อยู่ๆ ดวงตาของคนที่นอนอยู่ในโลงก็เปิดขึ้น แสงหนึ่งประกายขึ้นมาก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของหลินลั่วหรานในทันที เธอไม่อาจหลบหนีไปที่ไหนได้ตอนนั้นจึงกลายเป็เพียงท่อนไม้แข็งทื่อ
แน่นอนว่าเหวินกวนจิ่งเองก็เห็นแสงประกายนั่นเช่นกันคนที่ได้รับการเรียนรู้สิ่งต่างๆ สืบทอดมาจากตระกูลแบบเขาเพียงไม่นานนักก็คิดอะไรขึ้นมาได้มากมาย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปพร้อมทั้งมองไปยังหลินลั่วหรานที่ไร้สติ ก่อนจะพึมพำออกมา “ย้าย...จิต!”
ร่างของหญิงสาวที่อยู่ในโลงนั้นงดงามยากจะหาใครเทียบหลินลั่วหรานเองก็หน้าตางดงาม คนหนึ่งนอนคนหนึ่งนั่ง ราวกับดอกบัวและดอกโบตั๋นต่างคนต่างมีความงดงามที่แตกต่างกัน
“เ้าเป็ทายาทของเขาชู่ชานนี่เองข้าก็ไม่อยากทำให้เ้าลำบากใจ แต่อย่าได้ยุ่งกับเื่ไม่เข้าเื่เลย ฮึ!”หลินลั่วหรานพูดออกมาโดยที่ริมฝีปากไม่ได้ขยับออกแต่น้ำเสียงที่ส่งออกมากลับไม่ใช่เสียงของเธอเอง
น้ำเสียงของเธอนั้นดูนุ่มนวลแต่ความเย็นะเืกลับกระจายไปทั่ว และมีความน่ากลัวที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้เหวินกวนจิ่งได้แต่รู้สึกเสียวขึ้นมาจนถึงสันหลัง!
ไม่ใช่เสียงของหลินลั่วหราน หากเป็แบบนี้แล้วตอนนี้หญิงสาวคนนั้นได้เปรียบอยู่อย่างนั้นเหรอ?
ตอนนี้ในใจของเหวินกวนจิ่งเต็มไปด้วยความซับซ้อนเห็นได้ชัดว่าสุสานแห่งนี้เป็ของบรรพบุรุษของเขาชู่ชาน ไม่ว่าจะเป็รูปภาพบนผนังหรือว่าการควบคุมของประตูแม้ว่าหญิงสาวคนนี้จะไม่ใช่บรรพบุรุษของเขาชู่ชาน แต่ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเขาชู่ชานอย่างแน่นอน...หากไม่ใช่นักปราชญ์ระดับแยกจิตแยกจิตยังไม่สำเร็จ จิติญญายังไม่แยกออก ไม่สามารถใช้เวทลับในการย้ายร่างได้หรือพูดได้ว่า หญิงสาวที่สวมชุดขาวคนนี้ก่อนหน้านี้คือรุ่นก่อนหน้าที่เป็ระดับแยกจิต!
ถ้าหากว่าเธอย้ายจิตสมบูรณ์เขาชู่ชานก็จะได้รับความช่วยเหลือจากนักปราชญ์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็ถึงระดับแยกจิตมาก่อนแล้ว...เหวินกวนจิ่งรู้สึกว่าหัวใจของเขานั้นเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน!
แต่ว่าการย้ายจิตครั้งหนึ่งนั้นั้แ่อดีตก็ถือเป็เวทศาสตร์มืดชนิดหนึ่ง หลายๆ สำนักต่างก็พากันไม่อนุญาตั้แ่เด็ก เหวินกวนจิ่งก็ถูกสอนให้อยู่ในความถูกต้องมาตลอดสิ่งนี้จึงสร้างผลกระทบใหญ่กับศีลธรรมในใจของเขา!
