ตั้งใจมองนางหรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหตุใดหลินฟู่อินจึงรู้สึกแปลกๆ กัน?
นางเปิดโรงหมอเพื่อการนี้หรือ? เพื่อยั่วยวนบุรุษเนี่ยนะ?
เขาสนใจนางขึ้นมาเพียงเพราะวิชาแพทย์ของนางหรอกหรือ?
ความคิดมากมายไหลผ่านสมองหลินฟู่อินในชั่วพริบตา และคิดไปว่าจะสนใจวิชาแพทย์ของนางก็คงเป็เื่ธรรมดา เพราะวิชาของนางถือว่าเหนือจินตนาการในยุคนี้
และบุรุษผู้นี้ก็มีชีวิตที่น่าสงสาร เช่นนั้น…
“ข้าเพียงทำกิจการเล็กๆ เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเท่านั้น” สีหน้าของหลินฟู่อินผ่อนคลายลงมาก จากนั้นจึงมองบุรุษตรงหน้า “จานนี้ถูกปากท่านหรือไม่?”
นางมิได้ขอให้เขาปฏิบัติต่อนางเป็พิเศษหรืออะไร เพียงขอให้ลองทาน พอใจ แล้วไปเสีย
สำหรับนางแล้ว การมีชีวิตที่สุขสบายตามที่หวังไว้นั้นมันมิใช่เื่ยากอีกต่อไปแล้ว และนางไม่อยากให้มันต้องพังทลายเพราะคนผู้นี้โผล่มาอีก
หวงฝู่จินไม่ตอบอะไรนาง แต่เมื่อเห็นเขากินไม่หยุดมือก็เข้าใจได้ว่ามันถูกปาก
กลิ่นของอาหารและท่าทีตะกละนั่นส่งผลให้เหล่าลิ่วที่แอบมองอยู่บนเพดานเพ่งจนแทบจะร่วงลงมา
เสียงนั้นเป็ผลให้ตวนมู่เฉิงหันไปมองเขาอย่างดุๆ แล้วลอบส่งเสียงกระซิบ “หากเ้าสร้างปัญหาให้นายท่าน ข้าไม่เอาเ้าไว้แน่!”
“มะ มิบังอาจ…” เหล่าลิ่วรีบโบกไม้โบกมือ แล้วแอบกระซิบ “ท่านไม่ได้กลิ่นอาหารหรือ? ข้าหิวยิ่งนัก เพราะข้าเคยลิ้มรสอาหารฝีมือคุณหนูไปแล้ว ข้าจึงไม่อาจเคลิบเคลิ้มไปกับรสมือใครได้อีกเลย พอนายท่านคิดมาพบคุณหนูเช่นนี้ ข้าเลยหิวขึ้นมาอีกครั้ง”
ตวนมู่เฉิงเกลียดท่าทีเช่นนั้นนัก แต่มิอยากกล่าวอะไรมาก เพราะเขาเองก็ลอบกลืนน้ำลายตอนที่เหล่าลิ่วไม่ทันเห็นเช่นกัน
นายท่านเองก็รู้สึกโศกเศร้ายิ่งจนคิดอะไรได้ไม่กระจ่างเช่นกัน บุกเข้าบ้านเด็กสาวในยามวิกาลแล้วยังบังคับให้นางทำอาหารให้เช่นนี้ มีเหตุผลอะไรกัน?
กลิ่นอาหารหอมหวนเกินไปจนตวนมู่เฉิงเริ่มหายใจติดขัด อืม จะว่าไป นายท่านกล่าวไว้ว่าเขาจะบอกคุณหนูเื่ของเจียงซานหลางที่กลายเป็ผีไปแล้วด้วยตัวเอง
แต่มันจำเป็ต้องทำเช่นนี้หรือ?
เขียนจดหมายเอาก็ได้ คุณหนูอ่านออกอยู่แล้ว!
