ข่าวการเปลี่ยนเ้ากรมโยธาแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่ความลับอันใด เพียงแต่น้อยคนนักที่จะคิดได้ว่าเื่จะลงเอยเช่นนี้
ทุกคนต่างคิดว่าซ่งอี้เฉินมักมากในกาม ใจกว้างกับหญิงงาม เป็บุคคลที่โง่เขลาเบาปัญญา พวกเขาจึงเพิกเฉยต่อการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของเขา
หวังเทียนเหล่ยที่ดูเรียบง่ายธรรมดากลับแอบไปพึ่งพิงซ่งอี้เฉินมานานแล้ว เขากลายเป็สมาชิกคนหนึ่งในฝ่ายฮ่องเต้ นกกระยางสู้กับหอยกาบ ชาวประมงพลอยได้ผลประโยชน์ ซ่งอี้เฉินเก็บมีดเล่มนี้ได้ลึกยิ่งนัก เกรงว่าจนถึงตอนนี้ไทเฮากับองค์หญิงใหญ่ก็ยังไม่คิดว่าเื่นี้จะเป็การพายเรือตามน้ำของซ่งอี้เฉิน
อีกทั้งก่อนจะพายเรือตามน้ำจำเป็ต้องมีแผนการ เมื่อโอกาสมาถึงก็จะยื่นมือออกไปผลัก
เหยียนอู๋อวี้ได้เรียนรู้เื่นี้จากเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต การที่จวินอู๋เสียสามารถเข้าใจความเกี่ยวข้องในที่นี้ได้อย่างรวดเร็วนั้นเกินความคาดหมายของนาง ดูท่าแล้วหลายปีมานี้เขาไม่ได้เติบใหญ่อย่างไร้ค่าดังที่ทุกคนพูดกัน ทว่ากลับเป็บุคคลที่เก่งกาจชาญฉลาด
หลังจากนั้นดูเหมือนเขาจะคิดบางอย่างได้จึงกล่าวต่ออีกว่า “ข้าเคยไปที่ห้องบรรทมขององค์หญิงใหญ่ด้วย ของตกแต่งหรูหราเป็สีเดียวกันหมด ทว่าด้านหน้าเตียงกลับมีสิ่งของล้าสมัยไม่เข้าพวกตั้งอยู่”
“ล้าสมัยไม่เข้าพวก?”
“เป็ชุดเกราะสนิมเกรอะกรังชุดหนึ่ง ดูเหมือนทำจากเหล็กนิล ทว่าเปื้อนเืมากเกินไป อีกทั้งไม่เคยทำความสะอาด จุดที่พิเศษคือหมวกเหล็กกับตัวชุดเกราะเป็ตราสัญลักษณ์ของตระกูลอวิ๋น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหยียนอู๋อวี้พลันตกตะลึงและเผลอจี้ถามโดยไม่รู้ตัว “บนไหล่มีชิ้นส่วนเกราะหายไปหนึ่งชิ้นใช่หรือไม่?”
จวินอู๋เสียคิดอย่างละเอียดครู่หนึ่งจึงพยักหน้ากล่าวว่า “กล่าวให้ละเอียดน่าจะเป็ครึ่งชิ้น”
“นั่นเป็ชุดเกราะของขะ…..ของสหายเก่าข้า!” มือของเหยียนอู๋อวี้ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่น นางพยายามควบคุมไม่ให้น้ำเสียงของตนเองสั่น “ชุดเกราะนี้ทำจากเหล็กนิลจริงๆ แม่ทัพอวิ๋นในปีนั้นเป็ผู้มอบให้นางในวัยปักปิ่น นางบุกเหนือตีใต้อยู่นานหลายปี ชิ้นส่วนเกราะบนไหล่ชิ้นนั้นบิ่นไปยามต่อสู้กับแม่ทัพโฉดถังเอินของเป่ยหาน”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่นางพยายามปกปิด จวินอู๋เสียขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยมิได้ส่งเสียง ทว่ากลับได้ยินนางกล่าวด้วยความสงสัย “เพราะเต็มไปด้วยร่องรอยการกรำศึก นางจึงเก็บชุดเกราะนี้ไปนานแล้ว ไม่ได้ใส่เข้าสนามรบอีก เหตุใดจึงไปปรากฏอยู่ในตำหนักรับรองขององค์หญิงใหญ่?”
