อวิ๋นอี้อดกลั้นมาตลอดทาง ไม่รู้จะเริ่มพูดกระไรก่อน หลังจากทานอาหารเย็น ทั้งสองก็ไปอาบน้ำหลังจากเสร็จสิ้นกิจทั้งหมด หรงซิวจึงเริ่มถาม
เขาไม่รีบร้อน มองดูนางนิ่งๆ เดิมทีอวิ๋นอี้ไม่อยากจะพูดถึงมัน แต่เขาดึงดันถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตอนที่บุรุษดื้อรั้นขึ้นมา ก็เอาเื่อยู่เหมือนกัน
อวิ๋นอี้ยีหัวอย่างหงุดหงิด ล้มตัวนอนบนเตียง ถอนหายใจยาวอย่างช่วยไม่ได้ "เห้อ!"
นางเล่าให้หรงซิวฟังถึงสิ่งที่จัดการสาวใช้ที่นำงูมาปล่อย ทันทีที่พูดจบ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด “ก็เช่นเดียวกับนมบ้านเรือนใดมีปัญหา ผู้รับผิดหนักก็คือคนเลี้ยงวัว สาวใช้ตัวนิดเดียว แม้จะนับว่านางกล้าหาญมากก็ตาม แต่นางจะเสี่ยงตัวเอง มาทำร้ายข้าเชียวหรือ?”
หรงซิวรู้ดีว่าเื่นี้มีอันใดไม่ชอบมาพากล
พวกเขาล้วนรู้ว่าผู้ใดเป็ผู้ที่อยู่เื้ั แต่พวกเขาไม่สามารถจัดการผู้นั้นได้ ราชวงศ์ให้ความสำคัญกับการดุลอำนาจ และการควบคุมกันและกัน ฮ่องเต้อวี่ซวนที่เฉลียวฉลาดด้านนี้ จะไม่กระทำการที่หุนหันพลันแล่นอย่างแน่แท้
คับข้องใจนัก...
หรงซิวมีความห่วงใย เขามองดูสตรีตัวน้อยที่นอนอยู่บนเตียง สักพักก็เอนตัวไปอยู่ข้างบน “ยังโกรธอยู่หรือ?”
“ใช่สิเพคะ”
“ควรทำอย่างไรดี?" น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนยิ่งขึ้นอีก ราวกับขนนกที่สะกิดหัวใจของนาง
เพียงหรงซิวััผิวของนาง นางก็รู้สึกชาไปหมดทั้งตัว เขาลูบไล้อย่างตะกละตะกลาม ไม่คิดเลยว่ามือของสตรีผู้นั้นจะดันหัวเขาออกอย่างแรงในวินาทีถัดมา "ฝ่าาอย่าคิดจะฉวยโอกาสกับข้าสิเพคะ!"
เขาหัวเราะออกมาดังๆ “หากข้าทำแล้วจะเป็อย่างไร?”
“หรงซิว ฝ่าา!”
อวิ๋นอี้กำลังจะเตะเขา แต่กลับถูกหรงซิวที่เร็วกว่าจับขาไว้แน่น นางร้องออกมาด้วยความใ อยากจะดึงมันกลับ แต่เรี่ยวแรงของเขาช่างเยอะ ทำให้นางไม่สามารถดิ้นรนให้หลุดพ้นได้
“ปล่อยสิเพคะ!” นางกระตุกขาให้หลุด “ปล่อยเพคะ ไม่ได้ยินหรือ?”
“ได้ยินแล้ว” หรงซิวตอบ จ้องนางด้วยดวงตาสีเข้มดุจอัญมณีสีดำ “แต่ข้าไม่อยากเชื่อฟัง"
"หรงซิว! อุ้บ!"
