อวิ๋นจื่อไม่รู้จะถามอะไร นางชั่งใจอยู่นานสุดท้ายก็เอ่ยปากถามว่า
“ท่านรู้จักมารดาของข้าหรือไม่?”
ดวงตาของหวังฉีอวิ๋นเป็ประกายราวกับว่าสตรีชุดสีขาวผู้สูงศักดิ์เมื่อหลายปีก่อนได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ตอนนั้นอีกฝ่ายมองหน้านางและถามว่า
‘ฉีอวิ๋นเ้าเป็อะไรไป?’
แม้จะอยู่ที่เมืองหยงโจวมาหลายปีแต่สำเนียงของนางยังหลงเหลือกลิ่นอายของเมืองฉินโจวอยู่บ้าง
ต่อมาหวังฉีอวิ๋นเฝ้าดูสตรีผู้นั้นก้าวไปสู่จุดสูงสุดที่สตรีคนหนึ่งจะไปถึงได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์เมื่อสิบหกปีที่แล้ว เกรงว่าตระกูลซูอาจไม่ได้ลงเอยเช่นนี้ และหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้ย่อมไม่มาอยู่ที่นี่เช่นกัน
หวังฉีอวิ๋นพยักหน้าเบาๆ “เ้ารู้จักเชื้อพระวงศ์แห่งฉินโจวหรือไม่?”
เชื้อพระวงศ์แห่งฉินโจว?
อวิ๋นจื่อจำได้ว่าไทเฮาเป็บุตรสาวของตระกูลหวัง
เมื่อสิบหกปีที่แล้วตอนที่ไทเฮากำลังเลือกพระชายาให้กับองค์ชายซึ่งในภายหลังได้กลายเป็ฮ่องเต้และกลายมาเป็เสด็จพ่อของนาง อวิ๋นจื่อได้ยินว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในวัง ั้แ่นั้นมาไทเฮาก็อาศัยอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นในโดยไม่สนใจเื่ทางโลกอีก
อวิ๋นจื่อรู้เื่เ่าั้เพียงเล็กน้อย อาจเป็เพราะเสด็จแม่จากไปเร็วเกินไป นางจึงไม่มีโอกาสได้ซักถามเื่นี้
ตอนนั้นอวิ๋นจื่อได้ยินเสด็จแม่กล่าวอย่างคลุมเครือว่าเชื้อพระวงศ์แห่งฉินโจวเป็ตระกูลใหญ่ที่ดำรงมาหลายร้อยปี แต่เมื่อมาถึงรัชศกเฉิงกวงกลับมีไม่กี่คนที่รู้เื่ราวของพวกเขา
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ข้ารู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
หวังฉีอวิ๋นกล่าวว่า “เดิมทีมารดาของเ้าและข้าเป็เพื่อนสนิทกัน เมื่อสิบหกปีก่อนเราคัดตัวเข้าวังหลวงด้วยกัน แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นข้ากับนางก็ไม่ค่อยได้เจอกัน”
แววตาของหวังฉีอวิ๋นกลายเป็ห่างเหินเ็า
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ปี้เหยียนควรเรียกท่านว่าป้าอวิ๋น”
เื่ในอดีตก็เหมือนเศษกระดาษเก่าๆ หากจะหยิบมันขึ้นมาจำเป็ต้องใช้ความพยายามเสมอ
หวังฉีอวิ๋นไม่เคยนึกถึงเื่นี้เลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ใครจะคิดว่าหลังจากผ่านไปสิบหกปี ลูกสาวของเพื่อนเก่าจะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่
กว่าทั้งสองจะพูดคุยกันเสร็จก็เป็เวลาเที่ยงวันแล้ว
หวังฉีอวิ๋นพาอวิ๋นจื่อไปที่หอจุ้ยฮวน
ศาลาฉีอวิ๋นซึ่งถูกปิดมาหลายปีในที่สุดก็มีคนอาศัยอยู่อีกครั้ง
ใน่หลายปีที่ผ่านมา มีหญิงสาวมากมายปรารถนาที่จะเข้าไปอยู่ในศาลาฉีอวิ๋น แต่ปี้เหยียนเป็หญิงสาวคนแรกที่สามารถทำแบบนั้นได้
หญิงสาวคนอื่นล้วนรู้สึกอิจฉาริษยา
แต่เมื่อได้เห็นหญิงสาวคนใหม่นามปี้เหยียนแล้ว พวกนางจึงได้รู้ว่านี่คือหญิงสาวที่เกิดมาพร้อมกับรูปโฉมและกิริยาอันงดงาม หลังจากนั้นท่าทีของเหล่าหญิงสาวในหอจุ้ยฮวนจึงเป็มิตรขึ้นมาก
เมื่อถึงพลบค่ำ แสงไฟในเมืองก็ค่อยๆ สว่างขึ้น
หอจุ้ยฮวนเริ่มคึกคักขึ้นมาทันที
ใน่เย็นหวังฉีอวิ๋นจะยุ่งเป็พิเศษ
ทุกคนมีหน้าที่ต้องทำ
ยกเว้นอวิ๋นจื่อ
นางอยู่คนเดียวในศาลาฉีอวิ๋น
นางรู้สึกเหงาเล็กน้อย
ในขณะที่นางกำลังคิดที่จะรินชาร้อนสักถ้วย ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกนาง
“ปี้เหยียน”
ดูเหมือนจะเป็เสียงของมู่ชิงซ่ง
อวิ๋นจื่อใเล็กน้อย นางเปิดม่านและกล่าวว่า “คุณชายมู่มาที่นี่ได้อย่างไร?”