หรือว่าองค์หญิงใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ตระกูลอวิ๋นล่มสลาย?
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาในความคิดนาง แววตานางเผยเจตนาสังหารในชั่วพริบตา
ปีนั้นอู๋หยาน้องชายนางเคยชนองค์หญิงใหญ่โดยมิได้ตั้งใจ เขาเกือบถูกนางฆ่าตาย โชคดีที่นางปกป้องอย่างสุดความสามารถ ทว่าความสัมพันธ์กับองค์หญิงใหญ่ที่ตึงเครียดเป็ทุนเดิมก็ยิ่งเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำกับไฟ
หากองค์หญิงใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเื่นี้ เช่นนั้นอู๋หยาอาจจะ...…
เมื่อนึกถึงดวงตาสว่างสดใสเปล่งประกายคู่นั้นของน้องชาย เหยียนอู๋อวี้ก็ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้อีกต่อไป
ั้แ่เข้ามาในวังหลวง นางพยายามยืนหยัดอยู่ในวังและพยายามคิดหาวิธีค้นหาข่าวของน้องชายนางมาโดยตลอด ทว่ากลับไร้วี่แวว เื่ของตระกูลอวิ๋นกลายเป็เื่ต้องห้ามในวังหลวง นางกำนัลกับขันทียิ่งปิดปากเงียบ ราวกับตระกูลอวิ๋นไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
จวินอู๋เสียมองสีหน้านางด้วยความรู้สึกตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น ความสงสัยเมื่อก่อนหน้าหายไปทีละชั้น เมื่อมองอย่างละเอียดอีกครั้งกลับพบว่าสีหน้านางบึ้งตึง ราวกับควบคุมตนเองไม่ได้ เขาพลันใ ก่อนจะยื่นมือออกไปแตะนางโดยไม่ลังเลสักนิดและะโเสียงต่ำ “ตั้งสติ”
การโจมตีนี้คล้ายใบมีดคมกริบเล่มหนึ่งที่ตัดความตื่นตระหนกที่ปกคลุมอยู่ในความคิดของเหยียนอู๋อวี้ให้เปิดออก ดวงตาของนางค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น ก่อนจะพบว่าตนเองคล้ายเสียสติไปแล้ว
“ขอบคุณท่าน” นางถอนหายใจเบาๆ และกลับคืนสู่ท่าทีสง่างาม
“ท่านดูคุ้นเคยกับสหายเก่าผู้นั้นยิ่งนัก” จวินอู๋เสียเอ่ยถามคล้ายมิได้ตั้งใจ
“นางเป็เพื่อนตายของข้า ไม่มีนาง ข้าก็มีชีวิตรอดบนโลกนี้ไม่ได้” เหยียนอู๋อวี้ตอบพลางจัดระบบความคิด หลังจากท่าทางผิดปกติคล้ายถูกผีสิงเมื่อครู่หายไปแล้ว นางจึงหันหน้าไปมองเขา
ยามนี้ในเมื่อเขาแสดงท่าทีออกมาแล้ว เหยียนอู๋อวี้ย่อมเข้าใจการยื่นหมูไปไก่มา นางจึงเอ่ยปากพูดว่า “เื่เมื่อวาน ขอบคุณองค์ชายที่ช่วยเหลือ ยามนี้ข้าพอช่วยอันใดท่านได้บ้าง?”
