บทที่ 2: กำเนิดใหม่กลางพงไพร
ราตรีกาลโรยตัวลงมาพร้อมกับม่านฝนที่โปรยปราย สาดสายกระทบร่างของเด็กหนุ่มผู้กำลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำลงบนพื้นดินอันชุ่มแฉะ ทิ้งรอยเืไว้เป็ทางยาว แสงจันทร์สีซีดที่ลอดผ่านม่านเมฆาส่องให้เห็นอาภรณ์ศิษย์ของสำนักกระบี่เมฆาคล้อยที่ขาดวิ่นและเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนและโลหิต
เย่เฟิงไม่รู้ว่าตนเองวิ่งมาไกลเท่าใดแล้ว เขารู้เพียงว่าต้องหนี...หนีให้ไกลที่สุดจากหุบเขาที่เคยเป็บ้าน ที่ซึ่งบัดนี้กลายเป็ลานปะานองเื ภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของท่านอาจารย์จางก่อนที่ร่างจะสลายไปในแสงสว่างวาบนั้น ยังคงตามหลอกหลอนอยู่ในห้วงสำนึกราวกับตราบาป
"หนีไป! จงมีชีวิตอยู่ต่อไป!"
เสียงสุดท้ายของท่านอาจารย์ดังก้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันคือโซ่ตรวนแห่งคำสัญญาที่ฉุดกระชากให้สองขาของเขาก้าวต่อไป แม้ร่างกายจะกรีดร้องด้วยความเ็ปก็ตาม
ความเ็ปนั้นมิได้มาจากาแภายนอกเพียงอย่างเดียว แต่มาจากพลังงานสีทองอันบ้าคลั่งที่ไหลเวียนปั่นป่วนอยู่ภายในร่าง พลังของไข่มุกัาที่เพิ่งตื่นขึ้นนั้นเปรียบเสมือนัเทวะที่ถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลนับพันปีในถ้ำอันคับแคบ มันทั้งทรงพลังและเกรี้ยวกราด เส้นชีพจรทั่วร่างของเขารู้สึกร้อนราวกับถูกโลหะหลอมเหลวไหลผ่าน ทุกครั้งที่หัวใจเต้น มันจะสูบฉีดพลังงานสีทองนี้ไปทั่วทุกอณู ก่อเกิดเป็ความแข็งแกร่งมหาศาล แต่ก็แลกมาด้วยความทรมานแสนสาหัส
"อ๊ากกก!" เย่เฟิงร้องลั่นออกมาด้วยความเ็ป ก่อนจะสะดุดรากไม้ใหญ่และกลิ้งตกลงไปตามเนินเขาสูงชัน ร่างของเขากระแทกเข้ากับต้นไม้และก้อนหินนับครั้งไม่ถ้วน จนในที่สุดก็หยุดนิ่งอยู่ตรงแอ่งน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง สติสัมปชัญญะของเขาดับวูบลง เหลือทิ้งไว้เพียงร่างที่หายใจรวยรินอยู่ท่ามกลางความมืดและเหน็บหนาวของพงไพร
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่มีผู้ใดรู้...
เย่เฟิงถูกปลุกให้ตื่นขึ้นไม่ใช่เพราะการพักผ่อน แต่เป็เพราะความหิวโหยที่กัดกินกระเพาะและความกระหายที่ทำให้ริมฝีปากแห้งผากจนแตกเป็ขุย เขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพแรกที่เห็นคือม่านใบไม้สีเขียวหนาทึบที่บดบังแสงตะวัน เสียงซ่าๆ ของน้ำตกที่อยู่ไม่ไกลดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท
เขาลองขยับตัว ความเ็ปจากาแภายนอกยังคงอยู่ แต่ความรู้สึกร้อนระอุเหมือนจะฉีกร่างจากภายในได้ทุเลาลงไปมากแล้ว เขายันกายลุกขึ้นและเดินโซซัดโซเซไปยังทิศทางของเสียงน้ำตก
ไม่นานนัก เขาก็ได้พบกับน้ำตกขนาดกลางที่ไหลลงมาจากหน้าผาหินสูงชัน ก่อเกิดเป็แอ่งน้ำใสสะอาดเบื้องล่าง อากาศบริเวณนี้บริสุทธิ์และชุ่มชื้นอย่างน่าประหลาด ที่สำคัญคือมันอุดมไปด้วยปราณฟ้าดินหนาแน่นกว่าที่สำนักของเขาหลายเท่านัก
