หลังจากเื่วุ่นวายทั้งหมดจบลง เวลาก็ล่วงไปจนถึงบ่ายโมงกว่า ๆ
กู่ซิ่วสะพายกระเป๋าออกไปเบิกเงินที่เมืองเซี่ยว ส่วนสวี่ต้าซานก็ออกไปทำงาน
สวี่รั่วเฉินไม่อยากเผชิญหน้ากับพวกย่าสวี่ เลยอ้างว่าจะออกไปจับกุ้งจับปลา แล้วหนีไป
ราวบ่ายสามโมง กู่ซิ่วมาถึงเมืองเซี่ยวและมุ่งตรงไปยังหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง
จี่หนานสยงกำลังทำงานอยู่ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมาบอกว่ามีคนมาหา
จี่หนานสยงเดินออกจากห้องทำงาน เห็นว่าคนที่ตามหาเขาคือกู่ซิ่ว สีหน้าก็บึ้งตึงทันที
เขาลากกู่ซิ่วไปยังมุมเปลี่ยว แล้วถามอย่างไม่พอใจด้วยสีหน้าถมึงทึงว่า “เธอมาหาฉันถึงที่ทำไม?”
“ฉันก็ไม่อยากมาหรอก แต่ฉันจำเป็ต้องใช้เงินจริง ๆ เลยต้องมาหานาย” กู่ซิ่วมองชายที่เธอไม่มีวันได้ตรงหน้า ใจยังอดหวั่นไหวไม่ได้
ฝ่ายชายกลับมองเธออย่างรังเกียจ “ไม่มีเงินให้หรอก มีแต่ชีวิตนี่แหละ!”
กู่ซิ่วพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปบอกเมียนายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา แล้วก็จะบอกเธอด้วยว่าฉันมีลูกสาวนอกสมรสกับนายคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเมียนายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”
จี่หนานสยงเห็นกู่ซิ่วไม่ขอร้องเขา เขาก็หันหลังเดินจากไปแต่ในใจก็รู้สึกใจคอไม่ดี กลัวว่ากู่ซิ่วจะไปหาภรรยาเขาจริง ๆ
แม้ว่าเขาจะบอกกู่ซิ่วเสมอว่าเขายอมพังพินาศไปกับเธอ ดีกว่าถูกเธอรีดไถ
แต่นั่นเป็แค่คำพูดประชดประชันเฉย ๆ เขายังคงกลัวภรรยาจะรู้ว่าเขาเคยมีความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรมกับกู่ซิ่ว และกลัวภรรยารู้ยิ่งกว่าว่าเขากับเธอมีลูกสาวนอกสมรสกัน
จี่หนานสยงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจเรียกกู่ซิ่วไว้ด้วยน้ำเสียงเ็า “เธอ้าเงินเท่าไหร่?”
“ห้าพัน” กู่ซิ่วแบมือออก
ในเมื่อนาน ๆ ทีจะขอเงินได้สักครั้ง ก็ขอเยอะ ๆ ไปเลย!
สีหน้าของชายคนนั้นบึ้งตึงลงทันที “ฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก!”
