จางเหยียนได้แก้แค้นให้กับการกระทำอันแสนโหดร้ายของชาวซยงหนู เขาได้นำทัพของต้าอวี้เข้าไปขับไล่ชาวซยงหนูออกจากดินแดน รวมถึงยังเข้าไปในแหล่งกบดานเพื่อล้างแค้นให้กับสิ่งที่ชาวซยงหนูได้กระทำต่อผู้คนในแถบชายแดนอีกด้วย
“ไร้ซึ่งเหตุผลเสียจริง!” เมื่อฮ่องเต้ฉงเต๋อได้ฟังอย่างนั้นก็พิโรธขึ้นมา ภาพลักษณ์ที่รักและห่วงใยราษฎรกำลังแผ่กระจาย พระองค์เตรียมยกเลิกภาษีให้แก่ชาวเมืองทางเหนือเป็เวลาสามปีด้วยความรู้สึกเป็ห่วง
จนเมื่อจางเหยียนเล่ามาถึงการบุกเข้าทำลายรังของชาวซยงหนู เขาได้เข้าไปเด็ดหัวโดยการยิงธนูใส่กลางศีรษะของตาเฒ่าทรราชเค่อหาน ผู้คนจึงได้พากันแสดงความยินดีขึ้นมา
เมื่อทำการรายงานด้านการรบจนเสร็จสิ้น ต่อไปก็เป็ปัญหาเื่การดำรงตำแหน่งในราชสำนักของจางเหยียน
ในใจของฮ่องเต้ฉงเต๋อคิดว่า นี่คือคนที่ตนเองเลือกมาเองกับมือ แน่นอนว่าต้องมอบตำแหน่งที่เป็ประโยชน์ที่สุดให้แก่เขา
“จางเหยียน”
“พ่ะย่ะค่ะ” จางเหยียนก้าวออกมาก่อนคุกเข่า
“ข้าจะมอบตำแหน่งแม่ทัพฝ่ายซ้าย กองทหารองครักษ์ ทำหน้าที่บัญชาการกองทหารองครักษ์ฝ่ายในทั้งหมด เหล่าทหารนับแสนนายที่เ้าต้องควบคุมดูแลล้วนแต่อยู่ในทหารรักษาพระองค์ทั้งสิ้น”
“ขอบพระทัยฝ่าา” จางเหยียนก้มหัวคารวะ แสดงความขอบคุณในพระมหากรุณา
เสนาบดีกรมพลเรือนที่อยู่ในราชสำนักต่างแสดงสีหน้าตกตะลึง
ทหารองครักษ์ถือเป็ทหารรักษาพระองค์ ภายหลังได้ฟังพระบัญชาของฮ่องเต้ ย่อมชัดเจนแล้วว่าอีกฝ่ายกลายเป็ทหารองครักษ์ส่วนพระองค์
เช่นนี้ก็เท่ากับว่าฮ่องเต้ฉงเต๋อกำลังรักษาอำนาจของตนเองไว้ และถือเป็การระแวดระวังอำนาจทางการทหารของเทพเ้าแห่งาอีกด้วย
เวลานี้ หลายต่อหลายคนกำลังพยายามลอบมองไปทางอวี้ฉู่จาว แต่ท่านอ๋องก็ยังคงแสดงท่าทีเ็าและไม่แยแสเช่นเดิม
หรงจิ่งที่ยืนอยู่ข้างกายอวี้ฉู่จาว ภายในใจได้แต่ส่ายหัวไปมา
ช่วยไม่ได้จริงเชียว กระทั่งอำนาจของทหารองครักษ์ส่วนพระองค์ก็หล่นมาอยู่ในมือของพวกเราแล้วหรือนี่
อวี้ฉู่ซวนได้แต่ลอบกัดฟัน
ทหารแสนนายเชียวหรือ แบบนี้ก็เท่ากับว่าถูกเสด็จพ่อเก็บเข้ากระเป๋าของตนเองไปน่ะสิ
ใน่แรกที่เขาขอร้องเื่นี้กับพระองค์ กระทั่งขอให้เสด็จแม่ช่วยเหลือ ภายในราชสำนักก็พร้อมทำการสนับสนุน ทว่าฮ่องเต้กลับไม่แม้แต่จะให้โอกาสเขาเลย
