บทที่ 139 วิ่งหนี
“เป็ไปไม่ได้!”
“เป็ไปไม่ได้น่า!!!”
กลางงานเลี้ยง โม่ซิวคำรามเสียงดังและกำด้ามกระบี่แน่น ดวงตาแดงก่ำ กัดริมฝีปากของตัวเองจนเืออก
ทักษะกระบี่ที่เขาภาคภูมิใจหนักหนาถูกฉู่อวิ๋นทำลายสิ้นในพริบตาเดียว นี่ทำให้เขาใมาก
โม่ซิวคือใคร? เขาคือนายน้อยแห่งเคหาสน์เขากระบี่ อายุเพียงยี่สิบปีก็ฝึกฝนได้ถึงระดับกลางขั้นมหาสมุทรแล้ว มาจากทางตอนเหนือของราชวงศ์เซี่ยตะวันออกและได้รับการยกย่องว่าเป็ผู้นำของคนรุ่นใหม่
ทักษะกระบี่ของเขายอดเยี่ยม ิญญายุทธ์ก็พิเศษเหนือใคร เป็ิญญายุทธ์ระดับเจ็ด ิญญาพิฆาต พลังสังหารไร้ผู้ใดเทียบเทียม
แม้ไม่อาจพูดได้ว่าเขาเป็ยอดคน แต่ก็ไม่เคยพบกับคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันหรือแม้แต่นักรบระดับสูงขั้นมหาสมุทรที่อ่อนแอเล็กน้อย เขาก็ไม่เคยพ่ายแพ้
แต่ในยามนี้ พร์ที่เย่อหยิ่งนี้กลับถูกคนป่าคนหนึ่งของขอบเขตควบแน่นพลังปราณเอาชนะได้แล้ว
พ่ายแพ้จนหมดรูป!
คู่ต่อสู้ใช้เพียงนิ้วเดียวเพื่อทะลวงทักษะกระบี่ที่เขาคิดค้นขึ้นอย่างระมัดระวัง! นี่เป็เื่ที่น่าใและไม่อาจเข้าใจได้!
“วิชากระบี่ของข้าถูกทำลายแล้วหรือ? มันถูกทำลายแล้ว?... ถูกทำลายแล้วหรือ?!” ดวงตาของโม่ซิวสั่นระริก สติล่องลอยจนโยนกระบี่ในมือทิ้ง
คนหยิ่งผยองเช่นเขา ตอนนี้ได้รับผลพวงอย่างหนัก เริ่มสงสัยในชีวิตของตัวเองแล้ว
“เอ๊ะ? เสี่ยวโม่ เ้าทำอะไรน่ะ? ทำไมถึงโยนกระบี่ทิ้งล่ะ?”
ฉู่อวิ๋นไพล่มือไปด้านหลัง ถอนหายใจเบาๆ และสาวเท้าเข้าไปหาโม่ซิวทันที แสร้งทำเป็เสียใจและพูดว่า “เฮ้อ~ ขอโทษด้วยนะ เมื่อกี้นี้ข้าไม่ทันได้สังเกตเลยใช้แรงไปนิดหน่อย ทำให้เ้าสะดุดล้มเช่นนี้ ให้ข้าช่วยพยุงหรือไม่?”
“เ้า... อย่าเข้ามานะ!!!” หลังจากได้ยินคำพูดของฉู่อวิ๋น โม่ซิวก็คล้ายถูกโจมตีนับหมื่นครั้ง
แรงนิดหน่อย? คำพูดนี้ทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว!
ตอนนี้ ดวงตาของโม่ซิวเฉียบคม แรงอาฆาตของเขาพลุ่งพล่าน เดิมทีเขาจะลุกขึ้นและโจมตีฉู่อวิ๋นต่อ
ทว่าเมื่อเขาเห็นหน้ากากสีดำของฉู่อวิ๋นที่อยู่ตรงหน้า มันมืดมนและลึกลับ ในใจจึงอดสั่นสะท้านไม่ได้
นี่คือความกลัวโดยสัญชาตญาณ!