ตวนมู่เฉิงเองก็นับว่าเป็คนฉลาด แต่เขาเองก็เดาใจของนายท่านของเขาไม่ออกเช่นกัน
แต่ความจริงแล้วคนที่เดาไม่ออกไม่ได้มีเพียงเขา แม้แต่หวงฝู่จินเองก็ไม่รู้เช่นกัน
เขาเพียงคิดว่า เขาบังเอิญมายังชิงหยางแล้วบังเอิญพบนางที่กำลังถูกกลั่นแกล้งเข้า เขาจึงเข้าช่วยนางไปตามปกติเพียงเท่านั้น
เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว ก็คิดขึ้นมาว่าหากจะส่งคนไปรายงานก็ไปพบนางเองเลยดีกว่า เพราะ่หลังๆ มานี้ก็มิได้มีเื่อะไรสำคัญอยู่แล้ว
แม้ว่าหวงฝู่จินจะเป็คนกินจุ แต่เขาคนเดียวก็จัดการเจียนปิ่งชิ้นใหญ่พวกนี้ไม่หมด เมื่อกินไปได้สามชิ้นจึงเปลี่ยนไปกินถั่วปากอ้าทอดแทน
“ฤดูนี้ไม่น่ามีถั่วเช่นนี้มิใช่หรือ?” หวงฝู่จินมองจานที่แทบโล่งที่เคยเต็มไปด้วยถั่ว แล้วสายตาก็เป็ประกายขึ้นมา
“ถูกต้อง นี่คือถั่วปากอ้า ข้านำมันไปแช่น้ำอุ่น เมื่อเปลือกอ่อนแล้วจึงนำมาปอก กลายเป็ถั่วสด” หลินฟู่อินเห็นเขาสนใจ จึงบอกไปโดยไม่ปิดบัง
ได้ยินเช่นนี้ หวงฝู่จินจึงเบิกตาขึ้น นางยังมีความสามารถอะไรซ่อนอยู่อีกกัน?
แดนเหนือนั้นกว้างใหญ่ แต่พื้นที่ที่ใช้เพาะปลูกได้นั้นมีไม่ถึงหนึ่งในสามของต้าเว่ย ดังนั้นพื้นที่จึงมักถูกใช้ไปกับพืชจำพวกกินที่น้อยเช่นถั่ว
เท่าที่เขารู้ เป่ยหรงมีถั่วเช่นนี้ปลูกอยู่ แต่เพราะสุดท้ายมันไม่ใช่ทั้งข้าวหรือแป้ง ราคาจึงไม่สูงแม้จะปลูกได้ง่าย ส่วนมากจึงเก็บไว้กินเองเพราะมันไม่เหมาะจะเป็อาหารหลัก
แต่ไม่เคยมีใครนำมันไปทอดเช่นนี้มาก่อน!
เขามีความคิดดีๆ แล้ว
“แค่แช่น้ำอุ่นไว้จนเปื่อยเฉยๆ ได้หรือไม่? เช่นนั้นแล้วจะปอกได้ง่ายเช่นถั่วสดหรือไม่?” เพื่อความรอบคอบ หวงฝู่จินจึงยืนยันกับหลินฟู่อินด้วยท่าทีจริงจัง
ในระหว่างที่หลินฟู่อินกำลังเก็บกวาด นางก็หันไปมองเขา เมื่อเห็นว่าเขามีสีหน้าที่ไม่ค่อยได้เห็นจึงหยุดมือลงพลางคิดถึงแดนทางเหนือ แล้วหัวใจก็กระตุก
ได้ยินมาว่าเป่ยหรงนั้นไม่เหมาะแก่การเพราะปลูกเช่นหมู่บ้านหูลู่มากนัก มันเต็มไปด้วยหญ้ามากมายที่สูงเท่าตัวคน และทรายเหลืองไม่รู้จุดสิ้นสุด แม้จะพอมีที่อยู่บ้างแต่ส่วนมากก็แห้งร้าง ดังนั้นจึงมักขาดแคลนอาหารจนต้องอดอยากกันตลอดปี
เพราะอย่างนั้นคนจากเป่ยหรงจึงหนีลงใต้กันมาตลอดหลายชั่วอายุคน จนเกิดเป็เส้นทางการค้าขึ้นมา
ร่างของหลินฟู่อินสั่นสะท้าน นางไม่อยากเจอา แต่ความจริงแล้วนางก็อยู่ติดชายแดน ถือเป็เพื่อนบ้านของพวกเขา และเมื่อนึกถึงความสามารถทางกายภาพของเหล่าลิ่วแล้ว หากวันหนึ่งพวกเขาเปิดศึกกับต้าเว่ยขึ้นมาจนพวกเขาบุกมาปล้นสะดม คนธรรมดาเช่นพวกนางจะทำอะไรได้?
