บิดาของครอบครัวอื่นส่วนใหญ่มักเป็จำพวกอยากรู้แต่ลังเลที่จะถาม อยากรู้ว่าผลการสอบของบุตรเป็อย่างไร แต่ก็กลัวว่าจะมีผลกระทบต่อการสอบวันที่สอง มีบ้างที่กล้าถามโดยตรง แต่ก็ไม่มากเท่าไรนัก
ทว่าซูซานหลางซึ่งรออยู่หน้าประตูสนามสอบกลับแตกต่างจากผู้อื่นโดยสิ้นเชิง เมื่อเห็นเฉียวเยว่ออกมาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเอ่ยขึ้นว่า "เย็นนี้พวกเราจะกินอิงเถาโร่ว [1] กัน"
"เยี่ยมไปเลย!" เฉียวเยว่อุทานด้วยความดีใจ
"มารดาเ้ายังทำไป๋ถังเกา [2] ให้เ้าอีกด้วย"
เฉียวเยว่ยิ่งดีใจกว่าเดิม "อื้อหือ ช่างดียิ่งนัก อ้อๆๆ จริงสิ พวกท่านต้องให้รางวัลข้า วันนี้ข้าทำลายสถิติของพี่สาวได้ด้วย พวกท่านต้องกลับไปตำหนิว่านาง ว่าเ้ามันเป็เด็กที่ใช้ไม่ได้..."
"หากไม่พูดจาไร้สาระจะเพิ่มไส้หมูให้อีกอย่าง" ซูซานหลางตัดบท
"ข้ารักท่านพ่อที่สุด ไปๆๆ พวกเรากลับบ้านไปกินข้าวกันเถอะเ้าค่ะ ตอนกลางวันข้ากินขนมไปแค่กล่องเดียว หิวจะตายอยู่แล้ว"
ยามเที่ยงวันทางสำนักศึกษาสตรีมีจัดอาหารกลางวันให้ แต่คนอื่นๆ ไม่สนใจ ส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่กิน เฉียวเยว่จึงกินไปเยอะมาก
เมื่อกลับมาถึงคนในบ้านไม่มีใครถามสักคนตามคาด ถึงอย่างไรทุกคนก็รู้กันอยู่เงียบๆ วิชาที่สอบวันนี้เฉียวเยว่ไม่มีปัญหา แม้กระทั่งวันที่สอง ซูซานหลางก็ไม่ไปส่งบุตรสาวด้วยตนเอง ทว่าฉีจือโจวกลับหวังดีไปส่งหลานสาวด้วยตนเอง เขาเอ่ยขึ้นว่า "บิดาเ้าชะล่าใจเกินไป"
"เพราะท่านพ่อรู้ว่าวันนี้ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว" เฉียวเยว่ยิ้มหวาน ยกมือขึ้นมาเท้าคางอย่างมีความสุข "ท่านลุงดูไม่ออกหรือ ตอนนี้ข้าเปลี่ยนเป็คนปลอบท่านแทนแล้วว่าอย่าเครียด? ข้าดีขึ้นกว่าเมื่อวานเยอะ เมื่อวานถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าไตมีปัญหา"
"ไต?"