กู่ซิ่วเลิกคิ้ว “นายคิดว่าฉันอยากขู่นายเหรอ? มีคนรู้เื่ความสัมพันธ์ของฉันกับนายแล้ว เลยขู่ขอเงินปิดปากจากฉันห้าพันหยวน ถ้านายไม่ยอมจ่ายเงินก้อนนี้ ก็รอให้เราสองคนฉิบหายไปด้วยกันละกัน”
ทั้งสองต่อรองกันอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ตกลงจะไปถอนเงินมาให้เธอ แต่ให้ได้แค่สามพันเท่านั้น จะเอาหรือไม่เอา
กู่ซิ่วรับไว้อยู่แล้ว! ตอนนี้สิ่งที่เธอขาดแคลนที่สุดคือเงิน
หลังจากได้เงินมา กู่ซิ่วก็ไปที่ธนาคารลู่หงฉี ฝากเงินที่เพิ่งได้มาสองพันเข้าบัญชีตัวเอง เอาติดตัวกลับบ้านแค่พันเดียว
เธอกลัวว่าถ้าเอาเงินทั้งหมดกลับบ้านแล้วถูกแม่สามีเห็นเข้าจะโดนแย่งไป ฝากไว้ในธนาคารปลอดภัยกว่า
…
คุณย่าสวี่อายุหกสิบกว่าปี เร่งเดินทางมาไกลกลางดึกกลางดื่น เหนื่อยมากอยู่แล้ว ยังมาตบตีสวี่เยว่อีก ยิ่งทำให้เหนื่อยหนักกว่าเดิม จนนั่งหลับไป
คุณปู่สวี่ก็ไม่ต่างกัน หาวหวอด ๆ ท่าทางอ่อนเพลีย
สวี่เยว่เห็นดังนั้นจึงพูดเอาใจ “คุณปู่คุณย่าคะ ถ้าเหนื่อยก็ไปนอนในห้องพี่ชายเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูยกพัดลมไปเป่าให้คุณปู่คุณย่า”
คุณย่าสวี่หาวหวอดใหญ่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “พวกเราจะไปนอนในห้องของแก”
สีหน้าของสวี่เยว่แข็งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบยิ้มหวาน “ได้ค่ะ”
แต่ในใจลอบกัดฟันแทบร้าว
หลังจากพาย่าสวี่และปู่สวี่ไปนอนที่ห้องของเธอแล้ว สวี่เยว่ก็วกกลับมาที่ห้องนั่งเล่น พอเห็นครอบครัวของสวี่เสี่ยวซาน ก็นึกแผนการหนึ่งขึ้นมาได้
สวี่เยว่ถามหลี่เซียงเหมยด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “อาสะใภ้คะ ปีนี้อาเวยก็สอบเข้ามหาลัยเหมือนกันใช่ไหมคะ?”
หลี่เซียงเหมยรีบตั้งท่าระวังทันที “เธอถามเื่นี้ทำไม?”
หลี่เซียงเหมยมีภาพจำไม่ดีต่อสวี่เยว่มาแต่ไหนแต่ไร คิดว่าเธอเหมือนกู่ซิ่วแม่ของเธอ คือพวกดอกบัวขาว
ยิ่งได้ยินเื่ที่สวี่ฮุ่ยเล่าว่าสวี่เยว่ยืมมือคนอื่นฆ่าคนเมื่อกี้ ยิ่งทำให้เธอมั่นใจว่ายัยนี่ไม่ใช่คนดี จึงต้องระวังเป็พิเศษ
สวี่เยว่ยิ้มเข้าสู้แล้วพูดว่า “อาเวยเรียนซ้ำชั้นเหมือนหนูมาสองปีแล้ว ถ้าเรียนซ้ำชั้นอีก คงสอบไม่ติดแม้แต่มหาลัยวิชาชีพ”
“งั้น…งั้น…ให้อาเวยสวมรอยไปเรียนมหาลัยแทนพี่สาวหนูดีไหมคะ อนาคตก็จะได้ทำงานในเมือง แถมยังได้เงินเดือนและสวัสดิการข้าราชการด้วย”
สวี่เจียเวยมองพ่อแม่ของเขาทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนา
เขาตั้งใจเรียนก็เพื่อจะสอบเข้ามหาลัย เป็คนเมือง
เขาไม่อยากทำไร่ทำนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินเหมือนพ่อแม่ แบบนั้นมันลำบากเกินไป!
แต่ปัญหาคือ เขาสอบไม่ติดแม้แต่มหาลัยวิชาชีพ แล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองได้อย่างไร?
ตอนนี้จู่ ๆ โอกาสเข้ามหาลัยก็วางแผ่อยู่ตรงหน้า เขาไม่อยากพลาดเลยสักนิด
หลี่เซียงเหมยเป็แค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่รู้เื่พวกนี้ เธอถามอย่างสงสัย “เรียนมหาลัยก็สวมรอยแทนกันได้ด้วยเหรอ?”
