บทที่ 6 การควบรวมกิจการและการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปราวกับสายลมพัด โรงซักล้างภายใต้การบริหารของเสิ่นเยว่ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างสิ้นเชิง สายการผลิต ดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ อัตราการส่งมอบล่าช้าลดลงเหลือศูนย์ อัตราความเสียหายของเสื้อผ้าแทบไม่มี และผงซักฟอกสูตรพิเศษ ของนางก็กลายเป็ที่ชื่นชอบของบ่าวไพร่จากทุกเรือน เพราะไม่เพียงแต่จะซักผ้าได้สะอาดหมดจด แต่ยังทิ้งกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่น่าพึงพอใจอีกด้วย
เสิ่นเยว่ได้สร้างแบรนด์ ที่แข็งแกร่งขึ้นมาในตลาดภายในของจวนแม่ทัพได้สำเร็จ แต่ CEO ที่ดีจะไม่มีวันหยุดนิ่งอยู่กับที่ เมื่อแผนกของตนเองเข้าที่แล้ว ขั้นต่อไปคือการขยายอิทธิพล หรือในภาษาธุรกิจคือ การควบรวมกิจการ (Mergers and Acquisitions)
เป้าหมายแรกของนางคือ แผนกเย็บปักถักร้อย
แผนกนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงซักล้าง มีหน้าที่ซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ชำรุดและตัดเย็บเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับบ่าวไพร่ แต่สภาพของมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าโรงซักล้างในยุคของหลิวมามาเลยแม้แต่น้อย
"ระบบ วิเคราะห์ประสิทธิภาพของแผนกเย็บปัก"
[กำลังประมวลผล วิเคราะห์เสร็จสิ้น]
ข้อมูลที่ปรากฏขึ้นในหัวของเสิ่นเยว่ทำให้นางต้องส่ายหน้าอีกครั้ง
· หัวหน้าแผนก: สวี่มามา อายุ 55 ปี อนุรักษ์นิยม ยึดติดกับวิธีการแบบดั้งเดิม
· ปัญหาหลัก: 1. กระบวนการทำงานล่าช้า (งานซ่อมแซมเล็กน้อยใช้เวลา 3-5 วัน) 2. คุณภาพงานไม่สม่ำเสมอ (ฝีเข็มหยาบ ใช้ด้ายผิดสี) 3. การจัดการสต็อกวัตถุดิบ (เข็ม ด้าย ผ้า) หละหลวม ทำให้เกิดการสูญเปล่าและขาดแคลนบ่อยครั้ง
"องค์กรที่ขาดนวัตกรรมและยึดติดกับความสำเร็จในอดีต ย่อมถึงกาลล่มสลาย" เสิ่นเยว่คิดในใจ "ถึงเวลาต้องเข้าไป Disrupt แล้ว"
โอกาสมาถึงเมื่อบ่าวจากเรือนอนุจินวิ่งหน้าตาตื่นมาหานางที่โรงซักล้าง
"ท่านผู้ดูแลเสิ่นแย่แล้ว! ชุดราตรีตัวใหม่ของอนุจินที่จะใช้ใส่ในงานเลี้ยงชมจันทร์คืนพรุ่งนี้ ถูกบ่าวซุ่มซ่ามทำน้ำแกงหกใส่เป็รอยด่าง! แถมชายกระโปรงยังเกี่ยวเข้ากับโต๊ะจนขาดเป็ทางยาวอีก!"
เสิ่นเยว่รีบตามไปดูที่เรือนบุปผาโปรยปรายทันที สิ่งที่นางเห็นคืออนุจินที่กำลังเกรี้ยวกราดราวกับพายุ และสวี่มามาที่กำลังคุกเข่าตัวสั่นอยู่เบื้องหน้า
"ไร้ประโยชน์สิ้นดี!" อนุจินตวาดลั่น "ข้าสั่งตัดชุดนี้มาเป็เดือน กว่าจะได้ผ้าไหมต้วนซิ่วสีม่วงเปลือกมังคุดที่ถูกใจ แล้วพวกเ้ากลับทำพังในวันสุดท้ายเนี่ยนะ! แล้วนี่ยังจะบอกข้าอีกว่าซ่อมไม่ทันรึ!"