เฉียวเยว่ยกมือขึ้นโบก "ข้าก็พูดไปเรื่อยเปื่อยแหละเ้าค่ะ อา... ถึงแล้ว"
นางลงจากรถม้า หิ้วกล่องอาหารใบน้อยเดินเข้าไปด้านใน
แต่กล่องข้าวน้อยที่ว่ากลับแลดูโอ้อวดสะดุดสายตามากสำหรับผู้อื่น ทว่าเฉียวเยว่ไม่รู้สึกตัวสักนิด
นางเดินไปก็พึมพำกับตัวเองไป "เป้าหมายของวันนี้จะต้องทำให้เสร็จก่อนถึงมื้อเที่ยง จะได้กลับจวนไปกินข้าวสะดวกหน่อย”
พอเข้าสู่สนามสอบ เฉียวเยว่ก็สังเกตบรรยากาศโดยรอบซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนการสอบเคอจวี่ แตกต่างกับการต่อแถวรับป้ายหมายเลขเมื่อวานนี้โดยสิ้นเชิง
โต๊ะแต่ละตัวถูกจัดเรียงอย่างเป็ระเบียบ รอให้พวกนางมาตอบคำถาม
เฉียวเยว่เห็นนาฬิกาทรายขนาดใหญ่ น่าจะใช้การจับเวลาในการสอบ
แต่การสอบข้อเขียนกลางแจ้งในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ แท้จริงแล้วเป็การทดสอบโดยใช้ความหนาวเย็นเป็อุปสรรค
เฉียวเยว่มองมาทางอวี้อ๋อง วันนี้เขาสวมอาภรณ์สีชมพู
นางรู้สึกว่านี่น่าจะเป็สีชมพูฉูดฉาด
จิ๊จิ๊
นางทอดถอนใจ ก่อนจะโบกมือให้กับชายหนุ่ม
อวี้อ๋องมองมาที่นาง ครุ่นคิดสักพักก็หยิบกาน้ำใบหนึ่งเดินมาหานาง เฉียวเยว่ยิ้มแล้วยอบกายคำนับ "หม่อมฉันถวายพระพรอวี้อ๋องเพคะ"
มีมารยาทเต็มสิบ
หรงจ้านหัวเราะหึๆ "ข้ารู้ว่าเด็กโง่ที่รู้จักแต่เื่กินอย่างเ้าต้องไม่พกน้ำขิงมาแน่ อากาศเช่นนี้ไม่ดื่มน้ำขิงจะหนาวได้ง่าย"
เมื่อวานเฉียวเยว่ดื่มน้ำเยอะเกินไป จนถูกเขาเห็นเื่ขบขัน วันนี้จึงตัดสินใจจะไม่ดื่มน้ำ เพื่อ "แยกทาง" กับสุขาชั่วคราว
แต่เขาถึงกับมาส่งของให้ด้วยตนเอง
ทว่านางก็... "ขอบพระทัยอวี้อ๋อง"
หลังจากนั้น เขาก็พูดอีกว่า "คนอื่นๆ ก็เหมือนกันนั่นแหละ หากรู้สึกหนาวไม่สบาย สามารถยกมือขอน้ำขิงดื่มได้ แต่พวกเ้าต้องรู้ไว้ว่า ไม่อนุญาตให้ไปสุขา ตราบใดที่พวกเ้าลุกออกจากที่ จะถูกเก็บกระดาษคำตอบทันที"
หลังจากนั้นก็เขย่าแขนเสื้อ แล้วหมุนตัวจากไป
เฉียวเยว่ "..."
นางมองดูกาน้ำใบใหญ่ในมือ เริ่มรู้สึกว่ามีเลศนัยบางอย่างแฝงอยู่
ไม่อนุญาตให้เข้าสุขา แต่ยังให้น้ำกับนางกาใหญ่ขนาดนี้
หยางโม่หลันย่องมากระซิบถามข้างกายนาง "นี่เขาหวังดีหรือคิดร้ายต่อเ้ากันแน่ ข้าไม่เข้าใจจริงๆ"
เฉียวเยว่เชิดหน้าสี่สิบห้าองศา แสดงความจริงใจอย่างเต็มเปี่ยม "ต้องหวังดีกับข้าอยู่แล้ว หัวใจของท่านพี่จ้านตะวันจันทราล้วนเป็พยาน"
เพียงแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ชวนให้น่าเชื่อแม้แต่น้อย
โม่หลัน "..."