สวี่เยว่พูดอย่างหนักแน่น “ได้อยู่แล้วสิคะ! มีคนขายกระทั่งคะแนนสอบเข้ามหาลัยด้วยซ้ำ เหตุการณ์แบบนี้เป็เื่ธรรมดามาก อาเวยไปสวมรอยเรียนแทนพี่สาวหนู ขอแค่พี่สาวหนูไม่แจ้งความก็พอแล้ว”
หลี่เซียงเหมยลังเล “แล้วถ้าพี่สาวเธอแจ้งความล่ะ?”
สวี่เยว่พูดอ้างมีเหตุมีผล “ยังมีคุณปู่คุณย่าอยู่อีกนะคะ? ทำไมผู้หญิงอย่างพี่สาวถึงต้องเรียนมหาลัยด้วย?”
“โอกาสสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลแบบนี้ไม่ควรเป็ของอาเวยเหรอคะ?”
สวี่เจียเฉียงกลับรู้สึกว่าไม่เหมาะสม “แม่ เราจะไปแย่งโอกาสเรียนมหาลัยของฮุ่ยฮุ่ยได้ยังไง!”
สวี่เสี่ยวซานเริ่มหวั่นไหวบ้าง “เด็กน้อยอย่างแกจะรู้อะไร? ไปปลุกคุณปู่คุณย่ามา ทุกคนจะปรึกษาเื่สำคัญด้วยกัน”
มุมปากของสวี่เยว่ยกขึ้นอย่างเงียบๆ
เธอสวมรอยไปเรียนมหาวิทยาลัยแทนสวี่ฮุ่ยไม่ได้ เธอก็จะไม่ปล่อยให้สวี่ฮุ่ยได้เรียนเหมือนกัน!
ถ้าสวี่เจียเวยไปเรียนแทนสวี่ฮุ่ยจริง ๆ ถึงตอนนั้นเธอจะแจ้งความโดยไม่เปิดเผยชื่อ แล้วโยนความผิดให้ยัยงั่งสวี่ฮุ่ย
เมื่อเวลานั้นมาถึงย่าสวี่ต้องจัดการสวี่ฮุ่ยแน่แล้วเธอก็จะได้นั่งดูละครสนุก ๆ
…
สวี่ฮุ่ยกินข้าวเที่ยงเสร็จก็สอนการบ้านให้พวกเด็กมัธยมปลายที่บ้านพักพนักงานในห้องรับรองอยู่ตลอด จนกระทั่งบ่ายสี่โมงกว่า ๆ
ขณะลุงยามกำลังงีบหลับ ตำรวจหนุ่มในเครื่องแบบคนหนึ่งก็ชะโงกหน้าเข้ามาถามว่า “คุณลุงครับ บ้านของสวี่ต้าซานไปทางไหนครับ?”
ลุงยามลืมตาขึ้นแล้วถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “นายมีธุระอะไรกับผู้จัดการโรงงานสวี่เหรอ?”
“ผมได้รับมอบหมายจากหัวหน้าลู่ ให้มาถามสหายสวี่ฮุ่ยว่าแม่ของเธอนำเงินรางวัลพันหยวนที่เอาไปคืนให้เธอหรือยังน่ะครับ?”
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเสี่ยวเจวียนพูดแทรกขึ้นมาว่า “อากู่ไม่เพียงแต่ไม่คืนเงินพันหยวนให้พี่ฮุ่ยฮุ่ย สวี่เยว่ยังขโมยเงินสามพันหยวนที่ทางมณฑลมอบให้พี่ฮุ่ยฮุ่ยไปให้แม่ของเธอซ่อนไว้ด้วย”
นายตำรวจถามด้วยความแปลกใจ “เธอรู้ละเอียดขนาดนี้ได้ยังไง?”
