ทันใดนั้น แสงรัศมีของเขาสว่างวาบ หลังจากวาดเคล็ดวิชาล่องหน เคาะมันบนหน้าผากของตนเองแล้วเขาเคาะปลายเท้าเบาๆ เพื่อบินขึ้นไป สถานการณ์บนหน้าผาจึงอยู่ในสายตา
หลี่อวิ๋นหังถูกผลักลงไปบนพื้น เงยหน้าขึ้นแล้วเบิกตากว้างมองจากทิศทางของตนเอง เขาโดนล้อมรอบไปด้วยเด็กหนุ่มเจ็ดหรือแปดคนในชุดสีน้ำตาล อายุประมาณสิบสามหรือสิบสี่ปี แววตาดูชั่วร้าย
เจียงเฉิงเยว่ร่อนลงที่ด้านหลังของเหล่าเด็กหนุ่มเบาๆ ส่วนหลี่อวิ๋นหังหลุบตาลง แววตาพลันมืดสนิท
เมื่อเจียงเฉิงเยว่เห็นหนึ่งในกลุ่มเด็กหนุ่มก้าวไปข้างหน้าเพื่อคว้าอกเสื้อของหลี่อวิ๋นหัง ยกร่างผอมบางของอีกฝ่ายขึ้นจากพื้นพลางะโเสียงดังคำหนึ่ง “รนหาที่ตาย!” จากนั้นยกกำปั้นขึ้นอย่าง้าจะทักทายบนใบหน้าที่งดงามนั้น เจียงเฉิงเยว่จึงหยิบหินก้อนเล็กๆ บนพื้นแล้วขว้างใส่ โดนเข้าที่ข้อศอกของเด็กหนุ่มผู้นั้นพอดี อีกฝ่ายสะบัดมือด้วยความเ็ป จากนั้นลุกขึ้นยืนอย่างหวาดผวา มองกลับไปที่สหายร่วมสำนักที่ยืนอยู่ด้านหลังของตนเอง พูดอย่างโกรธเคือง “เ้าทำอะไร?”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักผู้นั้นงงงวย “อา? อะไรหรือ?”
เด็กหนุ่มบอก “เ้าตีมือของข้าทำไม?”
ศิษย์ร่วมสำนักช่างไร้เดียงสายิ่งนัก “ข้าไม่ได้ทำนะ”
เด็กหนุ่มตอบกลับ “ด้านหลังข้ามีเ้ายืนอยู่คนเดียว ไม่ใช่เ้าแล้วจะเป็ใคร?”
ศิษย์ร่วมสำนักกำลังจะร้องไห้ออกมา “ศิษย์พี่...ข้าไม่ได้ทำจริงๆ นะ!”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทั้งยังลังเลอยู่เล็กน้อย มีอีกคนหนึ่งที่สังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงชี้ไปที่หลี่อวิ๋นหังแล้วเอ่ย “ศิษย์พี่ หรือไอ้หนูนี่จะเป็คนทำ?”
เด็กหนุ่มที่จับหลี่อวิ๋นหังไว้ไม่ปล่อยเชื่ออย่างลึกซึ้ง จึงชูกำปั้นพุ่งไปทุบตีเขาอีกครั้ง “เ้ารนหา...” เขายังไม่ทันพูดจบกลับถูกตีที่ท้ายทอยอีกครา
อีกฝ่ายรีบโยนหลี่อวิ๋นหังเพื่อกุมศีรษะตนเองแล้วร้องอย่างเ็ป
“เกิดอะไรขึ้น?”
เด็กหนุ่มที่กำลังจะโจมตีชี้ไปที่หลี่อวิ๋นหัง “เ้า...เ้า!! เ้าใช้วิชาปีศาจอันใด?!”
เจียงเฉิงเยว่ส่ายศีรษะอย่างขบขัน จากนั้นเดินทอดน่องไปอย่างสบายๆ ตบท้ายทอยของเหล่าเด็กหนุ่มไปหนึ่งฝ่ามือ ทำให้บริเวณนั้นแตกกระเจิงในทันที
“ใคร?!”