"สอบวันนี้ไม่รู้จะเป็เช่นไร เมื่อวานการสอบของข้าแสนจะธรรมดามาก แรงกดดันก็เยอะ จะผ่านเกณฑ์หรือไม่สุดที่จะรู้ได้"
"เ้าต้องมั่นใจในตนเองหน่อยสิ เ้าได้รับการชี้แนะจากบิดาข้าซึ่งเป็อาจารย์ของกั๋วจื่อเจียนเชียวนะ" เฉียวเยว่ให้กำลังใจ
แม้ว่าคำพูดนี้จะไม่ช่วยอะไรมากนัก แต่ก็ยังสามารถปลอบใจโม่หลันได้ นางยิ้ม "จริงด้วยสิ บิดาเ้าเคยชี้แนะข้าแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะได้คะแนนย่ำแย่"
เสียงนกหวีดดังขึ้น โม่หลันรีบกลับไปประจำตำแหน่งของตนเอง
แล้วก็เริ่มแจกแบบทดสอบ
ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ เฉียวเยว่ก็รู้สึกสงบมีสมาธิ แม้ว่านางจะเป็คนหวาดวิตกง่าย แต่ก็เป็สมาชิกพรรคคนข้ามภพ และเคยมีประสบการณ์สอบเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้ว
ความรู้สึกยามนี้เหมือนตอนเข้าสอบวิชาคณิตศาสตร์
ถึงอย่างไรคนที่ "เคยสอบเข้ามหาวิทยาสามปี ทำแบบทดสอบย้อนหลังห้าปี" เช่นนาง ไม่มีทางจะทำไม่ได้
เฉียวเยว่สูดหายใจลึก มองไปข้างหน้า ก็เห็นนาฬิกาทรายเริ่มต้นจับเวลา
"นาฬิกาทรายจะสิ้นสุดลง่บ่าย ทุกคนไม่สามารถออกจากที่นั่ง หากมีการลุกจากตำแหน่งของตนเอง จะถูกเก็บกระดาษคำตอบทันที"
การสอบทุกปีล้วนเป็เช่นนี้ ดังนั้นแทบทุกคนจะเริ่มงดน้ำั้แ่เมื่อคืน และกินอาหารน้อยมาก ด้วยเกรงว่าจะต้องเข้าสุขา
เฉียวเยว่รู้สึกปลงกับเื่ที่ผิดธรรมชาติเช่นนี้ แต่ก็เริ่มลงมือเขียนไปเงียบๆ
แน่นอนว่านางสามารถรับมือกันมันได้ เฉียวเยว่พบว่าแท้จริงแล้วคำถามไม่ได้ยากอย่างที่คิด จึงทำอย่างค่อยเป็ค่อยไป ยิ่งไปข้อท้ายๆ คำถามก็จะยิ่งยากขึ้น แต่ก็ไม่เท่าไรเมื่อเทียบกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เฉียวเยว่ลงมือทำอย่างรวดเร็ว อันที่จริงการสอบรวมเช่นนี้ไม่ดีแม้แต่น้อย หากคนข้างกายค่อนข้างเก่ง ก็จะส่งผลกระทบต่อตัวเรา
เหมือนเช่นคนที่นั่งข้างเฉียวเยว่ขณะนี้ ยิ่งนางตอบได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งสร้างความกดดันให้กับผู้อื่นมากเท่านั้น
เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว แต่ตอนนี้นางรู้สึกปลงอยู่เล็กน้อย แท้จริงแล้วไม่ต้องดื่มน้ำขิงอะไรเลย เพียงทุกคนจ้องนาฬิกาทรายแล้วตอบคำถามไปก็เครียดจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัว ไหนเลยจะรู้สึกหนาว
เฉียวเยว่ไม่ใจลอยนานนัก นางเริ่มเคลื่อนไหวต่ออย่างรวดเร็ว จนกระทั่งตอบคำถามเสร็จ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วมองไปที่นาฬิกาทราย พบว่าเวลาผ่านไปเกินหนึ่งในสี่ส่วนแล้ว
เฉียวเยว่พลิกย้อนกลับมาหน้าแรก แล้วเริ่มตรวจทานั้แ่ต้น นี่เป็ความเคยชินที่นางทำเป็ประจำเมื่อเข้าสอบในอดีต
"โคร่ก..." เสียงท้องของเฉียวเยว่ร้องดังออกมา นางเปิดฝากล่องอาหาร หยิบไป๋ถังเกามากินไปตรวจทานไป จนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงวันพระอาทิตย์กำลังร้อนแรง เฉียวเยว่ก็ยกมือขึ้น "รายงาน ข้าตอบเสร็จแล้วเ้าค่ะ"
ข้อสอบเสร็จเรียบร้อย ขนมก็กินจนหมดแล้วเช่นกัน
สามารถกลับจวนไปกินมื้อกลางวันได้แล้ว
ผู้คุมสอบหลักเก็บกระดาษของนางไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ก่อนจะมองกล่องอาหารที่ว่างเปล่าของนาง มุมปากกระตุกเล็กน้อย ถามว่า "เ้าคงไม่อยากเข้าสุขากระมัง?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า
หลังจากนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นได้ นางกรอกน้ำขิงเข้าไปถ้วยใหญ่ แล้วโบกมือยิ้มให้หรงจ้านพร้อมกับทำรูปปากว่าขอบคุณ
หรงจ้านยิ้มอยู่ไกลๆ เอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ "นางจะกลับไปกินข้าวที่บ้าน"
เฉียวเยว่ "..."