"ต้องขอประทานอภัยจริงๆ เ้าค่ะอนุจิน" สวี่มามาตอบเสียงสั่น "คราบน้ำแกงนี้ซึมลึกเกินไป ต้องใช้เวลาแช่น้ำยาเป็วันๆ ส่วนรอยขาดก็ยาวเกินไป หากจะเลาะแล้วเย็บใหม่ทั้งหมด เกรงว่าจะไม่ทันคืนพรุ่งนี้จริงๆ เ้าค่ะ"
"ข้าไม่สน! ถ้าข้าไม่มีชุดใส่ในคืนพรุ่งนี้ พวกเ้าทุกคนในแผนกเย็บปักก็เตรียมตัวไปเลี้ยงเป็ดที่ชายแดนได้เลย!"
นี่คือวิกฤตการณ์ และวิกฤตการณ์ก็คือโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่สุด!
"บางที บ่าวอาจจะพอมีวิธีเ้าค่ะ"
เสียงเรียบเฉยของเสิ่นเยว่ดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่นางเป็จุดเดียว
"เ้า?" อนุจินหรี่ตามอง "เ้าเป็คนซักผ้า จะมายุ่งอะไรกับงานเย็บปัก?"
"หลักการพื้นฐานของการจัดการปัญหาก็คล้ายกันเ้าค่ะ" เสิ่นเยว่เดินเข้าไปหยิบชุดเ้าปัญหาขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดโดยไม่เกรงกลัว "สิ่งสำคัญคือต้องวิเคราะห์ปัญหาให้ถูกจุด และหาทางแก้ไขที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่ยึดติดกับวิธีเดิมๆ"
นางสำรวจรอยขาดและคราบสกปรก "คราบนี้ ไม่จำเป็ต้องซักทั้งชุดให้เสียเวลา ส่วนรอยขาดนี้ การเลาะแล้วเย็บใหม่คือวิธีที่โง่ที่สุด เพราะมันจะทิ้งร่องรอยไว้และทำให้เสียรูปทรง"
"แล้วเ้าจะทำอย่างไร!" อนุจินถามอย่างหมดความอดทน
เสิ่นเยว่ยิ้มมุมปาก "เราไม่ได้จะซ่อมแซมมันเ้าค่ะ แต่เราจะอัปเกรดมัน"
นางหันไปสั่งบ่าวรับใช้ของอนุจิน "ไปเอาดิ้นทองกับดิ้นเงินที่ดีที่สุดมาให้ข้า พร้อมกับเข็มเย็บผ้าที่เล็กที่สุด และขอไข่มุกเม็ดเล็กๆ ที่ขนาดเท่าๆ กันมาหนึ่งถ้วย"
จากนั้นนางก็หันไปทางสวี่มามาที่ยังคงงุนงง "สวี่มามา ข้า้ายืมตัวลูกมือของท่านที่มีฝีมือการปักผ้าดีที่สุดมาสองคน"
แม้จะไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นสายตาคาดหวังของอนุจิน สวี่มามาก็จำต้องพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อได้อุปกรณ์และ "ทีมงานเฉพาะกิจ" มาครบแล้ว เสิ่นเยว่ก็เริ่มลงมือ "นำเสนอโซลูชัน" ของนางทันที
ขั้นตอนที่ 1: การจัดการคราบ (Damage Control)
นางไม่ได้นำชุดไปแช่น้ำ แต่ใช้วิธีเดียวกับที่เคยจัดการคราบไวน์ คือใช้ผงซักฟอกสูตรพิเศษของนางผสมน้ำเล็กน้อยให้เป็ครีมข้น แล้วค่อยๆ ป้ายลงบนคราบสกปรก จากนั้นใช้ผ้านุ่มชุบน้ำอุ่นค่อยๆ กดซับออกอย่างเบามือ วิธีนี้ช่วยจำกัดความเสียหายให้อยู่ในวงแคบที่สุดและประหยัดเวลาได้อย่างมหาศาล
ขั้นตอนที่ 2: การออกแบบใหม่ (Re-branding)
เมื่อคราบจางลงจนแทบมองไม่เห็นแล้ว ก็มาถึงปัญหาใหญ่คือรอยขาด เสิ่นเยว่ไม่ได้เย็บมันกลับเข้าไปตรงๆ นางใช้ชอล์กขีดเขียนร่างลวดลายใหม่ขึ้นมาทับบริเวณรอยขาดและบริเวณที่เคยมีคราบสกปรก!