ทางหนึ่งก็มีความยั่วยวนจากผู้เชี่ยวชาญระดับแยกจิตอีกฝั่งก็เป็ความถูกต้องในจิตใจอีกทั้งร่างที่หญิงสาวสวมชุดสีขาวคนนั้นใช้ในการย้ายจิตก็เป็ร่างของหลินลั่วหราน คนที่ภายนอกเ็าแต่ในใจกลับอบอุ่น มองดูแล้วนิ่งเฉยแต่ความจริงกลับดีกับคนที่รู้จักมาก เธอเพิ่งถูกปรมาจารย์เชื้อเชิญเข้ามาสู่สำนักเธอนั้นมีความตั้งใจในการฝึกศาสตร์มากและชีวิตของเธอก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...
ความดิ้นรนในใจของเหวินกวนจิ่งนั้นยังแรงกล้ามากกว่าในกายของหลินลั่วหรานเองเสียอีก
เมื่อพูดถึงหลินลั่วหรานแล้วั้แ่ที่แสงสว่างพุ่งเข้าใส่หน้าของเธอ ก่อนจะเข้าไปยังแหล่งการรับรู้ของเธอเพียงแค่นั้นเธอก็รู้ว่ามันเป็เื่ไม่ดีแล้ว!
“ย้ายจิต!” เธอเคยอ่านนิยายเกี่ยวกับการฝึกศาสตร์มาสองเล่มจึงรู้สึกคุ้นตากับศัพท์คำนี้เป็อย่างมากเมื่อเห็นว่าตัวเอกในนิยายไม่ว่าจะเป็คนย้ายจิตหรือถูกย้ายมาต่างก็เพื่อสรรเสริญอะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็เื่ของศีลธรรมหรืออะไรก็ไม่ต้องสนใจ เพียงแค่เริ่มอ่านในหนังสือก็รู้ว่ามันเป็เื่หลอกลวงแน่นอนว่าไม่มีอะไรสามารถแทนที่กันได้
จนกระทั่งตัวหลินลั่วหรานได้เจอกับตัวถึงได้รู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เื่ง่ายๆ อย่างที่ในนิยายเขียนเอาไว้ถ้าหากถูกหญิงสาวคนนี้แย่งร่างไป ั้แ่นี้ต่อไปบนโลกใบนี้ก็จะไม่เหลือร่องรอยของหลินลั่วหรานอีกต่อไปแล้ว!
ั้แ่ที่จิตความคิดเกิดขึ้นมาแหล่งรับรู้ของเธอก็เปิดออก ไม่เหมือนกับที่ในนิยายต่างๆ เขียนเอาไว้ความจริงตำแหน่งของมันอยู่ที่ไขสันหลังไพเนียลบอดี้ และก็เป็จุดที่ซ้อนทับกันในพื้นที่ระหว่างคิ้วทั้งสองลึกลงไป จุดเล็กๆขนาดเท่าเม็ดถั่วสีน้ำตาลแดงที่มีขนาดไม่กี่มิลลิเมตร
ขนาดเพียงไม่กี่มิลลิเมตรเพียงแต่ในตัวของแหล่งรับรู้นั้น ด้านในมีจักรวาลอื่นอยู่ ด้วยการฝึกศาสตร์ที่ลึกขึ้นและการขยายใหญ่ของจิตความคิด แหล่งการรับรู้ถึงได้ขยายใหญ่ขึ้นไม่สิ้นสุด
การฝึกศาสตร์ของหลินลั่วหรานนั้นไม่ได้สูงมากนักแต่ไม่รู้ทำไมจิตความคิดของเธอจึงแปลกไปจากคนอื่นเมื่อหญิงสาวคนนั้นเข้ามาในแหล่งรับรู้ของเธอก็ต้องส่งเสียงแสดงความสงสัยออกมาเบาๆ
แต่ว่าจากประสบการณ์อันเนิ่นนานของเธอ ไม่มีเื่อะไรที่ไม่เคยเจอมาก่อนเื่ความผิดปกติเหล่านี้จึงถูกจับไปไว้อีกฝั่งทันที มือเปล่าของเธอราวกับมีดดาบก่อนจะฟันลงไปยังจิตความคิดของหลินลั่วหราน
หลินลั่วหรานมองไปยังหญิงสาวที่มีหน้าตาเหมือนกับท่านเทพป๋ายไม่มีผิดเพี้ยนความรู้สึกมากมายไหลเข้ามาในใจของเธอ ส่วนหินิญญายังคงสงบอยู่ในถุงจักรวาลของเธอหรือว่าทั้งหมดนี่จะเป็แผนที่ท่านเทพป๋ายได้วางเอาไว้หมดแล้ว?
