ั้แ่ที่หมี่หลันเยว่ยกกิจการขายขนมและเครื่องเขียนให้ที่บ้าน หวังหย่วนฉิงก็ทำตามคำแนะนำของลูกสาวอย่างเต็มที่ เปลี่ยนธุรกิจส่วนนี้ให้กลายเป็ร้านขายของชำอย่างเป็ทางการ โดยติดตั้งชั้นวางสินค้าสั่งทำพิเศษไว้บนผนังอีกด้านของร้านหนังสือ ชั้นวางหนากว่าชั้นหนังสือเล็กน้อย วางเรียงรายไปด้วยสินค้าหลากหลายชนิดอย่างเป็ระเบียบและแน่นขนัด
แน่นอนว่าเงินทุนของลูกๆ เธอก็คืนให้ไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกละอายใจที่จะรับ่ต่อ
"ลูกชายลูกสาวเขาให้ด้วยใจจริง เธอก็รับไว้เถอะ จะคิดมากอะไรนัก ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเสียหน่อย"
หวังหย่วนฉิงรู้ดีว่านี่คือความปรารถนาดีของลูกๆ แต่ก็เป็หยาดเหงื่อแรงกายของพวกเขาเช่นกัน
ยังไงก็ตาม หวังหย่วนฉิงไม่ได้คิดมากอยู่นาน เพราะเธอไม่ใช่คนจุกจิกจู้จี้อะไร ความตั้งใจของลูกชายลูกสาว เธอเข้าใจดี จึงไม่อยากขัดใจพวกเขา อีกอย่างเมื่อกิจการขยายใหญ่ขึ้น เธอก็อดเป็ห่วงเื่ความปลอดภัยของลูกๆ ไม่ได้ ไม่ใช่กลัวว่าพวกเขาจะดูแลไม่ดี แต่กลัวว่าจะเกิดอันตราย
เมื่อจะเปิดร้านขายของชำอย่างเป็ทางการ ก็ต้องปรับปรุงให้ดี เพื่อไม่ให้รบกวนคนที่มาอ่านหนังสือในร้าน หมี่จิ้งเฉิงจึงเจาะหน้าต่างบานหนึ่งบนผนังด้านนอก ทำเป็ช่องทางพิเศษสำหรับซื้อของชำ ใครอยากซื้ออะไรก็แค่บอกที่หน้าต่าง ก็สามารถซื้อขายกันได้เลย
แน่นอนว่าคำแนะนำนี้ก็มาจากหมี่หลันเยว่เช่นกัน ใน่ต้นของยุค 80 ธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด หลายบ้านจึงเปิดร้านขายของชำเล็กๆ ที่หน้าต่างแบบนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไหร่ แต่การออกแบบแบบนี้สะดวกสบายจริงๆ ในร้านก็จะไม่วุ่นวาย
ส่วนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่เดิมวางไว้ให้เด็กๆ อ่านหนังสือตรงผนังด้านนี้ ก็ถูกย้ายไปไว้ใต้ผนังด้านข้างที่อยู่ใกล้ประตูทางเข้าแทน ส่วนโต๊ะเก็บเงินที่วางอยู่ตรงนั้น ก็ถูกย้ายไปไว้หน้าชั้นวางสินค้า ด้านข้างของโต๊ะเก็บเงินอยู่ติดกับหน้าต่างที่เพิ่งเปิดใหม่ สะดวกสบายมาก
ด้านหนึ่งดูแลลูกค้าที่ซื้อของตรงหน้าต่าง อีกด้านหนึ่งก็ดูแลลูกค้าที่อยู่ในร้านได้ คนที่เข้ามาอ่านหนังสือในร้านส่วนใหญ่ก็เป็ลูกค้าประจำ คนแปลกหน้ามีน้อยมาก ถึงจะมีลูกค้าใหม่บ้าง ก็เป็ลูกค้าเก่าแนะนำมาทั้งนั้น เพราะแบบนี้ความปลอดภัยจึงสูงขึ้นมาก ไม่ต้องกลัวใครมาขโมยหนังสือ หรือกังวลว่าจะมีคนไม่หวังดี
หลังจากปรับปรุงใหม่ แม้ในร้านจะไม่ได้ก่อกำแพง แต่ก็เหมือนแบ่งออกเป็สองส่วน ไม่รบกวนคนที่มาอ่านหนังสือ และไม่ทำให้ธุรกิจด้านนอกต้องหยุดชะงัก สะดวกทั้งสองฝ่าย ไม่รบกวนกัน แถมยังใช้คนแค่คนเดียวดูแลได้ทั้งหมด