หลังจากดื่มน้ำจนพอใจและล้างคราบเืออกจากร่างกายแล้ว เย่เฟิงก็เริ่มมองหาสถานที่ปลอดภัยสำหรับพักฟื้นและตั้งหลัก และในตอนนั้นเองที่สายตาของเขาสะดุดเข้ากับบางสิ่ง... เถาวัลย์ที่ห้อยระย้าลงมาปกคลุมหน้าผาหลังม่านน้ำตกนั้น มีช่องว่างเล็กๆ อยู่ช่องหนึ่ง หากไม่สังเกตให้ดีจะไม่มีทางมองเห็นได้อย่างแน่นอน
ด้วยความหวังริบหรี่ เขารวบรวมพลังที่เหลืออยู่แหวกม่านน้ำตกที่เย็นเยียบเข้าไป เมื่อผ่านทะลุเข้าไปได้ เขาก็ได้พบกับถ้ำแห่งหนึ่ง ปากถ้ำไม่ใหญ่นัก แต่ภายในกลับแห้งสนิทและกว้างขวางเกินคาด มีแสงสว่างอ่อนๆ ส่องลอดมาจากรอยแตกบนเพดานถ้ำ ทำให้พอมองเห็นได้บ้าง
"์ยังไม่ทอดทิ้งข้าโดยสิ้นเชิง..." เขากล่าวกับตัวเอง นี่คือสถานที่หลบภัยชั้นเลิศที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้น
เย่เฟิงใช้เวลาสองสามวันแรกไปกับการรักษาาแภายนอก เขานำความรู้เื่สมุนไพรที่ท่านอาจารย์จางเคยสอนไปค้นหาพืชที่พอจะใช้ห้ามเืและสมานแผลได้ในบริเวณใกล้เคียง เมื่อสภาพร่างกายภายนอกเริ่มคงที่แล้ว เขาก็รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่แท้จริง... นั่นคือพลังที่หลับใหลอยู่ภายใน
เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นถ้ำที่เย็นเฉียบ หลับตาลงและเริ่มโคจรลมปราณเพื่อสำรวจภายในร่างกายเป็ครั้งแรกนับั้แ่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น
ทันทีที่จิตของเขาจมดิ่งลงสู่ภายใน โลกทัศน์ของเขาก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง!
ภาพที่เขาเห็นไม่ใช่จุดตันเถียนที่เคยแห้งเหือดและนิ่งสงบอีกต่อไป แต่มันคือทะเลพลังงานสีทองอันกว้างใหญ่ที่กำลังหมุนวนเป็เกลียวคลื่นอย่างบ้าคลั่ง ที่ใจกลางของวังวนนั้น เขาไม่เห็นไข่มุกัอีกแล้ว แต่มันได้หลอมรวมและกลายสภาพเป็ "ตัวอ่อนั" สีทองขนาดจิ๋วที่กำลังขดตัวหลับใหลอย่างสงบ มันคือแก่นแท้แห่งพลังของเขาในบัดนี้
จากนั้น เขาก็เบนความสนใจไปยังเส้นชีพจรลมปราณ... "เส้นชีพจรหยกพิสุทธิ์" ที่เคยถูกตราหน้าว่าตีบตันและไร้ประโยชน์ บัดนี้มันกลับส่องสว่างเรืองรองเป็สีขาวอมทอง แต่ละเส้นขยายกว้างและแข็งแรงกว่าที่เคยจินตนาการไว้หลายสิบเท่า พลังงานสีทองไหลเวียนผ่านไปได้อย่างราบรื่นไม่มีติดขัดแม้แต่น้อย
ในวินาทีนั้นเอง เย่เฟิงก็บรรลุความจริง!
เส้นชีพจรของเขามิได้ตีบตันหรือพิการ หากแต่มัน "สูงส่ง" เกินไปต่างหาก! มันสูงส่งเกินกว่าที่พลังปราณอันเบาบางในแดนมนุษย์จะสามารถเติมเต็มหรือโคจรผ่านได้ มันเปรียบเสมือนลำน้ำของทวยเทพที่รอคอยการมาถึงของมหาสมุทร ไม่ใช่ลำธารเล็กๆ ของเหล่ามนุษย์ พร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกลับถูกเข้าใจผิดว่าเป็คำสาปมาตลอดสิบกว่าปี!
