ทุกคนล้วนชื่นชอบคำชม และถ้าคำชมนั้นมาจากคนที่ตัวเองชอบก็ยิ่งทำให้พวกเขามีความสุข แม้แต่แม่ทัพหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแคว้นก็เป็เพียงชายหนุ่มธรรมดาเท่านั้น หลังจากได้ยินคำชมจากหญิงอันเป็ที่รัก หัวใจของเขาก็หวานฉ่ำยิ่งกว่าน้ำผึ้ง
เย่เช่อมองอวิ๋นจื่อที่กำลังจิบชาด้วยท่าทางอ่อนช้อย เขาคิดว่านี่เป็ภาพที่งดงามที่สุดในโลก
‘งดงามเหลือเกิน’
เขาคิดอย่างมีความสุข
อวิ๋นจื่อกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ดูเหมือนเย่เช่อจะไม่ได้ยิน
จนกระทั่งเห็นหญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย เย่เช่อจึงรู้สึกตัวและกล่าวด้วยน้ำเสียงประจบประแจงว่า “เ้ากล่าวว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ชัด”
อวิ๋นจื่อมองเย่เช่อราวกับกำลังมองลูกหมาตัวน้อย นางกล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “ข้าถามว่าเมื่อไหร่จะได้ทานอาหาร? นี่ก็เที่ยงแล้ว!”
เย่เช่อเอียงศีรษะและยิ้ม “เ้าหิวแล้วหรือ?”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าอย่างจริงจัง
เย่เช่อดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกและถามด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “เ้ามาจากเมืองอวิ๋นเมิ่งหรือไม่?”
“ไม่” อวิ๋นจื่อรีบปฏิเสธ นางรู้สึกกังวลเล็กน้อย เป็ไปได้หรือไม่ว่าเขารู้อะไรบางอย่าง แต่นางก็แสร้งทำเป็ใจเย็นและกล่าวว่า “ข้าเคยอยู่ที่เมืองอวิ๋นเมิ่งแต่ไม่นานนัก จากนั้นข้าก็เดินทางมาที่เมืองหยงโจว เหตุใดท่านจึงถามข้าเช่นนั้น?”
เย่เช่อไม่สงสัยในคำพูดของนาง ใบหน้าของเขาผ่อนคลายลง
“ข้าได้ยินผู้คนกล่าวว่ามื้อกลางวันในเมืองอวิ๋นเมิ่งจะขึ้นโต๊ะก่อนเที่ยงเสมอ ส่วนมื้อกลางวันในเมืองหยงโจวจะขึ้นโต๊ะหลังเที่ยงเสมอ”
อวิ๋นจื่อรู้สึกโล่งอก นางกล่าวด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “โอ้ มีเื่แบบนี้ด้วยหรือ? ตระกูลที่ร่ำรวยพิถีพิถันกับการทานอาหารเสียจริง แต่ข้าจะทานเมื่อข้าหิวเท่านั้น”
เย่เช่อสั่งให้บ่าวรับใช้จัดโต๊ะทันที
มื้อนี้มีอาหารมากมาย จานหลักคือตู้เสียนหมัก[1]ชามใหญ่ พร้อมด้วยผัดผักหนีเฮา[2]หนึ่งจาน ผักโขมผัดหนึ่งจาน ถั่วปากอ้าโรยเกลือพริกไทยหนึ่งจาน ไข่กวนถั่วงอกหนึ่งจาน ผักกาดแก้วเย็นหนึ่งจาน ซุปเต้าหู้อวิ๋นหลัวหนึ่งชาม เสี่ยวหลงเปาอวิ๋นหลัวหนึ่งจาน และโจ๊กข้าวหอมเขียว อาหารเหล่านี้ถูกนำขึ้นโต๊ะในปริมาณมาก อีกทั้งยังจัดจานอย่างงดงาม แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความอร่อยแล้ว
อวิ๋นจื่อมองไปที่อาหาร นางหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “ที่แท้คุณชายเย่ก็มีความรู้เกี่ยวกับอาหารด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็อาหารตามฤดูกาล ทั้งงดงามและดูน่าอร่อย”
เย่เช่อตักโจ๊กให้อวิ๋นจื่อด้วยรอยยิ้ม “ขอแค่เ้าชอบก็พอแล้ว อาหารเหล่านี้เป็อาหารตามฤดูกาล ดังนั้นเ้าจึงทานได้แค่ในฤดูกาลนี้เท่านั้น”
อวิ๋นจื่อกล่าวขอบคุณ นางรับโจ๊กมาและลงมือทานทันที จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ข้าคิดว่าอาหารเหล่านี้อร่อยกว่าอาหารจากเหลาอาหารในเมืองเสียอีก คุณชายลองชิมตู้เสียนหมักชามนี้สิ รสชาติดีจริงๆ หน่อไม้ที่เติบโตใน่ฤดูใบไม้ผลิรสชาติไม่เลวเลย!”