“ใครตีข้า?!”
“ผี!!!”
“มีผี!!!”
เหล่าเด็กหนุ่มวิ่งลนลานไปรอบๆ พลางเอามือกุมท้ายทอย ใบหน้าซีดขาวอย่างหวาดผวา
“เดี๋ยวก่อน!!!” เด็กหนุ่มที่เตรียมจะทุบตีก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะโตที่สุด จิตใจกับสติปัญญามีความเป็ผู้ใหญ่กว่าผู้อื่นจึงรีบหยุดความวุ่นวายของเหล่าศิษย์น้อง แต่กลับไม่มีใครสนใจ เขาจึงต้องะโเสียงดังอย่างรีบร้อน “เ้าพวกไร้ประโยน์!!! ที่นี่เป็สถานที่บ่มเพาะพลังิญญาของเต๋า...มีอารามเต๋าเรียงราย...จะมาจากที่ไหน...” เขายังไม่ทันพูดจบ กลับถูกเจียงเฉิงเยว่เตะเข้าที่ข้อพับเข่า ร่างกายพุ่งไปด้านหน้าจนต้องคุกเข่าลงบนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง
เจียงเฉิงเยว่ถีบบั้นท้ายของอีกฝ่ายอีกครั้ง เตะจนใบหน้านั้นไถลไปกับพื้น ในที่สุดเขาระงับความหวาดผวาไม่ไหวจนกรีดร้อง ไม่สนใจฝุ่นกับดินโคลนที่เปื้อนบนใบหน้า วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ตามกลุ่มศิษย์น้องวิ่งไปพลางะโโหวกเหวก “ผีๆ!”
เจียงเฉิงเยว่ปิดปากกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิต ฉิงชางจวินผู้มีอายุเกือบสองร้อยปีกลั่นแกล้งเด็กอายุสิบกว่าปีแต่กลับไม่อายเลยสักนิด เขามีความสุขเป็อย่างยิ่ง เมื่อเขาสงบลงได้แล้วก็นั่งยองอยู่ไม่ไกลจากหลี่อวิ๋นหัง มองอีกฝ่ายอย่างขบขัน
หลี่อวิ๋นหังกลับไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น ปัดทำความสะอาดฝุ่นกับดินออกจากเสื้อผ้า จัดสายรัดชุดที่ด้านหน้าก่อนยกมือขวาขึ้นเพื่อเช็ดคราบสกปรกบริเวณใกล้กับาแบนฝ่ามือซ้ายอย่างระมัดระวัง
แววตาของเจียงเฉิงเยว่มืดลง เขาหุบยิ้มอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่ามือซ้ายของหลี่อวิ๋นหังดูเหมือนจะมีแผลถลอกตอนล้มลง บริเวณปากแผลมีเืสีแดงก่ำ เขาถอนหายใจโดยไร้เสียง หลังจากนั้นส่ายศีรษะก่อนก้มมองไปโดยรอบเพื่อหาสมุนไพรสำหรับห้ามเื
จนกระทั่งเขาพบสมุนไพรแล้ว กลับเห็นว่าหลี่อวิ๋นหังเดินกลับไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจียงเฉิงเยว่จึงเหินอากาศข้ามกำแพงผ่านอีกฝ่ายเพื่อกลับไปที่วิหารหลิงเซียวก่อน
เมื่อหลี่อวิ๋นหังกลับมาถึงวิหารหลิงเซียว เจียงเฉิงเยว่คลายการล่องหน ต้อนรับด้วยรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้น “อ้าว...อาหัง เ้าไปที่ไหนมา? ตอนนี้หลายคนกำลังตามหาเ้าอยู่!”
หลี่อวิ๋นหังตกตะลึงหลังจากได้ยิน เขาเงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าย่ำแย่ เวลานี้เจียงเฉิงเยว่เคยชินกับท่าทีเช่นนั้นแล้วจึงไม่สนใจ ยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รีบมาเร็ว ผลซิ่งจื่อกำลังจะขาดตลาดแล้ว...ท่านอาจารย์บอกให้พวกเขาเก็บไปจนเกลี้ยง! หากอยากกินอีกทีต้องรอปีหน้า...ข้าจึงให้พวกเขาเหลือตระกร้าใหญ่และหวานที่สุดไว้ให้เ้า!”