คำพูดของอวิ๋นอี้ยังไม่ทันจบ บุรุษที่อยู่ข้างบนก็ปิดปากนางไว้ด้วยปากเขา
เขาจูบนางอย่างร้อนแรง ลมหายใจของทั้งคู่คลอเคลียกัน อวิ๋นอี้สู้ไม่ได้ ทำได้เพียงอดกลั้นเพียงเท่านั้น
ไม่นาน ร่างกายที่ขัดขืนของนางก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง ทักษะการจูบที่ยอดเยี่ยมของเขาทำให้นางไร้เรี่ยวแรง
ในตอนนั้นเอง เขาก็หยุดความรุนแรงลง จากท่าทีเร่งร้อนดังพายุฝน ก็กลับกลายเป็การพรรณนาภาพวาดที่ช่างอ่อนหวานนัก
จูบครั้งแล้วครั้งเล่า อ่อนโยนและใส่ใจ
ขณะที่อวิ๋นอี้ตาพร่า นางก็ได้ยินคำปลอบโยนของเขาข้างหู “เื่ในวังค่อนข้างซับซ้อน หากแต่เ้าไม่ต้องกังวล ต่อไปข้าจะปกป้องเ้าให้ดีที่สุด มิให้เ้าต้องเ็ป”
น่าจะเป็เพราะหรงซิวที่อ่อนโยนมาก จนทำให้อวิ๋นอี้ฝันถึงเขาตอนเข้านอนในคืนนั้น
ฉากในฝันนั้นคุ้นเคยนัก
อวิ๋นอี้จำได้ว่าอยู่ที่จวนอวิ๋น เพราะเห็นอวิ๋นเสี้ยวต้าวยืนอยู่ระหว่างห้องโถงใหญ่ กำลังพูดกระไรบางอย่างยิ้มแย้ม ทันทีภาพก็เปลี่ยนไป นางเห็นหรงซิวที่สวมเสื้อคลุมสีขาวเรียบๆ ผมของเขาพลิ้วไหว คิ้วและตาของเขาเคร่งขรึมและสง่างาม เขากำลังยืนอยู่ใต้ทางเดินที่คดเคี้ยว ไม่ทำอันใด ทำตัวกลมกลืนราวกับภาพทิวทัศน์
อวิ๋นอี้ตกหลุมรักหรงซิวอีกครั้งเพราะความสง่างามของเขา
นางมองหรงซิวอย่างหลงใหล ก็เห็นอวิ๋นอี้เดินเข้าไปหาเขา ราวกับจะคุยกระไรกับเขา
อวิ๋นอี้ที่ยืนอยู่หน้าหรงซิว ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความรัก แก้มของนางเป็สีแดงเข้ม ไม่กล้าเงยหน้าแม้ตอนจะพูด แต่มันกลับทำให้หรงซิวยิ้มออกมาได้
หลังจากนั้นก็ฝันถึงสถานที่ต่างๆ อีกมากมาย แต่ทุกที่จะมีภาพของหรงซิวและอวิ๋นอี้อยู่ด้วยกัน
เมื่อตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ส่องแสง ข้างนอกกระโจมที่พักก็มีเสียงของกู่ซือฝานเข้ามา อวิ๋นอี้ขยี้ตาแล้วลุกขึ้นนั่ง
นางนึกถึงความฝันนั้น คุ้นเคยและเสมือนจริงนัก แม้แต่ทุกรายละเอียดก็เข้าที่เข้าทาง คิดว่าคงเป็อดีตของเ้าของร่างเดิมและหรงซิว
พูดตามตรง อดีตเ่าั้ไม่ได้ทำให้รู้สึกชอบใจนัก เพราะว่าในใจของนางรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ
นางปิดหน้าและพยายามคิดเกี่ยวกับมันอีกครั้ง แต่กลับจำอันใดไม่ได้เลย
กู่ซือฝานยังคงเรียกอยู่ข้างนอก อวิ๋นอี้ไม่มีทางเลือกอื่น บอกให้ทหารพานางเข้ามา
นางลุกไปล้างหน้า หลังจากที่กู่ซือฝานเข้ามา นางก็เสร็จพอดี และชวนไปทานอาหารเช้าร่วมกัน
วันนี้อวิ๋นอี้เฉื่อยชา รู้สึกี้เีไปทั้งเนื้อทั้งตัว กู่ซือฝานเลิกคิ้วขึ้น เอาหัวเข้ามาชิด ถามด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “พี่สะใภ้ เมื่อคืนนี้หนักเลยหรือเพคะ?”