"เราจะใช้การปักเข้ามาช่วย" นางอธิบายให้ช่างปักทั้งสองฟัง "เราจะเปลี่ยนรอยขาดนี้ให้กลายเป็กิ่งเหมยที่เลื้อยขึ้นไปตามชายกระโปรง และใช้การปักลายดอกเหมยเล็กๆ ด้วยดิ้นเงินและดิ้นทอง เพื่อปิดทับร่องรอยของคราบที่ยังเหลืออยู่ ส่วนไข่มุก เราจะใช้มันทำเป็เกสรของดอกเหมย"
ช่างปักทั้งสองตาโต นี่เป็ความคิดที่พวกนางไม่เคยคาดคิดมาก่อน! เป็การเปลี่ยนจุดบกพร่องให้กลายเป็จุดเด่น!
ภายใต้การควบคุมและออกแบบของเสิ่นเยว่ "โครงการฟื้นฟูฉุกเฉิน" ก็เริ่มต้นขึ้น นางแบ่งงานให้ช่างปักทั้งสองรับผิดชอบคนละส่วนเพื่อความรวดเร็ว ตัวนางเองก็ลงมือช่วยร้อยไข่มุกและจัดการรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม
ในที่สุด ก่อนตะวันจะตกดิน ชุดราตรีตัวนั้นก็เสร็จสมบูรณ์
มันไม่ใช่ชุดตัวเดิมอีกต่อไป!
บนผืนผ้าไหมสีม่วงเปลือกมังคุด บัดนี้ปรากฏลายปักกิ่งเหมยสีทองอร่ามที่เลื้อยจากชายกระโปรงขึ้นมาอย่างงดงาม ดอกเหมยเล็กๆ ที่ปักด้วยดิ้นเงินสะท้อนแสงแวววาวราวกับเกล็ดน้ำค้างยามเช้า และไข่มุกเม็ดเล็กๆ ที่เป็เกสรก็ช่วยเพิ่มความหรูหราและมิติให้กับชุดได้อย่างน่าอัศจรรย์
มันงดงามกว่าเดิม หรูหรากว่าเดิม และมีเพียงตัวเดียวในโลก!
อนุจินที่รอคอยอย่างกระวนกระวายถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นผลงานชิ้นเอกตรงหน้า นางเดินเข้าไปลูบไล้ลายปักนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
"นี่ นี่มัน"
"เป็การออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเ้าค่ะ" เสิ่นเยว่กล่าวอย่างเรียบเฉย "บ่าวเพียงแค่เปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็โอกาส"
อนุจินหันขวับมามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด "ดี! ดีมาก! เสิ่นเยว่! เ้าทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอจริงๆ!"
นางหันไปตวาดใส่สวี่มามาที่ยืนหน้าซีดอยู่ "ดูไว้เป็ตัวอย่าง! นี่สิถึงเรียกว่าการใช้สมองทำงาน! ไม่ใช่เอาแต่พูดว่าทำไม่ได้!"
จากนั้นนางก็ประกาศกร้าว "ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ให้เสิ่นเยว่มีอำนาจในการดูแลและปรับปรุงแผนกเย็บปักได้ตามที่เห็นสมควร! ข้า้าเห็นผลลัพธ์แบบนี้อีก ไม่ใช่ข้อแก้ตัว!"