เย่เช่อเห็นว่านางกำลังทานอย่างมีความสุขและใบหน้าของนางก็ประดับไปด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอด เขาจึงกล่าวว่า “ทานช้าๆ ทั้งหมดล้วนเป็ของเ้า ระวังสำลัก แม่ครัวทางใต้มักทำอาหารอร่อยกว่า หากเทียบกับเหลาอาหารในเมืองหยงโจว แม่ครัวคนนี้ทำอาหารได้อร่อยกว่ามาก เ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำถามของเขา อวิ๋นจื่อที่กำลังกินไข่กวนถั่วงอกก็พยักหน้าอย่างจริงจัง “ข้าเห็นด้วย ท่านไปหาตัวคนทำอาหารแบบนี้มาจากที่ใด?”
เย่เช่อกล่าวว่า “จากจวนของซูเจิน ข้าได้ยินมาว่าพวกเขามาจากทางใต้”
อวิ๋นจื่อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และการเคลื่อนไหวของมือนางก็ช้าลง
“เป็คนของคุณชายซูนี่เอง”
เย่เช่อคีบผัดผักโขมให้นางแล้วกล่าวว่า “ทานเยอะๆ ”
อวิ๋นจื่อยิ้มและพยักหน้า
เย่เช่อกล่าวต่อว่า “ซูเจินเป็คนที่พิถีพิถันเื่อาหารการกินและการเที่ยวเตร่มาก บางครั้งข้าคิดว่านิสัยของเขาเหมือนสตรี เขารู้วิธีเอาชนะหัวใจของผู้คนทั้งที่ตนเองเป็บุรุษ เ้าคิดว่าแปลกหรือไม่ที่ข้าคิดเช่นนั้น?”
อวิ๋นจื่อกลืนถั่วปากอ้าก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณชายกังวลมากเกินไป เรามักพบเจอคนที่แตกต่างจากผู้อื่นอยู่เสมอ แน่นอนว่าในโลกนี้ย่อมมีคนแบบคุณชายซูที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร”
เย่เช่อตักซุปเต้าหู้ให้นางอีกชามและกล่าวว่า “อย่ากล่าวถึงเขาเลย ซูเจินเป็คนที่อยู่ท่ามกลางบุปผานับพันแต่กลับไม่แตะต้องสตรีเ่าั้ด้วยเหตุผลบางอย่าง อันที่จริงบางครั้งเขาก็ค่อนข้างทุกข์ใจ”
อวิ๋นจื่อยังคงก้มหน้าทานต่อ
เย่เช่อรู้สึกเขินอายเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าบรรยากาศกำลังดี แล้วเหตุใดเขาถึงต้องพูดเื่ของซูเจินด้วย? แม้ว่าซูเจินจะเป็พี่น้องที่ดีของเขา แต่เย่เช่อก็ไม่้าพูดเื่คนอื่นในเวลานี้
แต่หากคิดดูให้ดีในไม่ช้าอวิ๋นจื่อก็จะกลายเป็น้องบุญธรรมของซูเจิน นางจะกลายเป็สมาชิกของตระกูลซู ดังนั้นการพูดถึงซูเจินย่อมไม่ใช่เื่แย่ เขาคิดว่าควรพูดถึงนิสัยส่วนตัวของซูเจินเพื่อให้นางทำความรู้จักกับพี่น้องของเขาคนนี้ให้มากขึ้น อย่างน้อยเมื่อต้องอยู่ร่วมกันจริงๆ จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดใจ
อวิ๋นจื่อตั้งใจฟังมาก หลังจากทานเสร็จแล้ว นางจึงหยิบยกหัวข้อใหม่ขึ้นมา
“มีพ่อครัวที่เก่งกาจในจวนผู้ว่าการอีกหรือไม่?”