นางพยักหน้า นับว่าหนักอยู่นะ ฝันทั้งคืน จนตอนนี้ในหัวโกลาหลไปหมดแล้ว
มีเื่อดีตของเ้าของร่างเดิมกับหรงซิวมากเกินไป เป็เื่ยากสำหรับนางที่จะแยกแยะได้
คำว่าหนักของกู่ซือฝาน กลับเป็เื่อื่น
เมื่อเห็นคำยอมรับของนาง แก้มก็แดงก่ำ จิติญญาแห่งสาวช่างคุยก็ร้อนรุ่มขึ้น นางถามต่อ “มิใช่ว่าั้แ่ตอนบ่าย ถึงตลอดทั้งคืนพวกท่านพี่ออกกำลังกายกันใช่หรือไม่เพคะ?”
“......”
อวิ๋นอี้ฟังความหมายในคำพูดของนางออก ก็หัวเราะเหอะๆ “เ้าพูดเื่กระไรเนี่ย! ที่ข้าบอกกับเ้านั้นเป็เื่อื่น การล่าสัตว์จะจบลงวันนี้ใช่หรือไม่?”
กู่ซือฝานเป็คนซื่อๆ สติปัญญาก็เท่านั้น ทุกครั้งที่อวิ๋นอี้เปลี่ยนประเด็น นางก็เปลี่ยนไปด้วยตลอด
เมื่อได้ยินคำถามจากอวิ๋นอี้ นางจึงรีบตอบอย่างตั้งใจว่า "ใช่เพคะ ตามธรรมเนียมปิดงานแล้วคืนนี้ เรายังต้องกินเลี้ยงกันอีกรอบเพคะ"
กินเลี้ยงหรือไม่กิน อวิ๋นอี้ไม่สนใจ
นางแค่ไม่อยากจะอยู่รวมกับคนจำนวนมากอีกแล้ว
เพราะอย่างไร ที่ที่มีซูเมี่ยวเออร์ มักจะทำให้นางรู้สึกไม่วางใจอยู่เสมอ
กู่ซือฝานไม่รู้ว่านางกำลังคิดกระไรอยู่ จึงพูดต่อ “เหมือนว่าปีนี้ผู้ที่ได้ที่หนึ่งจะยังคงเป็ องค์รัชทายาทเพคะ ผู้อื่น คะแนนห่างจากองค์รัชทายาทกว่าสิบตัวเชียวเพคะ คนที่ใกล้พระองค์ที่สุด ก็คือท่านพี่องค์ชายเจ็ด แต่ก็ห่างอยู่ตั้งสิบสองตัว"
"จริงหรือ?" อวิ๋นอี้กล่าว "น่าเสียดายจริงเชียว"
ตามความเข้าใจของนางเกี่ยวกับหรงซิว คงไม่ห่างถึงสิบสองตัวจริงๆ หรอก
ด้วยความสามารถของเขาที่ยิงโดนทุกดอกเช่นนั้น เป็ไปได้อย่างมากกว่าในการล่าสัตว์ทุกๆ ปี เขาจงใจไม่คว้าที่หนึ่ง
ไม่เพียงแต่เขาที่แสดงเท่านั้น แต่ลูกๆ ของตระกูลขุนนางคนอื่นๆ ที่เข้าร่วมการล่าสัตว์ก็ด้วย ไม่มีผู้ใดอยากทำให้องค์ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทขุ่นเคือง
เป็ไปเช่นนั้น หลังจากจบเทศกาลล่าสัตว์ฤดูวสันต์ในตอนบ่าย ทุกคนก็มารวมตัวกันที่บริเวณพื้นที่ล่าสัตว์เพื่อดูผลการแข่งขัน
ทหารนับคะแนนเหยื่อทีละตัว และผู้ที่มีเหยื่อมากที่สุดคือองค์รัชทายาทอย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกคนรีบประสานมือถวายความยินดี "ยินดีด้วยพะยะค่ะองค์รัชทายาท ยินดีกับองค์ฮ่องเต้พะยะค่ะ!"
บุรุษทั้งสองคนได้รับคำชมมากมายด้วยสีหน้านิ่ง
อวิ๋นอี้ก้มหน้า มุมปากกระตุก ชีวิตคือการละครจริงๆ สินะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทักษะการแสดงทั้งสิ้น
หลังจากนับผลคะแนนเสร็จสิ้น ฮ่องเต้อวี่ซวนก็รับสั่งให้ทุกคนไปพักผ่อน แล้วพบกันใหม่ในตอนเย็น
ทุกงานเลี้ยงคือสนามของสตรี พวกนางแข่งกันประชันความงาม เครื่องประดับ เสื้อผ้า และการแต่งหน้า
กู่ซือฝานค่อนข้างตื่นเต้นกับการประกวดเช่นนี้ หยิบเสื้อผ้าและพาสาวใช้ของตนมาที่กระโจมที่พักของอวิ๋นอี้ โดยบอกว่าอยากให้อวิ๋นอี้ช่วยดูให้นาง
นางหยิบเสื้อผ้าออกมาหลายชุดแล้วถามว่า “พี่สะใภ้เจ็ด ข้าใส่ชุดไหนดีเพคะ?”