ถ้อยคำนี้กลับไม่ใช่เื่โกหก เมื่อเขากลับมาถึงวิหารหลิงเซียวก็บังเอิญพบกับกลุ่มคนที่กำลังเก็บผลซิ่งจื่อ เจียงเฉิงเยว่เข้าไปถามจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาที่มีฐานะเป็องค์รัชทายาท ของที่ดีที่สุดย่อมต้องมอบให้เขาเสมอ
เจียงเฉิงเยว่กล่าวจบก็ยื่นมือออกไปเพื่อดึงอีกฝ่าย บังเอิญจับที่ข้อมือซ้ายพอดี หลี่อวิ๋นหังตกตะลึงเล็กน้อย เจียงเฉิงเยว่แสร้งทำเป็พบสิ่งผิดปกติแล้วรีบคว้ามือนั้นขึ้นมา เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “อ้ะ! นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ล้มอย่างนั้นหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังไม่ตอบ เจียงเฉิงเยว่มองไปที่ข้าราชบริพารที่อยู่ด้านหลังตน ข้าราชบริพารเ่าั้เข้าใจความหมาย รีบส่งอ่างทองแดงในมือที่บรรจุน้ำใส หนึ่งในนั้นบิดผ้าเช็ดหน้าเปียกพร้อมส่งให้ เจียงเฉิงเยว่รับมา แล้วก้มศีรษะลงเช็ดคราบสกปรกใกล้กับาแบนฝ่ามือให้อย่างระมัดระวังยิ่งและเบามือ ขณะเดียวกันก็หาเหตุผลมากล่าว “พอดีเลย เมื่อครู่ให้พวกเขาหยิบน้ำเตรียมล้างมือเพื่อรับประทานผลซิ่งจื่อ...”
แววตาของหลี่อวิ๋นหังมองบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขามองผิวหน้าที่ขาวผ่องนั้นขึ้นสีแดงเล็กน้อย หลังจากสลัดข้าราชบริพารเ่าั้อย่างยากลำบาก เจียงเฉิงเยว่เรียกพวกเขามารับใช้น้อยครั้งยิ่ง ยามนี้เวลาช่างพอดิบพอดี สมบูรณ์แบบ...จะทำให้หลี่อวิ๋นหังสงสัยบ้างหรือไม่กัน?
ถึงอย่างนั้นเจียงเฉิงเยว่กลับตัดสินใจที่จะปฏิเสธไม่ยอมรับ ดังนั้น เขาจึงแสร้งทำเป็มองตอบแล้วสบตา ทว่าหลี่อวิ๋นหังดูเหมือนจะใ รีบละสายตาออกไป มือซ้ายของเขาที่ถูกคว้าอยู่ในมือพลันกำหมัดแน่น
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มก่อนนำถุงผ้าที่เอวออกมา เมื่อเปิดออกก็คว้าสมุนไพรห้ามเืกับเพิ่มเนื้อที่เขาเพิ่งเก็บมา ระหว่างทางกลับเขาลอบใช้เคล็ดวิชาเพื่อตากแห้งและบดเป็ผงยา เช่นนี้ผลลัพธ์จะดียิ่งขึ้น จากนั้นกดมันลงบนฝ่ามือของหลี่อวิ๋นหังอย่างแรง ทั้งสิบนิ้วประสานกับมือของหลี่อวิ๋นหังแแ่ เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายจะหดฝ่ามือกลับยามเ็ป แต่ถึงแม้ว่าร่างกายของหลี่อวิ๋นหังจะสั่นสะท้าน ส่งเสียงฮึดฮัดเล็กน้อยแต่ก็อดทน เจียงเฉิงเยว่จึงเงยหน้ามองด้วยอย่างประหลาดใจ กลับเห็นเพียงอีกฝ่ายหลุบตาลงกัดริมฝีปาก ขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางอดทนอย่างเฉยเมย