แน่นอนว่าแม้จะเปิดร้านขายของชำอย่างเป็ทางการแล้ว แต่การบริหารจัดการก็ยังเป็แบบสมัครเล่นอยู่ดี เพราะหวังหย่วนฉิงและหมี่จิ้งเฉิงต่างก็มีงานประจำ ส่วนลูกๆ ก็ต้องไปโรงเรียน ดังนั้นเวลาเปิดร้านขายของชำจึงเป็เวลาเดียวกับร้านหนังสือ
แต่ก็ไม่ได้เป็ปัญหาใหญ่อะไร ใครที่้าซื้อของ ก็รู้เวลาเปิดร้านของบ้านหมี่ ก็จะมากันใน่เวลานั้น ถ้าใครรีบร้อนจริงๆ ก็คงต้องขอโทษด้วย คงต้องเดินไปซื้อร้านอื่นแทน
ร้านเล็กๆ เปิดมาก็ขายดีเป็เทน้ำเทท่า แค่เพื่อนบ้านใกล้เคียงมาอุดหนุน กำไรก็งามแล้ว เพราะสินค้าที่ขาย ล้วนเป็ของใช้จำเป็ในชีวิตประจำวันของทุกบ้าน ใครใช้สบู่ ผงซักฟอกหมด หรือขาดน้ำปลา น้ำส้มสายชู ลูกๆ ขาดกระดาษ ปากกา ก็ต้องแวะมาซื้อกันทั้งนั้น ใกล้บ้านก็สะดวกแบบนี้แหละ
ของทุกอย่างในบ้านกลายเป็ของมีค่าไปหมด ลูกค้ารีบใช้ของอะไร แต่ในร้านไม่มีของ ก็ต้องเอาของสำรองในบ้านมาให้ลูกค้าใช้ก่อน แม้แต่รูปวาดหน้าต่างวิวชายหาดทางใต้ที่หมี่จิ้งเฉิงเคยร่างไว้บนกระดาษหลังจากเจาะหน้าต่าง ก็ยังมีคนอยากได้
หลินเผิงเฟยขอรูปวาดนั้นกลับไป บอกว่าเขาชอบรูปนี้มานานแล้ว จินตนาการว่ามันติดอยู่บนผนังบ้านเขานานแล้ว คราวนี้สมหวังเสียที เขาหอบกลับบ้านอย่างระมัดระวัง แล้วรีบเอาไปติดบนผนังห้องเขาทันที ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น คนในครอบครัวเขาก็ชอบกันมาก ต้องบอกว่าฝีมือการวาดรูปของหมี่จิ้งเฉิงไม่ธรรมดาจริงๆ
ทุกอย่างในบ้านดำเนินไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพียงแต่คนในครอบครัวต้องเหนื่อยกันหน่อย ่เวลานี้ยังไม่มีบริการส่งถึงบ้าน ดังนั้นสินค้าทุกอย่างในบ้านต้องไปเอามาเอง โชคดีที่สถานที่รับสินค้าใน่เวลานี้มีแค่หนึ่งหรือสองแห่ง สินค้าส่วนใหญ่สามารถซื้อส่งได้ที่ห้างสรรพสินค้า ส่วนของกินก็ไปที่บริษัทบริการ ส่วนหนังสือก็ไปที่โรงพิมพ์ ครบจบ
งานใช้แรงงานนี้จึงตกเป็ของหมี่จิ้งเฉิง ตอนนี้ที่บ้านมีเงินค่อนข้างเยอะ จึงนำเงินไปซื้อจักรยานให้พ่อ หนึ่งในสามสิ่งสำคัญของครอบครัวในยุคนี้ คนทั่วไปไม่มีปัญญาซื้อ มีแต่ครอบครัวที่มีฐานะเท่านั้นที่เตรียมสามสิ่งนี้ไว้ในงานแต่งงาน คือ จักรยาน นาฬิกาข้อมือ และจักรเย็บผ้า
การซื้อจักรยานก็ก่อให้เกิดเื่เล็กน้อย จักรยาน 'ต้ากั๋วฝัง' ธรรมดาๆ คันหนึ่งก็ราคาหกสิบกว่าหยวนแล้ว ส่วน 'หย่งจิ่ว' หรือ 'เฟยเก้อ' ก็ราคาเป็ร้อยหยวน พ่อบอกว่าไม่ต้องดูยี่ห้อ ซื้อราคาถูกๆ ก็ได้ แต่แม่ก็ยังคิดว่า 'หย่งจิ่ว' หรือ 'เฟยเก้อ' ทนทานกว่า
ทนทานกว่าก็หมายถึงความปลอดภัยสูงกว่า หมี่หลันเยว่ก็เห็นด้วยที่จะซื้อดีๆ หน่อย ยี่ห้อ 'หย่งจิ่ว' เป็ยี่ห้อที่มีมานาน ในที่สุดที่บ้านก็ลงมติด้วยคะแนนเสียงสี่ต่อหนึ่ง ซื้อจักรยาน 'หย่งจิ่ว' ขนาด 28 นิ้ว คันหนึ่ง ชีวิตของครอบครัวก็เข้าสู่ยุคใหม่