อวี้ฉู่ซวนอยู่ในตำแหน่งโอรสองค์โตของราชวงศ์ แต่กลับไม่เคยได้รับความรักและความพึงพอใจใดจากฮ่องเต้ฉงเต๋อ
ในทางกลับกัน เขามักได้รับแต่ความกดดัน ถูกสงสัยเคลือบแคลงและจับตามอง
ความรู้สึกและความคิดของอวี้ฉู่ซวนนั้นสามารถจินตนาการตามและรับรู้ได้โดยง่าย
ส่วนอวี้ฉู่หลิงแสดงท่าทีนิ่งเฉยมากขึ้น
ณ ตอนนี้ เขารู้สึกโดดเดี่ยวและอ่อนแอยิ่งนัก เพราะต้องสูญเสียสิ่งที่พยายามลงทุนลงแรงไปมาก นี่จึงเป็เหตุให้เขาต้องสงบเงียบเข้าไว้
หลังจากว่าราชการยามเช้าเสร็จสิ้น อวี้ฉู่ซวนจึงกลับไปยังวังหลัง ส่วนอวี้ฉู่หลิงได้เข้าไปในราชสำนักที่เขาปฏิบัติงานอยู่
“ท่านอ๋องมีความเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ” หรงจิ่งยังคงเป็คนที่เอ่ยถามหลังจากว่าราชการเรียบร้อย
อวี้ฉู่จาวเข้าใจความหมายที่หรงจิ่งถามเป็อย่างดี แต่ก็ยังคงตอบกลับด้วยท่าทีเฉยเมย “ไม่เลว”
หรงจิ่งรู้ดีว่าการที่อวี้ฉู่จาวกล่าวออกมาเช่นนี้ ที่แท้ท่านอ๋องรู้สึกพึงพอใจเป็อย่างสูง
“เหล่าผู้คนของเหิงหวังล้วนไม่เลวเสียจริง การรบครั้งนี้ถือว่าได้ใจคน กระหม่อมคิดว่าช่างดีจริงเชียวที่ในตอนแรก องค์ชายสองกับองค์ชายห้าไม่ได้ตามตอแย มิเช่นนั้นหากให้พวกเขาไป ย่อมไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่งเอ่ยถึงองค์ชายทั้งสองราวกับกำลังเล่าเื่ขบขัน
อวี้ฉู่จาวไม่ได้เอ่ยอะไรแต่ก็ตั้งใจฟัง เมื่อทั้งคู่ออกมาจากประตูวังหลวงก็พบกับจางเหยียนที่มายืนรออยู่
หากกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อวี้ฉู่จาวถูกแม่ทัพทหารองครักษ์คนใหม่ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งมาหมาดๆ เข้ามาขวางทางเอาไว้เสียก่อนนั่นเอง
“ถวายบังคมจ้านหวัง” จางเหยียนคุกเข่าข้างหนึ่งลงเพื่อทำความเคารพ
“แม่ทัพเจิงเป่ยลุกขึ้นเถิด” อวี้ฉู่จาวยื่นมือขวาไปประคองจางเหยียน
“กระหม่อมคงไม่ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเช่นนี้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากท่านอ๋อง เื่นี้กระหม่อมไม่มีวันลืม” ถ้อยคำของจางเหยียนแสดงออกถึงความภักดีที่มาจากใจจริง
“ท่านแม่ทัพไม่ต้องเกรงใจหรอก เปิ่นหวังเพียงแค่บอกกับเสด็จพ่อเท่านั้น แต่ความสามารถและชื่อเสียงของท่านแม่ทัพต่างหากที่ทำให้เสด็จพ่อจดจำท่านได้”