ไม่รู้ว่าเหตุใด เจียงเฉิงเยว่พลันเกิดความคิดบางอย่าง เขาอยากยื่นมือไปบีบใบหน้าซาลาเปาที่มีท่าทีเหมือนผู้ใหญ่และเต็มไปด้วยความเ็านั้น หลังจากเห็นว่าใบหน้าที่งดงามของเขาถูกบี้จนบิดเบี้ยวเสียรูปจึงต้องยกมือออกมาเพื่อหยุด อีกฝ่ายอาจเผยร่องรอยความขุ่นเคืองและฉุนเฉียวอย่างที่เด็กวัยนี้ควรมีออกมา
เขายิ้มเล็กน้อยให้กับความคิดนี้ของตนเอง
หลี่อวิ๋นหังมองเขาอย่างเ็าเหมือนกับมองคนโง่เง่า
ทำไมถึงเตรียมผงยา...อืม เื่นี้จำเป็ต้องอธิบาย เจียงเฉิงเยว่จึงพูดอีกครั้ง “โชคดีที่เสด็จพี่ของเ้าอย่างข้าผ่านมาเจอ เหล่าข้าราชบริพารที่ติดตามมาก็เคยชินที่จะพกยาเหล่านี้มาด้วยเพื่อจัดการกับอาการต่างๆ”
อันที่จริงแล้วนี่ก็...ไม่ใช่เื่โกหกเช่นกัน ข้าราชบริพารที่ติดตามองค์รัชทายาท ไม่ใช่แค่ยารักษาแผล แต่สิ่งของอะไรที่จำเป็ล้วนเตรียมไว้ให้ฝ่าาใช้ได้ทุกเมื่อ ได้อยู่ที่วิหารหลิงเซียวนับว่าดีแล้ว ยามที่อยู่ในพระนครโซ่วหลิง เจียงเฉิงเยว่ยังคงรู้สึกตะลึงเมื่อพบว่าหลี่อวิ๋นเฉินออกไปจากห้องนอนและเดินเล่นในสวนหลวง จะมีคนคอยถือม้านั่งอยู่ด้านหลังให้เขาโดยเฉพาะ จึงทำให้องค์รัชทายาทไม่้าที่จะเดินหรือพักผ่อนในทันใด
เจียงเฉิงเยว่จัดการาแให้เขาอย่างละเอียด ขันทีชุดสีม่วงเข้ามาพอดี อีกฝ่ายส่งยิ้มพลางประสานมือให้แก่เจียงเฉิงเยว่ “ฝ่าา...ตามคำสั่งของฝ่าา ล้างผลซิ่งจื่อเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ดังนั้น เจียงเฉิงเยว่จึงหันมายิ้มให้หลี่อวิ๋นหังอีกครั้ง “อาหัง พวกเราไปกันเถิด”
สีหน้าของหลี่อวิ๋นหังดูซับซ้อนเล็กน้อย เขาเม้มริมฝีปากแต่ก็ยังคงตามไป
ทั้งสองคนเข้าไปในศาลาหลังนั้น เป็ดังที่คาด บนโต๊ะหินด้านในมีจานผลไม้ปิดทองสวยงามวางไว้อยู่ ภายในจานวางผลซิ่งจื่อที่ล้างเรียบร้อย เจียงเฉิงเยว่ดึงหลี่อวิ๋นหังมานั่งตรงข้าม เขาหยิบมันเข้าปากแล้วกัดคำหนึ่ง ก่อนนึกถึงเมื่อครั้งก่อน จึงแสร้งถามด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย “อาหังกลัวว่าจะมีพิษหรือ?”