“ท่านเทพป๋าย...”ต่อให้รู้ว่าท่านเทพป๋ายมีแผนอะไรอยู่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ก็ทำให้หลินลั่วหรานไม่สบายใจอยู่ดี
เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงที่เธอเรียกว่า“ท่านเทพป๋าย” ก็หรี่ตาลง “ท่านเทพป๋าย...เ้ารู้จักข้า”แม้ว่าปากจะพูดแบบนั้นแต่ว่ามือของเธอนั้นไม่ได้หยุดชะงักลงเลยแม้แต่น้อย
ในใจของหลินลั่วหรานเข้าใจขึ้นมาความรู้สึกยากเกินกว่าจะรับไหว เมื่อได้ยินเธอพูดออกมา อะไรคือรู้จักเธอเธออยู่กับท่านเทพป๋ายมาตั้งหลายวันแล้ว ทำไมถึงทำเหมือนว่าเพิ่งจะรู้จักกันได้?
ในตอนนี้หลินลั่วหรานก็ได้รับรู้ขึ้นมาได้ทันทีผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเทพป๋าย แต่แน่นอนเลยว่าเธอไม่ใช่ “ท่านเทพป๋าย”ที่เธอรู้จัก!
ใช่แล้วแม้ว่าท่านเทพป๋ายจะมีแผนอะไรก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเธอจะมาที่นี่กับเหวินกวนจิ่งแล้วจะมารอเธออยู่ที่นี่ได้อย่างไร สะดวกต่อการย้ายจิตหรือ?
เมื่อรู้ว่านี่ไม่ใช่แผนการที่น่าใอะไรหลินลั่วหรานก็รู้สึกว่าตัวเองมีแรงขึ้นมาเธอหลบการโจมตีของหญิงสาวอย่างเฉียดฉิวแล้วถอยมาอีกฝั่งแต่ว่าในแหล่งรับรู้ของเธอไม่ได้ใหญ่อะไรมากเพียงไม่กี่อึดใจก็ถูกหญิงสวมชุดขาวตามมาได้ทัน หลินลั่วหรานไร้หนทางหลบหนีในใจได้แต่กังวลขึ้นมา และไม่ได้โต้ตอบกลับไป สถานการณ์ของเธอจึงยิ่งน่าเป็ห่วง
แต่ว่า ที่นี่คือแหล่งการรับรู้ แล้วจะโจมตีกลับไปอย่างไรล่ะ?
ในใจของหลินลั่วหรานเต็มไปด้วยความกังวลแต่กลับไม่สามารถใช้เวทได้ หรือแม้ว่าจะใช้ได้ แต่ที่นี่คือแหล่งการรับรู้ของเธอแล้วจะทำลายตามใจชอบไปได้อย่างไร?
สาวสวมชุดขาวเหยียดยิ้มออกมามือของเธอขยับร่ายเวท ก่อนที่ตาข่ายละเอียดลงมาจับกุมตัวหลินลั่วหรานเมื่อหญิงสาวสวมชุดขาวดึงตาข่ายเข้ามา ปากของเธอพูดเวทไฟออกมาเพื่อบังคับเผาไหม้จิตความคิดของหลินลั่วหรานให้หมดสิ้น!