"ท่านอาจารย์... ศิษย์เข้าใจแล้ว... ศิษย์เข้าใจทุกอย่างแล้ว..." น้ำตาแห่งความตื้นตันและความเศร้าใจไหลรินอาบแก้ม เขากำหมัดแน่น ความเศร้าโศกแปรเปลี่ยนเป็ความแค้นที่เยือกเย็นและหนักแน่นดุจขุนเขา คำปฏิญาณที่เคยะโออกไปอย่างบ้าคลั่ง บัดนี้ได้ถูกสลักลึกลงไปในจิติญญาของเขาแล้ว
เมื่อจิตใจสงบลง เย่เฟิงก็เริ่มทดลองควบคุมพลังัสีทองนั้นอย่างจริงจัง เขาหวนนึกถึงเคล็ดวิชาพื้นฐานที่สุดของสำนัก... "เคล็ดกระบี่เมฆาคล้อย" ที่เขาเคยฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่านับหมื่นครั้งจนขึ้นใจ
เขาลุกขึ้นยืน ชักกระบี่ไม้ไผ่ธรรมดาที่พกติดตัวมาออกมา นี่คือของดูต่างหน้าชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ มันคือกระบี่เล่มแรกที่ท่านอาจารย์มอบให้เขา
เขาหลับตาลง ทบทวนกระบวนท่าแรก "เมฆาลอยปัดป่าย" มันเป็เพียงท่าพื้นฐานที่ใช้ในการปัดป้อง แต่ครั้งนี้ เขาลองโคจรพลังัสีทองไปตามเส้นทางเดินพลังของกระบวนท่านั้น
วูบ!
ทันทีที่พลังงานไหลไปถึงปลายกระบี่ เขาก็ตวัดมันออกไปตามสัญชาตญาณ
ฟุ่บ!
ปราณกระบี่สีทองบางๆ พุ่งออกจากปลายกระบี่ไม้ไผ่! มันไม่ได้รุนแรงนัก แต่มันเฉียบคมอย่างน่าเหลือเชื่อ ปราณกระบี่นั้นพุ่งไปกระทบกับผนังถ้ำที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง ทิ้งรอยกระบี่ลึกเกือบครึ่งนิ้วไว้บนเนื้อหินแข็ง!
เย่เฟิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง!
นี่...นี่คือเคล็ดกระบี่ที่ทุกคนในสำนักดูแคลนว่าอ่อนแออย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่เลย...เคล็ดวิชาไม่เคยอ่อนแอ มีเพียงผู้ใช้ที่อ่อนแอเท่านั้น! ด้วยพลังันี้ แม้แต่กระบวนท่าที่ธรรมดาสามัญที่สุดก็ยังสามารถสำแดงอานุภาพที่น่าหวาดหวั่นออกมาได้!
ความตื่นเต้นเข้าครอบงำจิตใจของเขา เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝน ทำความคุ้นเคยกับพลังใหม่นี้วันแล้ววันเล่า จากวันเป็สัปดาห์ จากสัปดาห์เป็เดือน...
วันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังฝึกฝนจนเหงื่อท่วมกาย พลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาดูเหมือนจะไปกระตุ้นบางสิ่งบางอย่างในส่วนที่ลึกที่สุดของถ้ำ เขารู้สึกได้ถึงพลังงานที่แปลกประหลาดสายหนึ่งตอบสนองกลับมาอย่างแ่เบา
ด้วยความสงสัย เขาจึงตัดสินใจเดินสำรวจลึกเข้าไปในถ้ำที่ไม่เคยย่างกรายไปถึง ที่สุดปลายทางเดินอันมืดมิด เขาได้พบกับห้องโถงเล็กๆ ห้องหนึ่ง และสิ่งที่อยู่ในนั้นก็ทำให้หัวใจของเขาหยุดเต้น
ใจกลางห้องโถงนั้น มีโครงกระดูกในชุดผ้าขาดวิ่นนั่งขัดสมาธิอยู่ มันคงอยู่ในท่านั้นมานานนับร้อยนับพันปีแล้ว ที่ด้านหน้าของโครงกระดูก มี "ถุงมิติ" (Storage Pouch) ที่เก่าแก่ใบหนึ่งวางอยู่ ข้างๆ กันนั้น มีสมุนไพรประหลาดต้นหนึ่งกำลังส่องแสงสีเงินยวงอ่อนๆ ไปทั่วทั้งห้อง...มันคือ "สมุนไพริญญา" ของจริง!
นี่มัน...โอกาสวาสนาในตำนาน!
เย่เฟิงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เขากำลังจะก้าวเข้าไปเพื่อตรวจสอบดูให้ดีๆ
แต่ทันใดนั้นเอง...
"แฮ่... กรรรรซ์..."
เสียงคำรามต่ำที่เต็มไปด้วยไอสังหารอันเย็นเยียบดังขึ้นจากความมืดตรงทางเข้าถ้ำ! เสียงนั้นไม่ได้มาจากสัตว์ป่าธรรมดา มันคือเสียงของอสูรปราณที่ทรงพลัง!
เย่เฟิงชะงักงัน ขนทั่วกายลุกชัน เขากำด้ามกระบี่ไม้ไผ่ในมือแน่น... เขาไม่ได้อยู่คนเดียวในถ้ำแห่งนี้!
(จบตอนที่ 2)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้