ต้องบอกว่าเด็กผู้ชายมีความปรารถนาที่จะพิชิตสิ่งใหม่ๆ สิ่งของชิ้นใหญ่ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ของบ้าน จึงกลายเป็เป้าหมายที่หมี่หลันหยางอยากพิชิตในตอนนี้ หลันเยว่แอบหัวเราะเมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเขา จักรยานคันใหญ่สำหรับเด็กชายคนนี้ คงไม่ต่างจากม้าศึกของนักรบในสมัยโบราณละมั้ง
ในที่สุดวันหนึ่ง สิ่งล่อใจก็พองโตถึงขีดสุด หมี่หลันหยางฉวยโอกาสตอนที่พ่อไปรับสินค้าเสร็จแล้ว เข้าไปพักผ่อนในบ้าน แอบเข็นจักรยาน 'หย่งจิ่ว' ออกจากบ้าน แน่นอนว่าเขากลัวจะเกิดเสียงดังตอนลงบันไดหิน จึงให้หลินเผิงเฟยและเฉียนหย่งจิ้นช่วยกันยก เด็กชายทั้งสามคนเหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว
"ว้าว ในที่สุดก็ได้ขี่จักรยานแล้ว"
แต่จักรยานคันนี้ยังใหญ่เกินไปสำหรับเด็กชายอายุสิบขวบ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ขี่ไม่ได้ ขาห่างจากที่ถีบจักรยานมากเกินไป
"ฉันเคยเห็นบางคนขี่จักรยานแบบนี้นะ มุดเข้าไปจากใต้คานกลาง แล้วก็เอียงตัวขี่จากด้านข้าง แต่ฉันแค่เคยเห็น ยังไม่เคยลอง ไม่รู้ว่าจะได้ผลไหม"
หลินเผิงเฟยพูดพร้อมกับทำท่าทางประกอบ เขาเคยเห็นเด็กคนอื่นขี่จักรยานแบบนี้จริงๆ
หมี่หลันเยว่ที่แอบตามออกมา รู้ดีว่าท่าที่หลินเผิงเฟยพูดถึงคืออะไร 'มุดหว่างขา' ขี่จักรยาน เด็กผู้ชายใน่เวลานี้ มักจะแอบเอารถของผู้ใหญ่ในบ้านออกมาขี่ ขี่แบบ 'มุดหว่างขา' นี่แหละ แถมยังขี่เก่งเสียด้วย ซอกแซกไปทั่วตรอกซอย
ใน่ปลายยุค 70 จักรยานเริ่มแพร่หลายมากขึ้น หลายครอบครัวเริ่มมีจักรยาน แต่ก็ยังเป็ของที่มีราคาค่อนข้างแพง ครอบครัวที่ซื้อจักรยานมาก็เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปทำงานของผู้ใหญ่ คงไม่มีใครซื้อให้เด็กๆ สักคันหรอก ดังนั้นการแอบเอารถของผู้ใหญ่ออกมาขี่ จึงกลายเป็เกมที่เด็กๆ ชื่นชอบ
"แบบนี้จะได้จริงๆ เหรอ รถจะไม่ล้มเหรอ"
หมี่หลันหยางกังวลเล็กน้อย นี่คือรถที่เพิ่งซื้อมาใหม่ของบ้าน แถมยังเลือกแบบที่แพงที่สุดในบรรดารถจักรยานทั้งหมด ถ้าทำให้รถเป็รอย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะโดนตีหรือเปล่า หมี่หลันหยางเองก็จะเสียดาย
"ทำไม เด็กผู้ชายตัวโตแค่นี้ ยังไม่กล้าลองอีกเหรอ"
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพ่อ หมี่หลันหยางใแทบทำจักรยานหลุดมือ ก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าสบตาพ่อ
"เข็นรถออกมาแล้ว ไม่ลองก็เสียดายแย่"
คำพูดของหมี่จิ้งเฉิง ทำให้หมี่หลันหยางเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ หมี่หลันเยว่ในตอนนี้ แอบกลับไปที่ร้านของตัวเองแล้ว เพื่อทำหน้าที่พนักงานเก็บเงิน