ยามนี้ สัญชาตญาณนักรบบอกเขาว่าบุคคลที่ซ่อนตัวอยู่หลังหน้ากากนี้อันตรายยิ่งนัก! ความแข็งแกร่งนั้นไม่อาจประเมินได้!
ยามนี้ หัวใจยุทธ์ของโม่ซิวสั่นไหวไปหมด จู่ๆ ก็ถูกฉู่อวิ๋นใช้นิ้วเดียวหักกระบี่ ทำเอาเขาล่องลอยไร้สติไม่สมประดี
คนที่หยิ่งยโสคนหนึ่ง อัจฉริยะที่ไร้ผู้ใดเทียบเทียม ความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของเขาถูกทำลายลงอย่างรุนแรง ผลพวงที่ตามมานั้นนับไม่ถ้วน
“อ๊ากกก!! อย่าเข้ามานะ!”
เมื่อเห็นฉู่อวิ๋นค่อยๆ เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม โม่ซิวก็หวั่นวิตกและเริ่มมีอาการทางจิตเล็กน้อย ราวกับเห็นปีศาจแยกเขี้ยวกางกรงเล็บ พยายามถลกหนัง หักกระดูก และฉีกเขาเป็ชิ้นๆ
“ฟิ้ว!”
ลมกระโชกพัดผ่านไป มองเห็นโม่ซิ่วที่กำลังตื่นตระหนก เขาวางกระบี่ลงทันทีก่อนจะทิ้งเพียงเงาเอาไว้แล้ววิ่งหนีออกจากลานเรือนโดยไม่หันกลับมา
หลบหนี... ลานเรือน
ทั้งลานเงียบสงบ จากนั้นจึงได้ยินเสียงแก้วเหล้าตกพื้น
ทุกคนต่างงงงัน บางคนรินเหล้าจนล้นแก้ว บางคนอ้าปากค้างยาวถึงพื้น
ทั่วบริเวณมีแต่เสียงอึกอักหายใจไม่ออก คล้ายกำลังเป่าเครื่องเป่าอย่างแข็งขัน
“โม่ซิวผู้แสนเ็าเด็ดเดี่ยวในการสังหารคนนั้น... วิ่ง วิ่งหนี?” เมื่อได้สติ ผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งก็ร้องอุทานอย่างประหลาดใจ
ประโยคนี้เหมือนไม้ขีดจุดไฟให้ลามทุ่ง ทั้งลานะเิเป็จุณ!
“เด็กดีของข้า! เมื่อครู่นี้เ้าเห็นหรือไม่? เ้า... เ้าคนป่าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณใช้นิ้วเอาชนะโม่ซิว! นั่นคือผู้ฝึกกระบี่สงัดนิรันดร์เลยนะ! ข้าตาฝาดไปหรือเปล่า?”
“ท่านไม่ได้ตาฝาด นี่คือความจริง...และประเด็นก็คือใช้แค่นิ้วเดียว!”
“ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่ง โม่ซิวผู้หยิ่งผยองจะวิ่งหนี... ไม่สิ... ทำไมเขาถึงหนีล่ะ?”
“เ้าอาจไม่รู้ ั้แ่ยังเด็กเขาแทบไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน แม้ว่าเขาจะแพ้ ก็แพ้ให้กับผู้าุโที่มีอำนาจ ในรุ่นเดียวกันนับว่าไม่มีคู่ต่อกร”
“ดูท่าเขาจะได้รับผลกระทบอย่างหนักที่แพ้คนรุ่นหลังที่อายุสิบหกหรือสิบเจ็ดปี!”