มู่ชิงซ่งมองนางด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดเ้าจึงอยู่ที่นี่?”
อวิ๋นจื่อรินชาให้เขาและกล่าวอย่างใจเย็นว่า “นี่เป็คืนวันแต่งงานของคุณชายมู่ ว่ากันว่าคืนวสันต์มีค่าดั่งทองพันชั่ง เหตุใดคุณชายจึงมาที่นี่ได้?”
มู่ชิงซ่งดื่มชาด้วยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “หรือเ้าอิจฉาข้า?”
อวิ๋นจื่อพูดไม่ออก
มู่ชิงซ่งลุกขึ้นและเดินตรงมาหาอวิ๋นจื่อช้าๆ เขายื่นริมฝีปากเข้ามาใกล้ใบหูของนางและกระซิบว่า “ข้าเพิ่งรู้วันนี้เองว่าเ้ามีข้าอยู่ในใจ”
ลมหายใจอุ่นๆ กระทบกับใบหูของอวิ๋นจื่อ สมองของนางตกอยู่ในความงุนงง
อวิ๋นจื่อย่อมไม่เคยอยู่ในทุ่งเฟิงเยว่[1] และท่าทีของมู่ชิงซ่งก็ทำให้นางมึนงงไปชั่วขณะ
อวิ๋นจื่อถอยห่างออกมาด้วยท่าทีเลื่อนลอยและกล่าวว่า “คุณชายมู่ นี่คือศาลาฉีอวิ๋น”
มู่ชิงซ่งยิ้มและกล่าวว่า “แน่นอนข้ารู้ว่าที่นี่คือทุ่งเฟิงเยว่สิบลี้”
อวิ๋นจื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจของมู่ชิงซ่ง
คำกล่าวของเขาทำให้นางตัวแข็งทื่อเหมือนก้อนหิน
ใช่แล้ว หอจุ้ยฮวนไม่ใช่ทุ่งเฟิงเยว่ แต่เป็ทุ่งเฟิงเยว่สิบลี้[2]
อวิ๋นจื่อปล่อยให้มู่ชิงซ่งเข้าใกล้ จากนั้นนางก็เปลี่ยนน้ำเสียงแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “นายท่าน ข้ามีหน้าที่สร้างความบันเทิง นายท่านอยากฟังเพลงอะไรเ้าคะ?”
มู่ชิงซ่งผงะไปชั่วขณะก่อนจะยิ้มบางๆ “ต้องเป็เพลงที่แม่นางชื่นชอบอยู่แล้ว”
อวิ๋นจื่อสั่งให้คนนำสุราเข้ามาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าสั่งสุราถั่วแดงให้นายท่านแล้ว หวังว่านายท่านจะชอบ”
จากนั้นกู่ฉินก็ถูกยกเข้ามา
เมื่อเสียงของกู่ฉินดังขึ้น มู่ชิงซ่งก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย
นางเป็องค์หญิงจากราชวงศ์ก่อน ตระกูลมู่ย่อมให้การช่วยเหลือนางอย่างเต็มกำลัง แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาจะไม่ยอมรับนางเป็สมาชิกของตระกูลมู่
ภายใต้แสงสลัว สุราสีเหลืองอำพันดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเช่นเดียวกับเขา
มู่ชิงซ่งดื่มสุราถ้วยแล้วถ้วยเล่า
เสียงกู่ฉินของอวิ๋นจื่อหยุดลงในทันใด
มู่ชิงซ่งมองไปที่อวิ๋นจื่อ
ดวงตาของทั้งสองสบกัน
อวิ๋นจื่ออยากก้มหน้า แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว นางก็ยังคงจ้องมองเขาอย่างลังเล ก่อนที่รอยยิ้มอ่อนหวานจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
แม้ว่ารอยยิ้มเช่นนั้นจะขาดความจริงใจไปสักหน่อย แต่มู่ชิงซ่งก็เกิดความลุ่มหลงจนยากจะถอนตัวขึ้น
มือที่ถือถ้วยสุราอ่อนแรงลงทันใด
ถ้วยสุราหล่นลงพื้นดังเพล้ง
สาวใช้รีบเข้ามาเก็บชิ้นส่วนกระเบื้องที่แตกก่อนจะเดินออกไป
มู่ชิงซ่งไม่มีความสุขหรือ?