จวินอู๋เสียมิได้ปฏิเสธ เขากล่าวทันทีว่า “บอกเื่ราชวงศ์ใต้ที่ท่านได้ยินให้ข้ารู้”
เหยียนอู๋อวี้ยินดีเป็อย่างยิ่ง ทั้งยังกล่าวปลอบใจเขา “ความจริงองค์ชายไม่ต้องกังวลจนเกินเหตุ ยามนี้ตระกูลอวิ๋นกระจัดกระจายแล้ว ราชวงศ์ใต้ไม่น่าจะเกิดปัญหาใดอีก แม้ซ่งอี้เฉินอยากยกทัพจับศึก ทว่าดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้วเขามีใจแต่ไร้กำลัง เว้นเสียแต่ตระกูลฉียินยอมออกหน้า ทว่าเพราะเื่ตระกูลอวิ๋นในปีนั้น บิดากับบุตรตระกูลฉีเ็ปจากความผิดหวัง คาดว่าคงจะไม่ออกศึกง่ายดายเช่นนั้น”
จวินอู๋เสียอดที่จะตะลึงกับการค่อยๆ เอ่ยปลอบใจอย่างมีเหตุผลของนางไม่ได้ คล้ายความรู้สึกบางอย่างถูกดึงออกมาจากความทรงจำ เขามองเหยียนอู๋อวี้ด้วยสายตาแปลกประหลาดพลางกล่าว “เื่เหล่านี้ข้าย่อมรู้ดี”
เหยียนอู๋อวี้พลันเข้าใจได้ว่าตนเองพลั้งปาก นางยังหลงเหลือความประทับใจในปีนั้นต่อจวินอู๋เสียจึงเผลอมองเขาเป็จวินอู๋เสียในยามเด็กโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้โกรธ นางจึงเป่าปากโล่งอกเงียบๆ และเตรียมจากไป ไม่คาดคิดว่าจะมีเสียงดังมาจากประตู “ท่านทั้งสองมาทำอันใดที่นี่?”
เสียงที่ปรากฏขึ้นกะทันหันโดยไร้ซึ่งสัญญาณเตือน ร่างกายนางพลันแข็งทื่อ ก่อนจะหันศีรษะไปเห็นบุรุษผู้หนึ่งที่มองมายังพวกเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
บุรุษผู้นั้นตัวไม่ใหญ่นัก คิ้วหนาตาโต ท่าทางไม่ธรรมดา แตกต่างจากทหารในสนามรบ แม้เขาจะสวมชุดแม่ทัพของกองทหารรักษาพระองค์ ทว่าดวงตากลับแจ่มชัดและเห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีประสบการณ์ในกองทัพมาก่อน
สามารถดำรงตำแหน่งแม่ทัพกองทหารรักษาพระองค์ได้ั้แ่อายุยังน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็บุคคลที่น่าทึ่งคนหนึ่ง ทว่าน่าแปลกที่เขาไม่มีผู้ติดตามอยู่ด้านหลัง และคล้ายว่าเขาเพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น
แม้เขาจะเปลี่ยนไปไม่น้อย ทว่าเหยียนอู๋อวี้กลับยังคงมองสถานะของเขาออกได้ในปราดเดียว
จวินอู๋เสียที่อยู่ด้านข้างเป็ฝ่ายเปิดปากเอ่ยอย่างสุภาพก่อน “ที่แท้ก็แม่ทัพฉีนี่เอง เมื่อครู่เหยียนฉายเหรินพลัดหลงกับบ่าวรับใช้ นางกำลังถามทางข้าอยู่”
เมื่อได้ยินจวินอู๋เสียเอ่ยคำว่าเหยียนฉายเหริน ฉีตงหยวนจึงอดที่จะมองเหยียนอู๋อวี้คราหนึ่งไม่ได้ เขาได้ยินมาว่านางงดงามเกินมนุษย์และมีเสน่ห์เหลือล้นจนฮ่องเต้เคลิบเคลิ้มหลงใหล
เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาพักฟื้นอยู่ในเรือนชั่วคราวเนื่องจากอาการป่วย จึงพอได้ยินมาบ้าง ยามนี้ดูแล้วหญิงงามล่มเมืองก็พอมีอยู่บ้าง ทว่าเทียบกับอากูป้ายแดงของเรือนหลิ่วไม่ติดแม้แต่หนึ่งถึงสองส่วน