ตอนนี้หญิงสาวสวมชุดขาวเป็ฝ่ายได้เปรียบทำเอานักฝึกศาสตร์ระดับฝึกลมปราณอย่างหลินลั่วหรานได้แต่ใเธอจะโต้ตอบกลับไปได้อย่างไร ด้านหนึ่งก็เผาไหม้จิตความคิดของเธออีกฝั่งก็ควบคุมร่างของเธอเอาไว้
เหวินกวนจิ่งยังคงดิ้นรนต่อไปแต่ “หลินลั่วหราน” กลับลืมตาตื่นขึ้นมา ขยับแขนขยับขาไปมาหลายปีแล้วที่เธอไม่ได้มีกายหยาบแบบนี้ ทำให้เธออดที่จะดีใจขึ้นมาไม่ได้
เหวินกวนจิ่งมองไปยังสีหน้าของเธอในความสงบของเธอนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์ เห็นกันอยู่ว่ามีใบหน้าที่เหมือนกันแต่เมื่อมองไปกลับรู้ได้ว่าเป็คนละคน นี่ไม่ใช่ตัวหลินลั่วหราน!
เธอแพ้แล้วเหรอ...ในใจของเหวินกวนจิ่งรู้สึกราวกับสูญเสียบางอย่างไป
“หลินลั่วหราน”กรอกตาไปรอบๆ ท่าทางของเธอดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเธอจ้องมองมาที่เหวินกวนจิ่งก่อนจะถามขึ้นมา “ร่างกายนี้ไม่ใช่คนของเขาชู่ชานแต่เป็เ้า เ้าเป็ผู้สืบทอดของแขนงไหนล่ะ?”
เหวินกวนจิ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังมากแค่ไหนจึงไม่กล้าจะตบตาไปมั่วๆ ได้แต่พูดออกมาด้วยความเคารพ “ข้าเป็ทายาทรุ่นที่ 53 ของตระกูลเหวินแห่งเขาชู่ชาน” เมื่อพูดจบก็ก้มหัวลงปกปิดสีหน้าที่แปลกประหลาดของเขา
“ตระกูลเหวินรุ่นที่ 53?เช่นนั้น เกรงว่าจะผ่านมาพันกว่าปีแล้ว...” “หลินลั่วหราน”คนนั้นขมวดคิ้วเข้าหากัน ดูเหมือนว่าไม่สามารถรับกาลเวลาที่ไหลไปอย่างรวดเร็วได้เธอยืนนิ่งอยู่สักพัก แล้วอดที่จะตรวจสอบพื้นฐานพลังของหลินลั่วหรานขึ้นมาไม่ได้
ในใจของเหวินกวนจิ่งนั้นเต็มไปด้วยคำถามเขามองไปยังคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ภายในกลับเปลี่ยนกลายเป็ “หลินลั่วหราน” ที่เป็นักปราชญ์ระดับสูงอีกคนหากยังยืดเยื้อต่อไป เธอคงจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว!
เหวินกวนจิ่งแอบร่ายเวทซับซ้อนขึ้นมาอย่างเงียบๆเขามองไปยัง “หลินลั่วหราน” ที่ดูเหมือนว่ายังคงท่องไปในจิตฝ่ามือของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ เส้นเืที่คอของเขาปูดขึ้นมาก่อนที่เขาจะค่อยๆ ขยับมือ
“ปัง!” แสงหนึ่งโจมตีเข้าที่แขนของเหวินกวนจิ่งอย่างรวดเร็วเวทที่เขายังร่ายไม่ทันเสร็จถูกขจัดให้คลายออกตัวของเหวินกวนจิ่งกระเด็นตกลงไปยังสระบัว หยาดน้ำกระจายไปทั่วก่อนจะทำให้กลีบใบของดอกบัวฉีกขาดไปหมด!
“หลินลั่วหราน”เหยียดยิ้มขึ้น “เพื่อหญิงสาวคนหนึ่งเ้าถึงกับละทิ้งสำนัก แม้จะเป็ศิษย์ของเขาชู่ชาน แต่จะเก็บเ้าไว้เพื่ออะไรกัน?”
เหวินกวนจิ่งพยายามขยับตัวลุกขึ้นใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ “เขาชู่ชานไม่มีปีศาจแบบนี้กว่าพันปีแล้วแต่ศพกลับไม่เน่าไม่เปื่อย เพื่อที่จะย้ายจิตในวันนี้คนที่ละทิ้งสำนัก...คือเ้าต่างหาก”