หลี่อวิ๋นหังเพียงหลุบตาลงอย่างเฉยเมย เวลานี้ถึงพูดด้วยเสียงเบา “ข้ามีอะไรคู่ควรให้เสด็จพะวงด้วยหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปชั่วขณะ
หลี่อวิ๋นหังเองก็หยิบขึ้นมาหนึ่งลูก กัดหนึ่งคำแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเงยหน้ามองเจียงเฉิงเยว่ก่อนพูดอย่างน้อยอกน้อยใจนิดหน่อย “เปรี้ยว”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
หลี่อวิ๋นหังวางผลซิ่งจื่อในมือลงพลางมุ่ยปากเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองเจียงเฉิงเยว่อีกครั้ง แววตามีความขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อยราวกับกำลังถาม อีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจนว่าผลที่เหลือหวานทั้งหมดไม่ใช่หรือ?
“เป็ไปได้อย่างไร...” เจียงเฉิงเยว่ไม่เชื่อ เขาหยิบผลซิ่งจื่อที่ถูกอีกฝ่ายกัดไปหนึ่งคำขึ้นมากัดอย่างเป็ธรรมชาติ ก่อนเอ่ยอย่างมั่นใจ “เห็นได้ชัดว่าหวานมาก”
หลี่อวิ๋นหังมองเขา ผิวหน้าขาวใสขึ้นสีแดงเล็กน้อย รู้สึกอับอายอยู่บ้าง
ณ ตอนนี้เองที่เจียงเฉิงเยว่พลันตอบสนองทันที...่เวลาเร่งรีบเขาลืมสถานะอันทรงเกียรติในฐานะองค์รัชทายาท หากเป็คนธรรมดาอาจไม่ใช่เื่สำคัญ แต่สถานะเช่นนี้ของเขากับหลี่อวิ๋นหังที่แบ่งผลไม้กันกินดูราวกับว่า...สนิทสนมกันเกินไปและมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องอยู่ เมื่อหันมองไปรอบด้าน ยังดีที่กลุ่มข้าราชบริพารยืนอยู่ค่อนข้างห่างออกไป ไม่สังเกตเห็นยามนี้จริงหรือ? หรือสังเกตเห็นแต่อย่างไรก็พูดไม่ออกและไม่รู้ว่าควรพูดอะไร?
เจียงเฉิงเยว่ยังคงถือผลซิ่งจื่อที่ทั้งสองกัดกิน ทันใดนั้นไม่รู้ว่าจะวางหรือไม่วางลงดี เขารู้สึกอับอายจนอยากตาย
ยังดีที่หลี่อวิ๋นหังแสร้งทำเป็ว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลือกลูกใหม่ต่อไป กัดอีกคำแล้วกินจนหมดอย่างเฉยชา
เจียงเฉิงเยว่ลังเลอยู่นาน จึงทำเพียงว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างหน้าหนา ยังคงแทะผลซิ่งจื่อลูกนั้นในมือของตนเองจนหมด ขณะที่แทะก็สะกดจิตตัวเองไปด้วย ไม่เป็ไรๆ หลี่อวิ๋นหังยังเป็เด็กน้อยอยู่ ทั้งยังเป็น้องชายแท้ๆ ของร่างกายที่ตนเองอยู่เวลานี้...ระหว่างพี่น้องแท้ๆ พฤติกรรมที่เหมือนกับการ ‘แบ่งลูกท้อ1 ’ จำพวกนี้ดูเหมือนว่า...จะไม่ได้กำกวมเช่นนั้นกระมัง
................................