ผู้คุมสอบหลักคืออาจารย์ที่สอนวิชาคำนวณของสำนักศึกษาสตรี เขากวาดตามองข้อสอบของนางอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเงยหน้ามองเฉียวเยว่ปราดหนึ่งด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นก็เห็นว่านางเขียนเนื้อหาจำนวนไม่น้อยบนกระดาษทดสอบ เมื่อเดินกลับมาถึงข้างกายอวี้อ๋องก็เอ่ยว่า "นางตรวจทานอีกรอบจนเสร็จด้วยพ่ะย่ะค่ะ"
อวี้อ๋องยกยิ้มน้อยๆ "วิชาที่นางอ่อนคือวันพรุ่งนี้ เมื่อวานกับวันนี้ไม่ยากสำหรับนาง"
สมกับเป็ผู้รู้จริง
และแล้ววันที่สามอวี้อ๋องก็สวมอาภรณ์สีเหลืองมาจริงๆ ไม่ว่าทุกคนจะค่อนแคะในใจเพียงใดก็ทำได้แต่อดทน ใครใช้ให้ผู้อื่นเป็เชื้อพระวงศ์กันเล่า เขาหาได้สวมสีเหลืองทองสดใส ท่านอ๋องสามารถสวมได้เพียงสีที่ค่อนข้างเหลืองเท่านั้น แต่ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกขื่นขมได้เหมือนกัน
เฉียวเยว่สวมชุดขี่ม้าสีแดงเพลิงแต่เช้าตรู่ นางสูดหายใจลึกเข้าออก ให้กำลังใจตนเอง "เฉียวเยว่ เ้าทำได้ เ้าทำได้ ตราบใดที่พยายามอย่างเต็มที่เหมือนปรกติ เ้าก็สามารถทำได้"
"อ้าว เหตุใดหน้าซีดนักเล่า นกยูงน้อยตัวเมื่อวานหายไปไหนแล้วล่ะ?" หรงจ้านเดินมาข้างกายนาง น้ำเสียงแฝงแววหยอกเย้าอยู่หลายส่วน
ยามที่ไม่มีใครสังเกตนางมักจะเรียกเขาว่าพี่จ้านโดยตรง
"โธ่ พี่จ้าน ก็ข้าตื่นเต้นนี่ เมื่อวานข้าไม่ห่วงเลย แต่วันนี้กังวลมาก"
หรงจ้านลูบศีรษะนาง เฉียวเยว่ถอนหายใจอย่างปลงตก เหตุใดทุกคนถึงชอบลูบศีรษะนางกันนัก กระซิกๆ
"สบายมือดีหรือไม่?" นางถาม
หรงจ้านยิ้ม "ก็ไม่เลว ข้าไม่รังเกียจน้ำมันใส่ผมบนศีรษะเ้าก็เป็โชคดีของเ้าแล้ว"
แม้จะกล่าวเช่นนี้ ก็ยังเริ่มเช็ดมือของตนเอง
เฉียวเยว่ "..."
“ไม่ต้องตื่นเต้น ทำตัวให้เป็ปรกติก็พอ อาชาเหล่านี้ผ่านการฝึกมาแล้ว จะไม่เกิดเหตุสุดวิสัยขณะทำการสอบแน่นอน แต่เพราะพวกมันล้วนเป็ม้าแก่ ต่อให้เ้าจะมีทักษะดีมาก แต่มันก็จะไม่ให้ความร่วมมือกับเ้า นี่คือความยากของการทดสอบ ตราบใดที่เ้ามีความสงบนิ่งเพียงพอ ก็จะไม่มีปัญหา"
อวี้อ๋องหยิกแก้มของนางแล้วกล่าวว่า "อื้ม ต้องแดงๆ อย่างนี้ถึงจะมีชีวิตชีวาหน่อย"
เฉียวเยว่ "..."