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา เห็นพ่อเข็นจักรยานผ่านหน้าร้านของตัวเอง ส่วนพี่ชายเดินตามหลังมาด้วยเหงื่อท่วมตัว ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและภาคภูมิใจ หมี่หลันเยว่ก็รู้ว่าเมื่อกี้พ่อสอนพี่ชายขี่จักรยาน เธอรู้สึกซาบซึ้งใจในการเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่
ไม่ได้ตามใจ เอาแต่ใจ แต่ก็ไม่ได้เข้มงวด เอาแต่ลงโทษ จะให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดในเวลาที่เหมาะสมที่สุด นี่สิถึงจะเป็พ่อแม่ที่เหมาะสมที่สุด เหมือนเมื่อกี้ ถ้าบ้านอื่นมีจักรยานคันใหม่ ก็คงไม่ให้ลูกแตะต้องเด็ดขาด เพราะมันเป็ของที่ล้ำค่ามาก
แต่พ่อกับแม่จะไม่ทำแบบนั้น พวกเขารู้ว่าจะรักษาสิ่งที่เด็กอยากรู้อยากเห็นได้อย่างไร รู้ว่าจะให้คำแนะนำที่ถูกต้องที่สุดได้อย่างไร ในเมื่อห้ามไม่ให้พวกเขาแอบเอารถออกไปขี่ไม่ได้ สู้สอนเขาด้วยความเอาใจใส่ ประคองลูกชายขึ้นจักรยาน แล้วส่งเขาไปสักพักดีกว่า
แน่นอนว่าหลังจากช่วยพ่อเข็นจักรยานขึ้นบันไดหิน คล้องกับแม่กุญแจไว้ในบ้าน แล้วล้างเหงื่อที่ท่วมหัวท่วมตัว หมี่หลันหยางก็รีบวิ่งไปหาน้องสาว
"หลันเยว่ พี่ขี่จักรยานได้แล้ว"
"ว้าว พี่ขี่ได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ"
เธอรู้ว่าพี่ชายฉลาด แต่คงไม่เร็วขนาดนี้มั้ง เร็วเกินไปแล้ว คิดถึงตัวเองที่เรียนขี่จักรยานในชาติที่แล้ว เรียนตั้งสามสี่วัน ล้มไปหลายครั้งกว่าจะขี่ได้ ข้อศอกยังมีรอยแผลเป็ติดอยู่เลย
"เรียนง่ายมาก อยู่ที่ใจกล้าหรือเปล่า รถต้องเอียงนิดหน่อย หลายคนไม่กล้าลองเพราะกลัว ก็เลยเรียนไม่ได้ แต่บ้านเรามีพ่อ พ่อช่วยประคอง พี่ก็ไม่กลัวมันล้ม แป๊บเดียวก็ขี่ได้แล้ว แต่พี่ยังขี่ไม่คล่อง"
เมื่อเห็นเด็กชายหน้าตาดี ยิ้มแย้มแจ่มใส หมี่หลันเยว่ก็ดีใจไปกับเขาด้วย ทุกคนต้องมีเื่ราวในวัยเด็กที่น่าจดจำสักหน่อย เื่ขี่จักรยานของพี่ชาย น่าจะเป็เื่ที่น่าจดจำเื่หนึ่งในอนาคต หมี่หลันเยว่หวังว่าเธอจะทำให้ชีวิตของพี่ชายมีเื่ที่น่าจดจำแบบนี้มากขึ้น
ปี 1977 ครอบครัวหมี่เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใสมากขึ้น ครอบครัวหมี่มีบรรยากาศที่สดชื่นยิ่งขึ้น นี่คือจุดเริ่มต้นที่ครอบครัวหมี่จะเจริญรุ่งเรือง ั้แ่ปีนี้เป็ต้นมา ครอบครัวหมี่ที่มีร้านค้าส่วนตัว ก็ก้าวเข้าสู่กลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างสูงในเมืองนี้แล้ว
แต่ยังไม่พอ หมี่หลันเยว่ยังมีแิอีกมากมายที่ต้องลงมือทำ แต่เธอก็ถูกจำกัดด้วยอายุและการเรียน ส่วนพ่อแม่ที่เป็พนักงานประจำ ก็ถูกจำกัดด้วยงานและระบบ มีผลกระทบต่อพลังในการต่อสู้ของครอบครัวมากเกินไป ไม่สามารถขยายธุรกิจให้ใหญ่โตได้ ในเวลานี้ หมี่หลันเยว่ก็รอคอยอีกครั้ง ให้ตัวเองโตเร็วๆ เธอไม่อยากพลาดโอกาสมากมายในยุคนี้จริงๆ