เสี่ยวเจวียนบอก “คุณย่าของพี่ฮุ่ยฮุ่ยะโลั่นจน ทั้งบ้านพักพนักงานรู้กันหมดเลยค่ะ”
นักเรียนมัธยมปลายคนอื่น ๆ ที่กำลังเรียนพิเศษต่างพยักหน้าเป็การยืนยันว่าสิ่งที่เสี่ยวเจวียนพูดเป็ความจริงทั้งหมด
ลู่ฉี่เสียนเคยเตือนพวกกู่ซิ่ว แล้วว่าอย่าคิดจะยุ่งกับเงินรางวัลและคะแนนสอบเข้ามหาลัยของสวี่ฮุ่ยอีก แต่พวกเขากลับทำหูทวนลมกับคำพูดของลู่ฉี่เสียน
นายตำรวจโกรธมาก “พวกคุณ ใครสักคนพาผมไปบ้านสวี่ต้าซานหน่อย”
ลุงยามพเยิดคางไปทางสวี่ฮุ่ย “ฮุ่ยฮุ่ยอยู่ที่นี่ไง ให้ฮุ่ยฮุ่ยพาไปสิ”
สวี่ฮุ่ยพานายตำรวจคนนั้นไปที่หน้าบ้านตัวเอง เห็นประตูบ้านปิดสนิท มีเสียงคนพูดคุยกันอยู่ข้างใน
ทั้งสองสบตากัน ไม่มีใครเคาะประตู แต่กลับยืนแอบฟังอย่างรู้กัน
แม้เสียงพูดคุยข้างในจะเบา แต่พอพูดด้วยอารมณ์ตื่นเต้น เสียงก็ดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว
สวี่ฮุ่ยกับนายตำรวจปะติดปะต่อเื่ราวจากคำพูดที่ขาด ๆ หาย ๆ จนได้ความจริง
ครอบครัวสวี่กำลังวางแผนให้คนอื่นสวมรอยแทนสวี่ฮุ่ยไปเรียนมหาลัย
นายตำรวจเคาะประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เปิดประตู ตำรวจขอเข้าตรวจค้น!”
ภายในบ้านเงียบเป็เป่าสากทันที
ไม่ถึงนาที สวี่เยว่ก็เปิดประตูด้วยท่าทางอ่อนแรง พอเห็นตำรวจก็เรียกอย่างหวาดกลัว “สวัสดีค่ะคุณตำรวจ” แล้วเชิญตำรวจกับสวี่ฮุ่ยเข้าไปในบ้าน
พอเข้ามาในบ้าน นายตำรวจก็กวาดสายตามองทุกคนในครอบครัวสวี่อย่างจริงจัง แล้วถามสีหน้าเ็า “พวกคุณอยากให้ใครสวมรอยแทนสวี่ฮุ่ยไปเรียนมหาลัยนะครับ?”
ทุกคนเงียบกริบ มีเพียงสวี่เยว่ที่หน้าซีดเล็กน้อย
เธอสงสัยว่าสวี่ฮุ่ยเป็คนเรียกตำรวจมา ในใจอยากจะเฉือนเธอเป็พันเป็หมื่นชิ้นจริง ๆ
นายตำรวจพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะครับ การสวมรอยแทนคนอื่นไปเรียนมหาลัย หากถูกเปิดโปง ผลที่ตามมาจะร้ายแรงมาก”
สองปู่ย่าสวี่และครอบครัวลูกชายคนรองเป็แค่คนบ้านนอก ไม่เคยเห็นโลกกว้าง ถูกตำรวจขู่ไม่กี่คำก็ใจนขวัญหนีดีฝ่อ
สวี่ฮุ่ยพูดกับตำรวจว่า “คุณปู่คุณย่ากับครอบครัวอารองไม่มีทางคิดจะยุ่งกับคะแนนสอบเข้ามหาลัยของฉันหรอกค่ะ ถ้ามีก็ต้องเป็สวี่เยว่แน่ ๆ ที่ยุยง”
สวี่ฮุ่ยชี้นิ้วไปที่สวี่เยว่
สวี่เยว่โดนสวี่ฮุ่ยจ้องจนตัวสั่นเทา เธออยากจะโยนความผิดให้ย่าสวี่กับคนอื่น ๆ แต่พอสบสายตาที่แทบจะลุกเป็ไฟของพวกเขา เธอก็ไม่กล้าแม้แต่น้อย
การที่สวี่เยว่ไม่ปริปาก เท่ากับว่าเธอยอมรับโดยปริยาย
นายตำรวจจึงตำหนิสวี่เยว่อย่างหนัก