แคว้นที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานย่อมไม่อาจต่อต้านการบุกรุกของพวกมือฉมังได้ มันเป็เช่นนั้นมาแต่โบราณแล้ว
แต่หากคนของเป่ยหรงบอกว่าจะบุกต้าเว่ยเพียงเพราะอาหารไม่พอขึ้นมา พวกนางจะขัดอะไรได้กัน?
เพราะมันเป็เื่ของการเอาชีวิตรอด!
ััได้ถึงการสูดหายใจเข้าลึกของหลินฟู่อิน หวงฝู่จินจึงกะพริบตาปริบๆ อย่างประหลาดใจ เมื่อกี้ยังตอบมาดีๆ แล้วตอนนี้เป็อะไรไปกัน?
“เ้าบอกข้าไม่ได้หรือ์” หวงฝู่จินย่นคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านางมีสีหน้ายุ่งยาก เขาจึงยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก “มันมีวิธีการซับซ้อนหรือ?”
หลินฟู่อินได้สติแล้วก็ส่ายหน้า “มันไม่มีอะไรเช่นนั้น การเตรียมถั่วนี้เป็เื่ง่าย เพียงแช่ถั่วปากอ้าไว้ในน้ำครึ่งถังเป็เวลาครึ่งวันโดยเริ่มจากตอนกลางคืนก็พอ”
ง่ายจริง หวงฝู่จินกล่าว
แม้ชาวเป่ยหรงจะมีอาหารไม่พอกิน แต่พวกราชวงศ์และพ่อค้าก็ยังคงอุดมสมบูรณ์ ปลากับเนื้อมีไม่เคยพอ และอาหารเลิศรสก็ถูกเสาะหาตลาดเวลา
ยิ่งในฤดูนี้ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงในทางเหนือของต้าเว่ย แต่ทางตอนกลางถึงเหนือของเป่ยหรงนั้นเป็ฤดูหนาวไปเรียบร้อยแล้ว การหาอาหารสดเช่นนี้จึงยากเย็นเกินกว่าจินตนาการ เขาสามารถสั่งให้คนไปกว้านซื้อมาในปริมาณมาก แล้วจ่ายงานให้คนยากไร้เพื่อให้พวกเขามีรายได้ได้
แต่ต่อให้บอกว่าซื้อถั่วก็ตาม แต่ราคาก็คงไม่ต่ำนัก…
ใน่เวลาไม่กี่อึดใจนี้ หวงฝู่จินคิดออกมาได้หลายแผนการโดยที่หลินฟู่อินไม่รู้ตัวเลยว่านางเป็เชื้อเพลิงที่ทำให้บุรุษตรงหน้าได้ความคิดในการพัฒนาการค้าในเป่ยหรงแล้ว
ในตอนนี้เอง หลินฟู่อินก็นึกถึงหัวข้อดีๆ ออก แล้วกล่าวคำสั้นๆ ออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่เป็เพียงถั่วปากอ้าตากแห้งเท่านั้น แต่ถั่วชนิดอื่นสามารถนำไปทำเป็ผักได้ เช่นถั่วเขียวและถั่วเหลืองที่นำไปเปลี่ยนเป็ถั่วงอกได้ เป็ผักที่ทานให้อร่อยได้แม้จะอยู่นอกฤดูกาล ถั่วแดงและถั่วเขียวเองก็เอาไปทำถั่วแดงและถั่วเขียวบดได้ ซึ่งเหมาะกับการใช้ทำขนมหวาน แต่วิธีการนั้นออกจะยุ่งยากอยู่เล็กน้อย”
หลินฟู่อินไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่ายิ่งนางกล่าวหวงฝู่จินก็ยิ่งเบิกตากว้าง เมื่อเห็นว่าเขาไม่ส่งเสียงอะไรออกมาเลย หลินฟู่อินก็นึกว่าเขาไม่สนใจจึงหยุดพูด
แต่หวงฝู่จินกลับบอกให้นางกล่าวต่อ
“หัวเล็กๆ ของเ้ามีความคิดดีๆ มากมายนัก ว่าต่อไปสิ เ้าคิดว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้