“...…”
อวิ๋นอี้ในฐานะสตรี นางยังมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างเสื้อผ้าตรงหน้าพวกนี้เลย มันแตกต่างกันอย่างไร
โอ้ สีต่างกัน ั้แ่สีชมพูอ่อนไปจนถึงสีชมพูสดใส
“พี่สะใภ้เจ็ด?”
“สีชมพูอ่อนแล้วกัน” นางพูด
กู่ซือฝานเป็เด็กสาว ผิวขาว แม้ว่าใบหน้าอ่อนเยาว์ แต่นับว่าสวยสมวัย ใส่ชุดสีชมพูอ่อนๆ เน้นความอ่อนวัยของนาง
“ข้าก็คิดว่าสีชมพูอ่อนสวยเพคะ ข้าจะแต่งหน้าลูกท้อ [1] แล้วมัดมวยผม ดีหรือไม่เพคะ?” นางถาม
ดี ดี ดี เ้าอยากจะทำอันใดก็ได้ทั้งนั้น
“แล้วพี่สะใภ้เจ็ดเล่าเพคะ ท่านอยากจะแต่งอย่างไร?” กู่ซือฝานแก้ปัญหาของตัวเองเสร็จ ก็ไม่ลืมที่จะเป็ห่วงนาง “เช่นนี้ดีหรือไม่เพคะ พี่สะใภ้เจ็ดให้โอกาสข้าได้แสดงฝีมือสักครา ข้าจะดูแลท่านเองเพคะ"
อวิ๋นอี้ไม่อาจจะปฏิเสธความใจดีนี้ได้
กู่ซือฝานเป็คนมีไหวพริบฝีมือดี หลังจากแต่งบนใบหน้าของนางกว่าค่อนวัน ทำเสร็จถึงกับต้องอุทาน “ว้าว! พี่สะใภ้เจ็ด! ท่านงามมากเพคะ! ไม่แปลกใจเลยที่ท่านพี่องค์ชายเจ็ดเลือกท่าน!”
นางงดงามจนน่าทึ่งจริงๆ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่ดูน่าหลงใหล ยากที่ผู้ใดจะต้านทานไหว
อวิ๋นอี้ยิ้มให้ตัวเองในกระจก จากนั้นก็ลุกไปงานเลี้ยงกับกู่ซือฝาน
งานเลี้ยงยังคงจัดขึ้นภายในวัง ในระหว่างทาง พวกนางก็พบกับหรงซิวที่กำลังเดินกลับมาพอดี
เมื่อหรงซิวเห็นอวิ๋นอี้ในภาพนั้น เขาก็ชะงัก แววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ กู่ซือฝานสังเกตเห็นแล้ว รีบไปััมือของอวิ๋นอี้ "พี่สะใภ้เจ็ด ทรงเห็นหรือไม่เพคะว่าฝ่าาหลงใหลท่านพี่เพียงใด!"
หรงซิวรู้สึกจริงๆ ว่าหัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะ
สตรีร่างเล็กที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว มีคิ้วเรียวสวยราวกับภาพวาด ดวงตาของนางเหมือนจะเต็มไปด้วยน้ำเดือนสารท แสงดาวเหนือศีรษะของนางก็สะท้อนอยู่ในแววตาของนางดูระยิบระยับ จนเขาไม่อาจละสายตาไปได้
กู่ซือฝานผลักอวิ๋นอี้ไปด้านหน้า หรงซิวรับนาง และโอบเอวนางอย่างเป็ธรรมชาติ
เขาโน้มตัวลงและััข้างหูของนาง “เหตุใดเ้าจึงงามเช่นนี้”
งามจนแทบจะทำให้เขาอดใจไม่ไหว
อวิ๋นอี้รู้ว่าตอนที่เขาไม่ปกติขึ้นมา ก็จะพูดเื่ไร้ยางอายเช่นนี้ จึงหยิกเอวของเขาไปทีหนึ่ง "สำรวมหน่อยเพคะ"
"เ้าลองหยิกข้าอีกทีสิ" เขายกยิ้ม "เ้าััข้าเพียงเล็กน้อย ข้าก็ทนไม่ไหวแล้ว"
"......"