[ติ๊ง! ท่านได้แก้ไขวิกฤตการณ์และสร้างความประทับใจสูงสุดให้แก่ผู้มีอำนาจ!]
[ท่านได้รับอำนาจในการบริหารจัดการแผนกเย็บปัก!]
[ความคืบหน้าภารกิจ "ปฏิรูปโรงซักล้าง" เปลี่ยนเป็ภารกิจใหม่: "ปฏิรูปฝ่ายสนับสนุน"!]
[ความคืบหน้าภารกิจ: 45%]
"การควบรวมกิจการสำเร็จลุล่วง" เสิ่นเยว่โค้งรับคำสั่งอย่างสงบนิ่ง แต่มุมปากกลับยกขึ้นเป็รอยยิ้มแห่งชัยชนะ
วันต่อมา เสิ่นเยว่เดินเข้าไปในแผนกเย็บปักอย่างเป็ทางการ บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและไม่เป็มิตร สวี่มามาและลูกน้องมองนางเป็ผู้รุกราน ที่จะมาแย่งชิงอำนาจของพวกนาง
แต่เสิ่นเยว่ไม่ได้มาเพื่อทำา นางมาเพื่อ "ปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ"
"สวี่มามา" นางเอ่ยขึ้นเป็คนแรก "ข้าไม่ได้จะมาปลดท่านหรือใครทั้งนั้น แต่ข้าจะมาทำให้การทำงานของพวกท่านง่ายขึ้นและดีขึ้น"
นางไม่ได้เริ่มต้นด้วยการตำหนิ แต่เริ่มต้นด้วยการเสนอ "ผลประโยชน์ร่วมกัน"
"จากนี้ไป โรงซักล้างและแผนกเย็บปักจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด" นางประกาศ "เมื่อโรงซักล้างพบเสื้อผ้าชำรุด จะมีการส่งซ่อมทันทีโดยมีใบส่งงานระบุรายละเอียดชัดเจน และเมื่อแผนกเย็บปักซ่อมเสร็จ ก็จะส่งกลับไปให้เราจัดการทำความสะอาดขั้นสุดท้ายก่อนส่งคืนเ้านาย"
นี่คือการสร้าง "Workflow" หรือกระบวนการทำงานที่เชื่อมต่อกันอย่างเป็ระบบ ลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนและป้องกันการโยนความผิดไปมา
จากนั้นนางก็เริ่มจัดการระบบสต็อก ที่หละหลวม นางให้บ่าวนำเข็ม ด้าย และผ้าทั้งหมดออกมาทำบัญชี จัดเก็บในชั้นวางอย่างเป็ระเบียบโดยมีป้ายระบุชัดเจน และใช้ระบบเบิก-จ่าย ที่ต้องมีการลงชื่อทุกครั้ง
"ของทุกชิ้นในนี้คือทรัพย์สินของจวน คือต้นทุนของเรา" นางอธิบาย "การลดความสูญเปล่า ก็คือการเพิ่มกำไร"
แม้จะใช้คำศัพท์ที่คนยุคนี้ไม่เข้าใจ แต่แิเื่การประหยัดนั้นทุกคนเข้าใจดี
สุดท้ายคือการ "พัฒนาบุคลากร"
"สวี่มามา ท่านมีประสบการณ์ในการตัดเย็บแพรพรรณชั้นสูงมานาน ความรู้ของท่านมีค่ามาก แต่ท่านไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ทั้งหมด" เสิ่นเยว่กล่าวอย่างให้เกียรติ "หน้าที่ของท่านต่อไปนี้ คือการถ่ายทอดความรู้และควบคุมคุณภาพงานของคนอื่นๆ ส่วนข้าจะช่วยท่านในเื่การบริหารจัดการและคิดค้นเทคนิคใหม่ๆ"