เมื่อรับรู้ได้ว่าฉีตงหยวนกำลังจ้องมองตนเอง เหยียนอู๋อวี้จึงข่มกระแสคลื่นในใจแล้วพยักหน้าไปทางเขาเล็กน้อย ฉีตงหยวนรีบประสานมือคำนับ “กระหม่อมฉีตงหยวนแม่ทัพแห่งกองทหารรักษาพระองค์ คำนับฉายเหรินขอรับ”
เด็กหนุ่มผู้นี้ในเวลานั้นอ่อนกว่านางสองปี ยามที่บิดาพาเข้าตระกูลอวิ๋นในปีนั้นเขาผอมแห้งตัวเล็ก ไม่มีแม้แต่แรงจับไก่ บิดาของนางรับศิษย์น้อยยิ่งนัก ทว่ามหาบัณฑิตฉีเป็สหายสนิทของเขา ขอร้องอยู่นาน ในที่สุดบิดาก็ตกลงรับเด็กหนุ่มตระกูลฉีเข้ามาเป็ศิษย์น้องของนาง
คราแรกที่เข้าเป็ศิษย์ เด็กหนุ่มผู้นี้ขี้ขลาดนัก แบกหามไม่ได้ มือก็ยกไม่ขึ้น บิดารู้สึกปวดศีรษะอย่างยิ่ง เขาคิดว่าใต้เท้าฉีเพียงแค่หวังให้บุตรชายมีสุขภาพแข็งแรง จึงโยนฉีตงหยวนไปให้นางดูแล
นางก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน วันแรกที่มาถึง นางจับเขาโยนเข้าไปในบ่อทราย เขากลับมีอารมณ์รุนแรง อ้าปากด่าทอว่านางไม่เหมือนสตรี หยาบคายเหลือทน นางไม่ได้แสดงความอ่อนแอเช่นกัน หลังจากรู้ว่าเขาชื่อฉีตงหยวนก็ตั้งฉายาให้เขาว่า ‘เ้าลิงน้อย’ ทันที เรียกไปเรียกมาก็ชินไปเสียแล้ว
หลังจากตากแดดตากฝนอยู่หลายเดือน เ้าเด็กน้อยตัวขาวจั๊วะน่ารักก็หายไป หนำซ้ำยังมอบเด็กน้อยตัวดำปี๋ผู้หนึ่งให้มหาบัณฑิตฉี ทว่าใต้เท้าฉีกลับมีความสุขยิ่งนัก นับแต่นั้นเป็ต้นมายิ่งไม่เต็มใจจากไป
เมื่อบิดาเห็นว่าเขาเป็ไม้ที่แปรรูปได้จึงดึงตัวกลับจากมือนาง สั่งสอนเขาอย่างตั้งใจและจริงจังยิ่งกว่าสั่งสอนอู๋หยาเสียอีก
ยามที่ตระกูลอวิ๋นล่มสลาย แม้เขาจะเพิ่งอายุเพียงแค่สิบแปดปี ทว่าก็ยกทัพจับศึกกับตระกูลอวิ๋นมาหลายปี เปรียบดังบุคคลที่เป็ผู้นำทัพของกองทัพตระกูลอวิ๋น เหยียนอู๋อวี้เคยกังวลว่าเขาจะต้องมาพัวพันเพราะเื่นี้ ยามนี้ได้เห็นว่าเขายังมีชีวิตที่ดีและยังดีกว่าที่นางจินตนาการไว้เสียอีก
เขาเดินออกมาจากเหตุการณ์สูญเสียครั้งใหญ่ของตระกูลอวิ๋น จัดตั้งกองทัพปกป้องแคว้นขึ้นมาใหม่ แม้ในสามปีมานี้จะไม่มีเหตุการณ์สะท้านฟ้าะเืดิน ทว่าเขาก็ยังเข้าไปกำราบความวุ่นวายในแคว้นชายแดนเล็กๆ อยู่หลายครั้ง มิได้มีความดีความชอบในการสู้รบที่โดดเด่น
ยามนี้นึกไม่ถึงว่าเขาจะถูกย้ายกลับมาเป็แม่ทัพของกองทหารรักษาพระองค์เพื่อดูแลความปลอดภัยของทุกคนในวังต้องห้าม เป็เกียรติยศที่ต่างออกไป
ไม่รู้เลยว่าทุกคืนที่เขาฝัน เขาคิดถึงพี่น้องที่ตายในสนามรบไกลโพ้นเ่าั้บ้างหรือไม่?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้