วันนี้คือคืนเดือนดับ กล่าวได้ว่าพลังหยินชั่วร้ายในคืนนี้แข็งแกร่งที่สุดในหนึ่งเดือน ไม่รู้ว่าหลี่อวิ๋นหังรู้หรือไม่ว่าคืนนี้เขาจะไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสงบ ดังนั้น เขาจึงอยู่ที่โถงฉิวเชวี่ยในวิหารหลิงเซียว โดยถือแสงไฟที่สว่างไสว ร่างเล็กนั่งคุกเข่าตัวเหยียดตรง ไม่รู้ว่ากำลังคัดลอกอะไรและเขียนอย่างตั้งใจเป็พิเศษอยู่
เจียงเฉิงเยว่ในท่านั่งเอียงอย่างเอ้อระเหยกำลังอ่านวรรณกรรมเหนือธรรมชาติที่นำมาจากโซ่วหลิงอย่างออกรส ยามเขาออกเดินทางจากโซ่วหลิง เขามองการณ์ไกลจึงนำวรรณกรรมเหนือธรรมชาติเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับบันทึกอภินิหารมากมายมาอ่านฆ่าเวลา หากคิดดูแล้ว การที่ี่เขานำติดมาด้วยนั้นนับว่าถูกต้องเสียจริงๆ! ไม่เช่นนั้นชีวิตในวิหารหลิงเซียวจะยากลำบากเท่าไรกัน
เจียงเฉิงเยว่อดนอนเป็เพื่อนอีกฝ่ายจนถึงกลางดึก ทุกคนแทบจะหลับกันหมดแล้ว จิตใจของหลี่อวิ๋นหังยังคงแข็งแกร่ง ยกพู่กันเขียนด้วยความเร็ว
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกขบขันเล็กน้อย อีกฝ่ายไม่้าหยกคู่เพลิงสุวรรณของตน เจียงเฉิงเยว่จึงทำได้เพียงลงมือด้วยตนเอง กลายเป็ชั้นวางมนุษย์ไว้สำหรับแขวนหยกคู่เพลิงสุวรรณนั้นเอาไว้ ไม่กล้าอยู่ห่างจากน้องชายที่ดื้อรั้นและเย่อหยิ่งของหลี่อวิ๋นเฉินมากเกินไปนัก
เคล็ดวิชาล่องหนในวันนี้ที่ขอบหน้าผาได้ให้แรงบันดาลใจเขา เขาเตรียมตัวรอหลี่อวิ๋นหังหลับ ร่ายเคล็ดวิชาล่องหนอยู่ภายในห้องเฝ้ารอตลอดทั้งคืนเพื่อช่วยขับไล่พลังหยินชั่วร้าย แต่เมื่อมองไปยังท่าทางของหลี่อวิ๋นหังในยามนี้...เ้าเด็กนี่เตรียมจะอดนอนทั้งคืนหรือ? หลังจากที่หลับใหล พลังหยินชั่วร้ายจะยิ่งเข้าสู่ร่างกายง่ายขึ้น ยามตื่นตะเกียงิญญาจะอยู่บนไหล่ พลังหยางจึงยิ่งแข็งแกร่ง...ดังนั้น นี่นับว่าเป็อีกวิธีหนึ่ง
ท้ายที่สุดแล้วหลี่อวิ๋นหังยังเป็เด็กจึงอดนอนได้ไม่เท่ากับผู้ใหญ่ หลังจากแอบมองแล้วเจียงเฉิงเยว่เห็นอีกฝ่ายคัดลอกอยู่สองสามครั้ง ทันใดนั้นกลับหยุดพู่กัน ทั้งร่างนิ่งงัน ร่างกายเริ่มโงนเงนเล็กน้อยแล้วกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง บังคับตนเองให้ตื่นต่อไป
เจียงเฉิงเยว่ยกหนังสือในมือขึ้นอย่างขบขัน หลบอยู่หลังหน้าหนังสือแล้วส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้
กลางดึกเที่ยงคืน หลี่อวิ๋นหังโงนเงนบ่อยมากขึ้น เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้รบกวนอีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าจะถึงขีดจำกัดเมื่อใด ท้ายที่สุดเมื่อปลายยามโฉ่ว2 กำลังจะเข้าสู่ยามอิ๋น3 หลี่อวิ๋นหังฟุบลงบนโต๊ะหนังสือ ไหล่เล็กขยับเล็กน้อย ไม่เคลื่อนไหวอยู่พักหนึ่ง
เจียงเฉิงเยว่วางหนังสือในมือลง จากนั้นลุกขึ้นแล้วจ้องมองเป็เวลานาน ในที่สุดเด็กดื้อผู้นี้ก็หลับเสียที!