นางเปลี่ยนบทบาทของสวี่มามาจากผู้ปฏิบัติงาน ให้เป็ "ผู้จัดการฝ่ายควบคุมคุณภาพและฝึกอบรม" ซึ่งเป็การยกย่องและให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของนาง ในขณะเดียวกันก็ดึงอำนาจในการบริหารจัดการโดยรวมมาไว้ที่ตัวเองได้อย่างแเี
สวี่มามาที่เตรียมตัวมาต่อต้านเต็มที่ถึงกับงุนงงไปหมด เด็กสาวตรงหน้าไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่เข้าข่มขู่ แต่กลับจัดแจงทุกอย่างอย่างมีเหตุมีผลและยังให้เกียรตินางอีกด้วย กำแพงในใจของนางจึงค่อยๆ ทลายลง
ภายในเวลาเพียงสามวัน แผนกเย็บปักที่เคยเงียบเหงาและไร้ประสิทธิภาพก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมา การทำงานเป็ระบบมากขึ้น ของที่เคยหาไม่เจอก็หาเจอได้ง่าย และที่สำคัญที่สุดคือความขัดแย้งระหว่างสองแผนกได้หายไป กลายเป็การร่วมมือกันทำงานอย่างราบรื่น
เสิ่นเยว่ได้สร้าง "พันธมิตรทางธุรกิจ" ที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้สำเร็จ
เย็นวันนั้น ขณะที่นางกำลังตรวจสอบบัญชีของทั้งสองแผนก พ่อบ้านใหญ่คังก็เดินเข้ามาหานางเป็การส่วนตัว
"ข้าเฝ้าดูสิ่งที่เ้าทำมาตลอดหนึ่งสัปดาห์นี้" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แววตากลับฉายแววชื่นชมอย่างชัดเจน "เ้าเปลี่ยนแผนกที่ใกล้จะเน่าเฟะสองแผนกให้กลายเป็หน่วยงานที่มีประสิทธิภาพที่สุดในเขตบ่าวไพร่ได้อย่างไรกัน?"
เสิ่นเยว่ยิ้มเล็กน้อย "บ่าวเพียงแค่มองเห็นปัญหา และจัดการมันอย่างเป็ระบบเท่านั้นเ้าค่ะ"
"ความเป็ระบบของเ้า มันน่าทึ่งมาก" พ่อบ้านคังกล่าว "ฮูหยินใหญ่รับทราบเื่ทั้งหมดแล้ว และท่านก็พอใจมากเช่นกัน"
เขายื่นถุงเงินหนักอึ้งส่งให้นาง "นี่เป็รางวัลพิเศษที่ฮูหยินใหญ่ประทานให้ สำหรับความสามารถในการบริหารจัดการของเ้า"
[ติ๊ง! ท่านได้รับการยอมรับจากผู้มีอำนาจสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ (COO) !]
[ได้รับรางวัล: 50 ตำลึงเงิน!]
[ความคืบหน้าภารกิจ "ปฏิรูปฝ่ายสนับสนุน": 65%!]
เสิ่นเยว่รับถุงเงินมา มันคือโบนัสก้อนแรกในชีวิตใหม่ของนาง เป็สัญลักษณ์ของความสำเร็จที่จับต้องได้
"ขอบพระคุณฮูหยินใหญ่และท่านพ่อบ้านที่เมตตาเ้าค่ะ"
"ทำงานของเ้าต่อไปให้ดี" พ่อบ้านคังกล่าวทิ้งท้าย "จวนแห่งนี้ ยังมีแผนกอื่นๆ อีกมากที่้าการปฏิรูปจากเ้า"
เมื่อพ่อบ้านคังจากไป เสิ่นเยว่ก็วางถุงเงินลงบนโต๊ะ ดวงตาของนางทอประกายคมปลาบ
"แน่นอน การขยายตลาด เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น"
อาณาจักรของนางกำลังเติบโต และมันจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเขตบ่าวไพร่แห่งนี้อย่างแน่นอน