อวิ๋นจื่อนึกไม่ออกจริงๆ ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลมู่และฐานะนายน้อยของตระกูล เหตุใดมู่ชิงซ่งจึงดูไม่มีความสุขเช่นนี้?
เสียงกู่ฉินดังขึ้นอีกครั้ง
สีหน้าของมู่ชิงซ่งค่อยๆ อ่อนโยนลงเล็กน้อย
เมื่อเพลงจบอวิ๋นจื่อก็วางกู่ฉินและกล่าวว่า “คุณชายมู่ ท่านดูไม่มีความสุขเลย เป็เพราะคนที่ท่านแต่งงานด้วยวันนี้ไม่ใช่คนที่ท่านรักใช่หรือไม่?”
มู่ชิงซ่งไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ เขาเพียงตอบว่า “ข้าแค่้าพบเ้า”
อวิ๋นจื่อไม่รู้จะกล่าวอะไร มู่ชิงซ่งจึงกล่าวต่อว่า “ข้าแค่มาดูว่าเ้าเป็อย่างไร”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หัวใจของอวิ๋นจื่อก็เต้นรัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ตระกูลมู่ช่างรอบคอบจริงๆ
พวกเขาถึงกับให้มู่ชิงซ่งมาดูแลนางด้วยตนเอง
ประมุขตระกูลมู่ที่ดูอ่อนวัยคนนั้นมีจิตใจกว้างขวางราวกับมหาสมุทร ทุกการกระทำของนางล้วนลึกลับและยากที่จะเข้าใจ
อวิ๋นจื่อยืนขึ้นก่อนจะย่อตัวทำความเคารพมู่ชิงซ่ง “ขอบคุณคุณชายมู่”
มู่ชิงซ่งรีบลุกขึ้นด้วยท่าทางสง่างามและประคองอวิ๋นจื่อไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าวว่า “เ้าไม่จำเป็ต้องขอบคุณข้า”
มู่ชิงซ่งที่อวิ๋นจื่อรู้จักก่อนหน้านี้ดูเหมือนบุตรชายขุนนางที่อ่อนโยนและสง่างาม นางไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกด้านหนึ่งของเขาในหอคณิกาแห่งนี้
ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก นางสามารถััได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่อบอุ่นและเสียงหัวใจของเขา
อวิ๋นจื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองใบหน้าของเขาอย่างเต็มตา นี่คือชายหนุ่มรูปงามอย่างไม่ต้องสงสัย ความสง่างามของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าบุตรชายของขุนนางใหญ่ในอวิ๋นเมิ่งเลย
นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ราวกับใครบางคนกำลังตีกลองอยู่ในหัวใจของนาง
นางไม่เคยเห็นมู่ชิงซ่งในลักษณะนี้มาก่อน
เป็ไปได้ไหมว่าหลังจากมาที่หอคณิกาแล้ว เขาก็กลายเป็บุรุษที่แท้จริง?
ร่องรอยความประหลาดใจฉายในดวงตาของอวิ๋นจื่อ
ในสายตาของมู่ชิงซ่ง นี่คือสตรีที่งดงามอย่างน่าเหลือเชื่อ
มู่ชิงซ่งรู้สึกว่าพันธนาการในใจของเขาหายไปในทันที
เขาใช้ปลายนิ้วลูบริมฝีปากสีแดงอันบอบบางของอวิ๋นจื่ออย่างอ่อนโยน
ใจที่สงบนิ่งมาหลายปี จู่ๆ ก็มีคลื่นลมพัดกระหน่ำจนยากที่จะควบคุมตัวเองได้
มู่ชิงซ่งไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป เขากุมใบหน้าเล็กๆ ของอวิ๋นจื่อไว้ในมือก่อนจะจูบริมฝีปากของนางอย่างเร่าร้อน
------------------------
[1] ทุ่งเฟิงเยว่ หมายถึงสายลมที่ปลอดโปร่งและดวงจันทร์ที่สดใส และยังหมายถึงสถานที่แห่งความเย้ายวนใจ เป็การแสดงออกถึงความรักใคร่ของหนุ่มสาว
[2] ทุ่งเฟิงเยว่สิบลี้ คำว่าซื่อหลี่ในภาษาโบราณที่แปลว่าหางานถูกนำมาใช้แทนคำว่าคณิกาในยุคโบราณ