ในลานเรือน เกิดเสียงประหลาดใจดังขึ้นทีละนิด ทุกคนสับสนและพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
หลังจากผ่านไปนาน ทุกคนก็สงบลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็จำได้ว่านี่คือการต่อสู้โดยไม่ใช้พลังปราณ เป็การต่อสู้ทางร่างกายเท่านั้น มุ่งเน้นไปที่การเคลื่อนไหวเป็สำคัญ
แต่นี่ไม่น่าเชื่อเกินไปแล้ว คนป่าจากขอบเขตควบแน่นพลังปราณเข้าใจวิชายุทธ์มากกว่านักรบระดับกลางขั้นมหาสมุทร และห่างชั้นกันมากจนน่าใ
“ข้าเคยบอกไปแล้วว่าเ้าโม่ซิวนั่นหยิ่งเกินไป กระบวนท่ากระบี่จะบกพร่องไปก็เป็เื่ปกติ” ตงฟางสยงหัวเราะเบาๆ อย่างหยาบคาย ก่อนจะดื่มเหล้าแก้วใหญ่ตาม เขาไม่ได้แปลกใจอะไรมากนัก
ฉู่อวิ๋นกลับมายังที่นั่ง ราวกับว่าเขาเป็คนธรรมดา ไม่หยิ่งผยองหรือร้อนใจ
จากนั้นก็เรียกสาวใช้ ให้ห้องครัวนำเนื้อิญญาออกมาอีกสองสามชาม บอกว่าท้องหิวแล้ว ทำให้ทุกคนรู้สึกละอายใจ
“ฮะๆ จอมยุทธ์อวิ๋นทำให้พวกข้าประหลาดใจไม่หยุดเลยนะ”
เสวี่ยหานเฟยสะบัดพัดขนนกและยิ้มน้อยๆ ดวงตาของเขาฉายแววประหลาดใจแต่รอยยิ้มยังคงอ่อนโยน
“ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าคุณชายอวิ๋นต้องทำได้”
เสวี่ยหรูเยียนเม้มริมฝีปากแล้วยิ้มน้อยๆ รู้สึกโล่งใจอย่างมาก ความจริงแล้ว เมื่อครู่นี้นางเองก็เหงื่อตกเช่นกัน
ถ้าฉู่อวิ๋นพ่ายแพ้ นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? สมาชิกในตระกูลนางก็จะหัวเราะเยาะที่นางตาไม่ดี
“ว้าว สุดยอด~”
หลังจากดื่มเหล้าแล้ว ฉู่อวิ๋นก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก จากนั้นก็แอบมองไปที่ศาลาด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น สบตากับฉู่ซินเหยา และเผยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจเงียบๆ
ฉู่ซินเหยาเหลือบมองฉู่อวิ๋น ดวงตาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม
พี่น้องสองคนแอบสื่อสารกันโดยปิดบังไม่ให้ใครเห็น ทำให้พวกเขารู้สึกยินดีอย่างประหลาด
ครู่ต่อมา...
“คุณชายอวิ๋น ข้าอยากรู้ว่าครอบครัวของท่านอยู่ที่ไหน? ท่านสืบเชื้อสายมาจากตระกูลมากอำนาจใด? สาวน้อยผู้นี้โง่เขลา ไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มที่มีพร์เช่นท่านมาก่อน”
“เมื่อกี้ท่านใช้นิ้วนั้นได้อย่างไร บอกข้าหน่อยได้ไหม อย่าใจแคบหน่อยเลย”
“จอมยุทธ์อวิ๋น พ่อครัวหอเซวียนเฟิงของข้าฝีมือดีขั้นยอด ท่านสะดวกมาเป็แขกหรือไม่? ไม่คิดเงินแม้แต่แดงเดียว”
ยามนี้ ที่นั่งของฉู่อวิ๋นเต็มเปี่ยมไปด้วยนักพรตหญิงจำนวนมากที่มารวมตัวกันเพื่อถามคำถาม บางคนดูมีเสน่ห์ลึกลับ ราวกับ้ากลืนฉู่อวิ๋นลงไปทั้งเป็ ดูวุ่นวายมาก
สามารถทะลวงกระบี่ได้ด้วยนิ้วเดียวของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ คนป่าคนนี้ต้องมีความลับที่น่าใปกปิดอยู่เป็แน่ นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงเหล่านี้คิด
ความจริงแล้ว นักพรตหญิงจำนวนมากในงานนี้ไม่ถือว่างามล้ำ เพียงแค่จ่าย “ค่าเข้างาน” มา ด้วยอยากเข้ามาชมการแสดงและผูกมิตรกับอัจฉริยะรุ่นเยาว์
“แย่แล้ว~” นักพรตหญิงคนหนึ่งแสร้งทำเป็มือไม้อ่อน เทเหล้าลงบนเสื้อผ้าของฉู่อวิ๋น นางยิ้มอย่างมีเสน่ห์และเอ่ยว่า “ขอโทษด้วยเ้าค่ะ เดี๋ยวข้าเช็ดให้เอง”
เมื่อพูดเช่นนั้น นางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กที่มีกลิ่นหอมออกมาแล้วเช็ดลงบนอกของฉู่อวิ๋น
“อย่า... อย่าแตะต้องข้า... ข้าทำเอง” ฉู่อวิ๋นปฏิเสธ เขาทำอะไรไม่ค่อยถูก เพราะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่เก่งนัก
เดิมทีเขาแค่อยากจะเอาชนะโม่ซิวที่หยิ่งยโสคนนั้น แต่ตอนนี้กลับถูกรายล้อมไปด้วยนักพรตหญิงจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
“เหอะๆ...”