คนผู้นี้มักทำให้คนรู้สึกอยากฉีกร่างเขาได้ง่ายมาก
นางกลอกตา "หากข้าจะดูมีชีวิตชีวาแค่ข้างเดียว อีกข้างไม่มี ข้ายอมขาว... โอ๊ย!"
แล้วแก้มอีกข้างก็ถูกเขาหยิกอย่างเสมอภาค
หรงจ้านพยักหน้าอย่างพึงพอใจ "ข้าสนองตามที่เ้า้า ดูสิ ตอนนี้เท่ากันแล้ว แก้มทั้งสองข้างดูมีเืฝาด น่ามองขึ้นมาก"
ดวงตาเจิดจรัสเหมือนดาราดวงน้อย พวงแก้มแดงระเรื่อ ริมฝีปากชุ่มชื้นเอิบอิ่มแลดูเย้ายวน เห็นแล้วกลับไม่รู้สึกว่านางเป็เพียงเด็กหญิงวัยสิบขวบ แต่ดูคลายสาวน้อยเ้าเสน่ห์เสียมากกว่า
จู่ๆ หรงจ้านก็ไอออกมา หลังจากไอจนพอแล้ว ก็ชี้ไปที่สนามม้า "ไปเถอะ หากสอบตก ข้าจะให้เ้าไปเลี้ยงหมู"
เฉียวเยว่ "..."
ให้ตายเถอะ ยังจะมาขู่กันอีกนะ
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากหยอกเล่นกับเขาสักพัก กลับรู้สึกผ่อนคลายลงมาก เหมือนไม่ค่อยรู้สึกกดดันเท่าไรแล้ว
เฉียวเยว่มาถึงสนามม้า เห็นท่านหญิงฉางเล่อมองมาที่นางด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งลำพอง เฉียวเยว่พลันนึกถึงคำพูดของหรงจ้านเมื่อครู่ เชอะ สาวน้อย เ้าไม่รู้หรือว่าม้าแก่ตัวนี้จะไม่ให้ความร่วมมือกับเ้า?
เฉียวเยว่พลันยิ้มกว้างอย่างเบิกบานออกมา แต่รอยยิ้มของนางกลับทำให้หรงฉางเกองงเป็ไก่ตาแตก
เฉียวเยว่ไปต่อแถวตามระเบียบ มือน้อยๆ กำหมัดแน่น
"ซูเฉียวเยว่ เ้าทำได้!"
...
รัชศกคังอันที่สิบแปด ซูเฉียวเยว่สอบเข้าสำนักศึกษาสตรีได้เป็อันดับหนึ่ง
วิชาพิณ หมาก อักษร ภาพเขียน ได้อันดับหนึ่ง
วิชาคำนวณได้อันดับหนึ่ง
วิชาขี่ม้ายิงธนูได้อันดับสอง
...
[1] อิงเถาโร่ว หรือแปลว่าเนื้อเชอร์รี่ แท้จริงแล้วไม่ใช่ผลไม้ แต่เป็อาหารคาว หมูสามชั้นต้มพะโล้ ซึ่งเป็อาหารเลื่องชื่อของเมืองซูโจว ลักษณะเด่นของอิงเถาโร่ว คือหมูสามชั้นจะเป็สีแดงคล้ายกับผลเชอร์รี่ ชิ้นกลมเล็ก หนังนุ่ม รสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ สามารถกินกับข้าว หรือกินเป็อาหารแกล้มสุราก็ได้
[2] ไป๋ถังเกา หรือขนมน้ำตาลทรายขาวทำมาจากแป้งข้าวเ้า น้ำตาลทรายผสมยีสต์แล้วนำมาหมักก่อนนำไปนึ่ง มีลักษณะเป็สีขาวฟู เนื้อนุ่มเด้งหอมอร่อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้