เย่เช่อยิ้ม “แน่นอน ตระกูลซูย่อมมีพ่อครัวไม่น้อย”
อวิ๋นจื่อดูมีความสุขมาก “จวนตระกูลซูดูเหมือนจะเป็สถานที่ที่ดีจริงๆ คุณชายเย่หากข้าไปอยู่ที่จวนตระกูลซู ในอนาคตท่านมาเยี่ยมข้าบ่อยๆ ได้หรือไม่? เพราะข้าคงจะคิดถึงท่านมาก”
ในขณะที่อวิ๋นจื่อกำลังกล่าวเช่นนั้น หัวใจของนางก็เต้นแรงราวกับมีคนตีกลองอยู่ภายใน ใน่สิบห้าปีที่ผ่านมานางเคยกล่าวคำพูดแบบนี้มาก่อนหรือไม่? ในส่วนลึกของดวงตานางมีร่องรอยความมืดที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้
ดวงตากลมโตของอวิ๋นจื่อมองไปที่เย่เช่ออย่างคาดหวัง นางกะพริบตาเหมือนลูกแมว เย่เช่อรู้สึกราวกับมีแมวตัวเล็กกำลังข่วนหัวใจของเขาอย่างแ่เบา อาการคันยุบยิบนั้นทำให้รู้สึกอึดอัดมาก
เขาระงับความปรารถนาในใจและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ตกลง”
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าอาหารตรงหน้าหมดความหมายโดยสิ้นเชิง เขาจึงส่งเสียงเรียกให้คนมาจัดการเก็บกวาดโต๊ะอาหาร
จากนั้นภายในห้องก็มีเพียงเขาและนาง
เย่เช่อไม่สามารถห้ามใจได้ เขารั้งตัวของหญิงสาวเข้ามาในอ้อมแขนพร้อมกับจูบลงที่เปลือกตาของนางอย่างแ่เบา
อวิ๋นจื่อหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว
นางแปลกใจเล็กน้อยที่เมื่อครู่กำลังนั่งทานอยู่ดีๆ แต่ในชั่วพริบตานางก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกแล้ว
สาวใช้ตัวน้อยที่กำลังจะยกน้ำชาเข้ามาส่งเสียงกระแอมอย่างเขินอาย อวิ๋นจื่อรู้สึกอับอายมากจึงผลักเย่เช่อออกไปด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ จากนั้นก็พยายามรักษาระยะห่างจากเขา
------------------------
[1] ตู้เสียนหมัก เป็อาหารแบบดั้งเดิมที่มีต้นกำเนิดในพื้นที่ฮุยโจวทางตอนใต้ของมณฑลอานฮุย มันถูกจัดอยู่ในบรรดาอาหารจานหลักแปดชนิด รสชาติของอาหารจานนี้มีทั้งเค็มและจืดโดยผสมผสานกันอย่างลงตัว ซุปเข้มข้นปรุงด้วยซอสขาว เห็ดหอม เนื้อรมควัน และหน่อไม้ดอง
[2] ผักหนีเฮา เรียกอีกชื่อว่าโคลนอาร์เทมิเซียหรือเบญจมาศเหลี่ยม ชื่อไทยคือโกฐจุฬาลัมพา (แต่เป็คนละสายพันธุ์) เป็พืชในวงศ์เดียวกับดอกเบญจมาศและเก๊กฮวยซึ่งเป็ไม้ล้มลุก ทั้งต้นและใบมีกลิ่นหอม มีลักษณะหยั่งรากและแตกหน่อตามทางเดินขยายเป็กอ เจริญเติบโตได้ดีและขยายพันธุ์ได้ง่าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้