เสียงหัวเราะเรียบง่ายดังขึ้นมา และเสวี่ยหรูเยียนก็เดินเข้าไปในฝูงชน นั่งลงข้างฉู่อวิ๋นและพูดเบาๆ “คุณชายอวิ๋นเพิ่งต่อสู้เสร็จ ไม่อยากให้ใครมารบกวน หากมีเื่ใดแลกเปลี่ยนก็ค่อยไปหาเขาที่จวนตระกูลเสวี่ยได้”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ นักพรตหญิงเ่าั้ก็ได้แต่ล่าถอย ตอนนี้อีกฝ่ายเป็แขกผู้มีเกียรติของจวนตระกูลเสวี่ย ยังไม่ถึงคราวให้พวกนางเข้าไปยุ่งด้วย
เมื่อฝูงชนแยกย้ายกันไป ฉู่อวิ๋นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่เมื่อมองไปด้านข้าง เขาสังเกตเห็นความหงุดหงิดเล็กน้อยบนใบหน้างดงามของเสวี่ยหรูเยียน ซึ่งนั่นทำให้เขางุนงง
จากนั้น เขาก็ลอบมองไปที่ศาลา แต่ก็พบว่าฉู่ซินเหยากำลังจ้องมองเขา บีบมือหยกของตนเบาๆ และแววตาก็ค่อนข้างไม่พอใจเช่นกัน
“ข้าทำอะไรผิด?” ฉู่อวิ๋นเกาหัว ค่อนข้างเป็ทุกข์ การจัดการกับผู้หญิงเป็ทักษะชั้นยอดจริงๆ
ขณะเดียวกันก็มีสายตาขุ่นเคืองส่งมาไม่น้อย นักรบชายบางคนมีสีหน้าเคร่งขรึมแต่แฝงไปด้วยความอิจฉาริษยา
งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว ฉู่เจิ้นหนานกล่าวคำอำลากับทุกคนด้วยเขา้ากลับไปที่ห้องเพื่อนับของขวัญทั้งหมดที่เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์มอบให้
แน่นอนว่ากู่ฉินเซวียนมู่ถูกทิ้งไว้ให้ฉู่ซินเหยา เขาไม่มีทางชอบของที่สุดแสนจะธรรมดาพวกนั้นหรอก
ทุกคนเริ่มพูดคุยอย่างอิสระกันอีกครั้ง ทั้งหมดต่าง้าคุยกับฉู่ซินเหยา แต่ตอนนี้มีผู้แข็งแกร่งมากมายอารักขาอยู่รอบๆ ศาลา คอยกันทุกคนออกไป
ในที่สุด ตงฟางสยงก็อดไม่ได้ เขายิ้มอย่างชั่วร้ายและถามฉู่ซินเหยา “คุณหนูฉู่ เหตุใดท่านถึงไม่เต้นรำเล่า? เอวองค์ท่านดีขนาดนี้ ข้าเชื่อว่าเสน่ห์ของท่านจะเพิ่มขึ้นแน่นอน”
ทุกคนต่างขมวดคิ้ว เอาอีกแล้ว คนเผ่าปีศาจวัวผู้ตัณหากลับคนนี้พูดจาสกปรกอีกแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่อวิ๋นก็เผยสายตาเ็าและออกมาจากวงล้อมของกลุ่มนักพรตหญิง
“คุณหนูฉู่เต้นรำไม่เป็ เ้าไปเถอะ” ฉู่อวิ๋นยืนอยู่หน้าศาลา น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นมาก
“คนป่าเช่นเ้านี่ชอบยุ่งเื่คนอื่นจริงๆ ยังมาทำเป็ฉุนเฉียว ข้าคุยกับคุณหนูฉู่อยู่ เกี่ยวอะไรกับเ้า?” ตงฟางสยงขมวดคิ้วและดูจริงจัง
นางเป็พี่สาวข้า!