นางกลอกตาขาวใส่เขา ดึงมือกลับ แล้วเดินไปข้างหน้าด้วยหน้าบูดบึ้ง ไม่สนใจว่าเขาจะพูดเื่ไร้สาระอันใด
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา อวิ๋นอี้ไม่ตื่นสนามแล้ว
เมื่อนางไปถึงที่นั่น นางก็หาที่นั่งและนั่งลงอย่างเรียบร้อย เมื่อรอให้ฮ่องเต้อวี่ซวนพูดจบ จนนางหิวแล้วจึงเริ่มทานอาหาร
อาหารอร่อย เหล้าหมักก็หอมหวานกลมกล่อม
อวิ๋นอี้อยากรู้ว่ามันหมักมาจากกระไร หรงซิวเพียงดมกลิ่น ก็พูดพลางยิ้ม "ใช้เสาวรสทำ หากเ้าชอบ กลับจวนไปข้าจะหมักให้"
"ฝ่าาหมักเหล้าเป็ด้วยหรือเพคะ?" นางใอีกครา รู้สึกว่าจะไม่มีอันใดที่หรงซิวทำไม่ได้
เขาชนแก้วกับนาง “เพื่อเ้าแล้ว ข้าทำเป็ทุกอย่าง ทำไม่เป็ก็ต้องเป็”
สตรีไม่อาจจะต้านทานกับคำหวานได้ อวิ๋นอี้ถูกเอาใจจนใจสั่น ไม่นานก็ดื่มเหล้าจนหมด
นางมีสติดีมาก เหล้าผลไม้ไม่ทำให้เมา จึงสั่งให้คนนำมาอีกหม้อ
เพียงแต่ว่ารสชาติของเหล้าหม้อนี้ต่างจากครั้งก่อนเล็กน้อย อวิ๋นอี้คิดว่าเป็ความเข้าใจผิดของนางเอง จึงดื่มต่อกว่าครึ่งหม้อ
จากนั้นนางก็รู้สึกท้องตึง จึงบอกว่าจะไปท่า
หรงซิววางใจไม่ลง จึงจะไปกับนาง เขาเอื้อมมือไปโอบเอวนาง แต่ที่ไหนได้อวิ๋นอี้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มือของเขาก็บีบก้นนางเข้าอย่างจัง
"......"
อวิ๋นอี้ดุเบาๆ "ข้าไปเองดีกว่า"
หากว่าเขาไปด้วย แล้วทำอันใดที่รุนแรงกว่าการบีบก้นนางเล่า นางไม่อยากจะรบนอกเมือง [2]
นางปฏิเสธที่จะให้หรงซิวตามไปด้วย แล้วก็รีบเดินไปท่า
เมื่อเดินออกจากห้องโถงใหญ่ลมก็พัดมา ใบหน้าที่ร้อนผ่าว ัักับอากาศเย็น อวิ๋นอี้ก็ตัวสั่นสะท้าน ตามมาด้วยความร้อนภายในร่างกาย ราวกับน้ำในเขื่อนที่พลุ่งพล่านออกมา
นางตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แขนขาเริ่มอ่อนแรงลงทีละน้อย แม้แต่หัวก็ง่วงมึนจนไม่สามารถเงยขึ้นได้
นางล้มลงอย่างควบคุมไม่ได้ และก่อนที่จะหลับตาลง นางเห็นบุรุษร่างสูงเดินเข้ามาหานางจากในระยะไกล
เชิงอรรถ
[1] แต่งหน้าลูกท้อ 桃花妆 หมายถึง การแต่งหน้าเช่นสตรีจีนโบราณ ลักษณะเด่นคือการปัดแก้มแดงอ่อนๆ และการเขียนคิ้วเส้นเรียวคม
[2] รบนอกเมือง 打野战 เป็คำสแลงหมายถึง การทำกิจกรรมอย่างว่าเอาท์ดอร์