เจียงเฉิงเยว่เอียงคอที่แข็งค้าง หากเขายังอยู่กับหลี่อวิ๋นหังต่อไป เกรงว่าตนเองจะหลับก่อน เช่นนั้นคงต้องอับอายขายหน้าแล้ว
เจียงเฉิงเยว่งอนิ้วมือ หลังจากนั้นพรมหลากสีบนโต๊ะด้านข้างห้องอักษรก็บินมาราวกับมีชีวิต คลุมไหล่ของหลี่อวิ๋นหังอย่างอ่อนโยน ทว่าหลี่อวิ๋นหังกลับยืดตัวขึ้นอย่างงุนงงในทันที เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงเป็อย่างยิ่ง เขารีบร้อนยกพรมผืนนั้นออกเป็พัลวันกระทั่งตกอยู่ที่ข้างเท้าของอีกฝ่าย ลงมากองพะเนิน
เจียงเฉิงเยว่กำลังเรียบเรียงถ้อยคำอย่างหวาดกลัว หากอีกฝ่ายเห็นว่าข้างเท้าของตนเต็มไปด้วยกองพรมควรจะอธิบายอย่างไร ดีที่หลังจากหลี่อวิ๋นหังยืดตัวขึ้นแล้วหยุดชั่วขณะ ศีรษะของเขากำลังจะโขกกับโต๊ะ สุดท้ายกลับเปลี่ยนท่าทางก่อนหลับไปอีกครั้ง
เจียงเฉิงเยว่เรียนรู้จากบทเรียนในครั้งนี้ หลังจากรอให้อีกฝ่ายหลับเป็เวลานานจึงไอเสียงแ่เบา หลี่อวิ๋นหังยังคงไม่เคลื่อนไหว
เจียงเฉิงเยว่จัดหนังสือที่ตนเองเห็นว่าวางอย่างไม่เป็ระเบียบบนโต๊ะ ย่องเดินไปช้าๆ ผลักไหล่ของอีกฝ่ายเล็กน้อย “อาหัง อาหัง” หลี่อวิ๋นหังยังคงไม่เคลื่อนไหว
หลังจากยืนยันเรียบร้อยว่าครั้งนี้หลี่อวิ๋นหังหลับลึกจริง เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากนั้นหยิบพรมที่ข้างเท้าของหลี่อวิ๋นหังคลุมไว้บนไหล่ มองอีกฝ่ายที่ฟุบอยู่บนโต๊ะโดยที่เนื้อแก้มกองรวมกันอยู่ที่เดียว ใบหน้าย่นไปด้วย เจียงเฉิงเยว่จิ้มก้อนเนื้อบนใบหน้าเล็กอย่างขบขัน แต่หลี่อวิ๋นหังยังคงไม่ตื่น ดังนั้นเขาจึงทำตามอำเภอใจมากขึ้นเริ่มหยิกแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ ััเนื้อแก้มบนใบหน้าโดยบีบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในมือ เมื่อเห็นว่ากลีบปากสีแดงสดนั้นเปลี่ยนรูปไปตามการเคลื่อนไหวของเขา เจียงเฉิงเยว่อารมณ์ดียิ่ง
ถือโอกาสที่อีกฝ่ายหลับสนิท สุดท้ายเขาได้บรรลุความปรารถนาของตนเอง สามารถทำลายเขตอาคมน้ำแข็งที่มักจะดูเหมือนผู้ใหญ่ตามปกตินั้น เขาเห็นหลี่อวิ๋นหังขมวดคิ้วอันงดงามเพราะถูกทำให้รู้สึกเจ็บอย่างน่าสงสาร จากนั้นขยับเข้ามาใกล้ที่แก้มน้อย เพียงอยากหอมสักฟอดเพราะยามนี้ใบหน้าน้อยแสดงสีหน้าอย่างน่ารักราวกับหยกหิมะ...หลังจากนั้นเขากลับต้องตกตะลึงกับความคิดในก้นบึ้งจิตใจของตนเอง!
------------------------
[1] แบ่งลูกท้อ หมายถึง ความสัมพันธ์แบบผู้ชายรักกับผู้ชาย
[2] ยามโฉ่ว หมายถึง ่เวลา 01.00 – 02.59 น.
[3] ยามอิ๋น หมายถึง ่เวลา 03.00 – 04.59 น.