เ้าลูกเจี๊ยบ เ้ายังจำข้าได้หรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ที่ถูกไป๋จื่อเยว่ทุบตีจนฟันร่วงไปหลายซี่ก้าวออกมายืนตรงหน้าพวกเขาก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ
“อ้าว เป็เ้านี่เอง ทำไมเล่า ถูกทุบตีจนฟันร่วงแล้วเ้ายังจะกล้าพาคนมาสร้างปัญหาอีกรึ?”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวอย่างเยาะเย้ย เขาจดจำอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว
“เ้า…”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นขุ่นเคืองเป็อย่างมาก แต่นายท่านเป้าก็ใช้มือข้างหนึ่งผลักเขาออกไปเสียก่อน ก่อนจะสาวเท้าเดินไปข้างหน้า เขามองไปยังเด็กหนุ่มสาวทั้งแปดคนแล้วกล่าวขึ้นอย่างเ็าว่า “พวกเ้าเป็คนที่ทุบตีคนจากพยัคฆ์เหลืองของข้า แล้วยังคิดจะให้พวกข้าไปขอโทษอีกงั้นรึ?”
มู่เฟิงก้าวออกมาข้างหน้าเช่นกัน เขากวาดตามองกลุ่มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่ถืออาวุธมาครบมืออย่างไม่เกรงกลัวต่ออันตราย น้ำเสียงของเขายังคงมั่นคงไม่สั่นคลอน “คนจากกลุ่มพยัคฆ์เหลืองของพวกเ้านั้นไร้มโนธรรม พวกข้าเพียงแค่สั่งสอนคนของเ้าให้รู้ซึ้งว่าการเป็คนนั้นควรจะประพฤติตนอย่างไร มีลูกน้องเช่นนี้ พวกเ้าคงไม่มีวันได้ดีหรอก”
แม้กระทั่งคำพูดนี้ของมู่เฟิงยังฟังดูทรงพลัง และพร้อมที่จะต่อสู้
“คิดไม่ถึงว่าเ้าเด็กพวกนั้นจะกล้าล่วงเกินกลุ่มพยัคฆ์เหลือง”
“ถูกต้องแล้ว นายท่านเป้าผู้นั้นมีวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ขั้นเก้าเชียวนะ ถือเป็ยอดฝีมือที่เก่งกาจผู้หนึ่งเลยทีเดียว”
“ดูเหมือนว่าเด็กพวกนั้นคงจะโชคร้ายเสียแล้ว”
เหล่านักดื่มที่อยู่โดยรอบต่างวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนว่าหลังจากนี้กำลังจะมีละครให้พวกเขาได้รับชมแล้ว
“ช่างกล้าเสียจริง เป็เพียงแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คิดไม่ถึงว่าจะกล้าถือดีทำตัวบ้าบิ่นเช่นนี้ จัดการพวกมันเสีย หักขาพวกมันทิ้งคนละข้าง!”
นายท่านเป้าสั่งการเสียงเย็น
“ข้าจะดูว่าพวกเ้าใครจะกล้า! พวกข้าเป็คนของตระกูลมู่ พวกเ้าถือดีอะไรจะมาแตะต้องพวกข้ากัน”
มู่ลี่ตวาดออกมาด้วยโทสะ
“ศิษย์ของตระกูลมู่!”
เมื่อได้ยินดังนั้น กลุ่มคนพยัคฆ์เหลืองที่กำลังก้าวไปข้างหน้าต่างก็หยุดชะงักในทันใด จากนั้นพวกเขาก็หันกลับไปมองทางนายท่านเป้าราวกับ้าความเห็น ตระกูลมู่นั้นเป็ตระกูลใหญ่ที่ทั้งทรงพลังและฝังรากลึกอยู่ในเมืองอันหนานมานานหลายร้อยปีแล้ว
“คนตระกูลมู่? เป็คนตระกูลมู่แล้วอย่างไร ตัดขาของพวกมันทิ้งเสีย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตระกูลมู่จะยอมต่อสู้กับพวกข้าเพียงเพราะพวกเ้า ลุยเลย!”
อู๋เป้านั้นเป็บุคคลที่มีนิสัยโเี้ แม้ในคราแรกเขาจะผงะไปเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังยืนหยัดที่จะสั่งการตามเดิม
“ฆ่าพวกมัน…!”
จากนั้นกลุ่มพยัคฆ์เหลืองทั้งหมดก็พุ่งกระโจนเข้าหากลุ่มเด็กหนุ่มสาวในทันที สีหน้าของมู่ลี่และคนอื่นๆ พลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“มู่ลี่ มู่หลาน พวกเ้าห้าคนรีบะโหนีออกไปทางหน้าต่าง ไปเรียกคนในตระกูลมาเร็วเข้า ส่วนเสี่ยวขวง จื่อเยว่และข้าจะขวางพวกมันเอาไว้เอง”
มู่เฟิงรีบะโบอกคนของตน ก่อนจะเตะโต๊ะให้กระเด็นไปทางกลุ่มพยัคฆ์เหลืองในทันที ทำให้คนของอีกฝ่ายถูกโต๊ะกระแทกล้มไปหลายคน อาหารบนโต๊ะสาดกระเซ็นไปทั่ว จากนั้นร่างของเด็กหนุ่มก็พุ่งทะยานออกไปเพื่อสังหารกลุ่มพยัคฆ์เหลืองต่ออย่างรวดเร็ว
“พี่เฟิง!”