ฉู่อวิ๋นคิดในใจ แต่ปากกลับพูดอีกอย่าง “คำที่เ้าพูดออกมาทั้งสกปรกและหยาบคาย ข้าจึงยืนหยัดปกป้องคุณหนูฉู่แล้วจะทำไม?”
“อย่าคิดว่ากำจัดโม่ซิวคนโง่ได้แล้วจะมาผยองเชียว ในสายตาของข้า เ้าก็เป็เพียงคนป่าคนหนึ่ง” ตงฟางสยงยิ้มเยาะ
ทั้งสองยืนประจัญหน้ากันอย่างไม่คิดยอมแพ้ และฉากนั้นก็กลายเป็เื่ที่น่าจับตามองอีกครั้ง
ทันใดนั้น เสวี่ยหานเฟยก็แหวกผู้ชมโบกพัดขนนกและเดินเข้าไปชักชวนด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ดูเหมือนว่าทั้งสองท่านจะมีน้ำโห แต่งานเลี้ยงใกล้จะเลิกแล้ว เหตุใดจึงต้องทะเลาะกันอีกเล่า?”
เสวี่ยหานเฟยยิ้มและพูดต่อ “คุณชายเช่นข้ามีข้อเสนอแนะ ถือเอาโอกาสที่ยังมีคนอยู่มาก ทุกคนก็ยังสนุกอยู่ เช่นนั้นไม่สู้ร่วมสนุกกัน แข่งยิงธนูอีกครั้งดีหรือไม่?”
“แข่งยิงธนู?” ทุกคนถามพร้อมกัน
“ถูกต้อง” เสวี่ยหานเฟยเก็บพัดขนนก มองไปยังฝูงชนที่อยู่ล้อมรอบ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพราะว่าที่นี่ไม่มีพวกท่านคนใดที่เป็ผู้ฝึกธนู ถ้าเราแข่งยิงธนูกันย่อมน่าสนใจทีเดียว”
“ฮ่าๆๆ!” ตงฟางสยงหัวเราะ ตบหน้าอกของเขาแล้วพูดว่า “แม้ว่าข้าตงฟางสยง จะไม่ช่ำชองทักษะธนู แต่ข้าก็มีความสามารถในการขี่ม้ายิงศรไม่น้อย”
“ขี่ม้ายิงศร? ขี่ม้าแบบใด? ยิงอันใด?” มีคนล้อเลียนด้วยเสียงหัวเราะอันลามก
“พูดพล่อยๆ! แน่นอนว่าขี่ม้าต่างชาติ... ไม่สิ เป็ม้าศึก ที่ยิงก็ย่อมเป็ศรธนู!” ตงฟางสยงโต้กลับ จากนั้นก็มองไปที่ฉู่อวิ๋นและพูดล้อ “แล้วเ้าล่ะ? เ้าคนป่า กล้าแข่งหรือไม่?”
“ข้ายิงอะไรก็เก่งกว่าเ้า เช่นนั้นก็จะร่วมด้วยจนสุดทาง” ฉู่อวิ๋นกล่าวอย่างมั่นใจ