ด้านมู่ลี่และคนอื่นๆ ยังคงลังเลที่จะจากไป
“ไปเร็วเข้า รีบไปแจ้งทางตระกูล!”
มู่เฟิงคำรามออกมา
“ไปกันเถอะ วรยุทธ์ของพวกเราไม่สามารถช่วยเหลืออะไรพี่เฟิงได้หรอก”
มู่ชางรีบลากมู่หลานออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก เขาทุบทำลายกระจกตรงหน้าต่าง ก่อนจะกระโจนตัวลงจากชั้นสามไปโดยตรง
มู่ลี่กัดฟันแน่น เขาหันมามองคนทั้งสามกระโจนตัวเข้าหากลุ่มพยัคฆ์เหลืองเป็ครั้งสุดท้าย จากนั้นเขาก็ตัดสินใจะโลงจากหน้าต่างเพื่อจากไปเช่นกัน
“พี่เฟิง พวกท่านโปรดรอข้าก่อน…”
ด้านมู่เฟิงที่เหลือกันสามคนก็หันหลังเข้าชนกัน พวกเขากวาดตามองศัตรูที่มีจำนวนมากกว่าพวกตนหลายเท่า มู่เฟิงยังคงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวขวง จื่อเยว่ พวกเ้ากลัวหรือไม่”
“ไม่กลัวขอรับ เ้าพวกบัดซบพวกนี้ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรเลยขอรับ”
มู่ขวงถือดาบไว้ในมือ ขณะกล่าวเสียงเย็น
“คนที่กลัว ควรจะเป็พวกมันต่างหาก”
ไป๋จื่อเยว่กล่าวอย่างเ็าขณะถือกระบี่ไว้ในมือ
“ฮ่าๆ ดี ถ้าอย่างนั้นก็ไปสังหารพวกมันกัน”
มู่เฟิงหัวเราะออกมาเสียงดัง
“จงตายเสีย!”
เด็กหนุ่มทั้งสามต่างพากันพุ่งทะยานเข้าหากลุ่มพยัคฆ์เหลืองไปพร้อมกัน
“ฆ่ามัน!”
ด้านกลุ่มพยัคฆ์เหลืองก็ง้างดาบและกระบี่เตรียมพร้อมที่จะสังหารเด็กหนุ่มทั้งสามเช่นกัน
“หมัดทะลวงลมปราณ!”
ปึก! ปึก! ปึก! ...!
มู่เฟิงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด เขาโคจรพลังปราณภายในร่างก่อนจะชกหมัดออกมา เสียงของกระดูกแขนดังลั่นขึ้นสิบสองครั้ง หมัดที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังปราณสีขาวต่อยไปยังฝ่ายตรงข้ามในทันที
เปรี้ยง!
หมัดนี้ได้พุ่งปะทะเข้ากับร่างของคนจากพยัคฆ์เหลืองผู้หนี่ง ส่งผลให้คนผู้นั้นกรีดร้องโหยหวนออกมาอย่างน่าสมเพช ร่างของเขาลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดถึงแปดเมตร โดยระหว่างนั้นมันก็กระแทกเข้ากับร่างของสหายร่วมกลุ่มอีกสามคนทำให้พวกเขาเกาะกลุ่มกระเด็นกันออกไป
กระดูกตรงทรวงอกของพวกเขาถึงกับแตกหัก หมัดเมื่อครู่ มู่เฟิงไม่ได้ออมแรงเลยแม้แต่น้อย
พรึ่บ!
จากนั้นมีดพร้าจำนวนสามเล่มก็พุ่งเข้ามาหาเด็กหนุ่มพร้อมกัน มู่เฟิงเบี่ยงตัวหลบ เท้าของเขาพลิ้วไหวราวกับสายลม จากนั้นเด็กหนุ่มได้รวบรวมพลังปราณเอาไว้ที่ปลายนิ้วก่อนจะสะบัดนิ้วออกมา ฉับพลันนั้นดรรชนีทองคำก็พวยพุ่งในทันใด
ฉึก!
หยดเืพลันสาดกระเซ็นออกมาจากหว่างคิ้วของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง เนื่องจากเมื่อครู่ดรรชนีนิ้วของมู่เฟิงได้เจาะทะลวงกลางหน้าผากของอีกฝ่าย ทำให้ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเสียชีวิตลงในทันที
หลังจากมู่เฟิงใช้ดรรชนีสังหารชายผู้นั้นแล้ว มือทั้งสองข้างของเขาก็คว้าจับแขนของคนที่ถือมีดพร้าอีกสองคนเอาไว้ ก่อนที่เขาจะบิดข้อมือของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง กร๊อบ! เสียงกระดูกแขนของคนทั้งสองแตกหักในทันที
“อ๊าก!”
ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนกรีดร้องออกมาราวกับหมูถูกเฉือด จากนั้นมู่เฟิงได้ใช้หมัดทั้งสองข้างต่อยไปยังหน้าท้องของพวกเขาอีกครั้ง ร่างของพวกเขาจึงลอยกระเด็นออกไปไกล หมัดนี้กระแทกอวัยวะภายในของอีกฝ่ายเข้าอย่างจังจนทำให้พวกเขามีอาการร่อแร่ ก่อนที่ลมหายใจจะถูกพรากไปในที่สุด
ทางด้านไป๋จื่อเยว่เองก็ต้องรับมือกับคู่ต่อสู้อีกสามคนที่พุ่งเข้ามาพร้อมกัน ในที่สุดกระบี่สีขาวเล่มยาวในมือของเด็กหนุ่มก็ถูกชักออกจากฝัก คมกระบี่ส่องประกายแวววาว และเพียงชั่วพริบตานั้นเขาก็สามารถปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามไปได้หนึ่งคนอย่างรวดเร็ว
ฉึก!
ทันทีที่กระบี่ถูกปลดออกจากฝัก ประกายกระบี่สีขาวก็พุ่งทะลวงผ่านลำคอของชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ชายผู้นั้นยกมือขึ้นปิดลำคอของตัวพร้อมกับเบิกตากว้าง ก่อนจะทรุดลงกับพื้น
วิชากระบี่เมื่อครู่เป็กระบวนท่าที่ไป๋จื่อเยว่เชี่ยวชาญเป็อย่างมาก เนื่องจากว่าเขาได้ใช้ความพยายามอย่างหนักในการฝึกฝนมัน
“เคล็ดกระบี่เงามายา”
ฉับพลันนั้นเด็กหนุ่มก็ได้วาดกระบี่ออกมา ก่อให้เกิดเป็เงากระบี่หลายเล่มขึ้นกลางอากาศ ก่อนที่เงากระบี่เ่าั้จะพุ่งทะยานไปหาชายฉกรรจ์อีกสองคน
ฉึก! ฉึก!
ชายฉกรรจ์สองคนนั้นถูกคมกระบี่แทงเข้าที่หน้าอก ปรากฏเป็าแลึกหลายตำแหน่ง ทำให้พวกเขาถูกพรากเอาชีวิตไปได้อย่างง่ายดาย
“อัก!”
มู่ขวงง้างดาบขึ้นสูงก่อนจะฟันลงไปอย่างดุดัน ดาบเล่มนี้ของเขาทั้งทรงพลังและหนักหน่วง ประกายแสงสีขาวจากตัวดาบที่ฟาดฟันลงมาทำให้ผู้คนถึงกับใ
ฉัวะ!
คมดาบนั้นกวาดออกไปโดยตรงและตัดผ่านลำคอของฝ่ายตรงข้ามจนขาดออกเป็สองส่วน เืสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“กระบวนท่าเก้าดาบทลายคลื่น”
หลังจากมู่ขวงสังหารชายผู้นั้นแล้ว มือทั้งสองของเขาก็กระชับดาบเอาไว้มั่นก่อนจะเหวี่ยงมันออกมา ฉับพลันนั้นประกายดาบสีน้ำเงินก็ได้ตวัดลงไปบนหน้าอกของชายฉกรรจ์อีกสองคน
ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนกรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา หน้าอกของพวกเขาปรากฏาแขนาดใหญ่ ขณะที่ร่างกายกำลังถลาออกไกล และลมหายใจของพวกเขาก็ถูกพรากออกไปในที่สุด
“น่าชังนัก!”
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มสามคนตรงหน้าสังหารลูกน้องของตนไปถึงสิบคนโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน อู๋เป้าก็ทั้งใและโมโห เขาทำการควบแน่นพลังปราณจากมวลคลื่นพลังทั้งเก้าลูกภายในจุดตันเถียนออกมาทันที จากนั้นคลื่นพลังมหาศาลที่ทำให้ผู้คนต้องใก็พลันประทุขึ้นมา ฝ่ามือของเขาตบไปทางมู่ขวงอย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือเปลวเพลิง!
พรึ่บ!
ฝ่ามือที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงสีแดงพุ่งไปทางมู่ขวงในทันที
ใบหน้าของมู่ขวงพลันเปลี่ยนไป เขารีบยกดาบขึ้นมาเพื่อสกัดกั้นมันเอาไว้ ในขณะเดียวกันเขาก็ทำการควบแน่นโล่พลังออกมา
เปรี้ยง!
ฝ่ามือเพลิงได้ปะทะเข้ากับคมดาบ จากนั้นพลังจากฝ่ามืออันแข็งแกร่งก็พลันปะทุขึ้น มู่ขวงกรีดร้องออกมา ก่อนจะกระอักเื ร่างของเขาลอยกระเด็นไปไกลหลายเมตร ของเหลวสีแดงสดจากภายในก็ไหลทะลักออกมาเต็มปาก!
“เสี่ยวขวง!”