“ไม่ว่าอย่างไร กระหม่อมก็ถือเป็ทหารเก่าแก่ของเหิงหวัง และในตอนนี้ก็นับว่าเป็ทหารของท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
จางเหยียนรู้นิสัยใจคอของอวี้ฉู่จาวดีว่าเป็คนที่มีความเที่ยงธรรม การแสดงความจงรักภักดีแบบนี้อาจเป็การแสดงออกอย่างไร้จุดหมายไปสักหน่อย
หากนำเหิงหวังกับท่านอ๋องมามัดรวมกัน ราชวงศ์นี้คงน่านับถือมากขึ้น
หลังจากอวี้ฉู่จาวได้ฟัง ความรู้สึกเขาพลันเปลี่ยนไป
รอบข้างต่างมีผู้คนเดินไปมามากมาย หรงจิ่งเห็นเช่นนั้นจึงแสดงความคิดเห็น “ท่านอ๋องยังไม่ได้เสวยพระกายาหารเช้าใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ข้าก็ยังไม่ได้กินอะไร ถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเราไปหาร้านกันเถิด จะได้นั่งคุยพลางกินไปด้วย”
หรงจิ่งรู้ดีว่าทุกครั้งที่ว่าราชการยามเช้าเสร็จ อวี้ฉู่จาวจะกลับไปเสวยพระกายาหารเช้าที่ตำหนัก
แต่วันนี้ จางเหยียนเพิ่งจะถูกแต่งตั้งเป็แม่ทัพทหารองครักษ์ คงมีเื่ที่ต้องพูดคุยกันอีกมากมาย
จางเหยียนเข้าใจความหมายที่หรงจิ่งกำลังสื่อเป็อย่างดี จึงได้แสดงท่าทีเห็นด้วย “ได้สิ ท่านอ๋องสะดวกหรือไม่”
อวี้ฉู่จาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “เช่นนั้นไปที่ตำหนักของเปิ่นหวังเถอะ”
่เช้า หลินหร่านบอกให้ตนเองรีบกลับไป สุดท้าย อวี้ฉู่จาวจึงตัดสินใจที่จะให้พวกเขาทั้งสามคนกลับไปประชุมมื้อเช้าที่ตำหนักของตน จะได้ร่วมรับประทานมื้อเช้ากับอวิ๋นซีด้วย
“เช่นนั้น...ก็ดีพ่ะย่ะค่ะ” จางเหยียนกับหรงจิ่งสบตากันพร้อมขานรับ
แน่นอนว่าการที่จะไปตำหนักของท่านอ๋องไม่ใช่ปัญหา ทว่าท่านอ๋องเข้าพิธีอภิเษกแล้ว อีกทั้งพระชายาองค์นี้ยังเป็ชาย
มิใช่เพราะเขาดูถูกพระชายาหรอกนะ
ผู้จงรักภักดีเหล่านี้ แน่นอนว่าเขาต้องให้ความเคารพผู้เป็นายและผู้คนที่อยู่รอบตัวนายของตน แต่ว่าชายผู้นี้….อาจทำให้ท่านอ๋องมองว่าเป็ตัวตลก และเป็เพียงแค่ชายผู้หนึ่ง จะให้กำเนิดทายาทสืบสกุลของท่านอ๋องได้อย่างไร?
จางเหยียนเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง แน่นอนว่าเขายังไม่รู้เื่ที่หลินหร่านมาจากเผ่าจือเม่ยและมีหลอดเืดำคู่
เวลาต่อมา ทั้งสามคนเดินออกไปจากวังหลวง เพียงไม่นานก็มาถึงตำหนักของท่านอ๋อง
ลุงตงเดินเข้ามาทำหน้าที่ต้อนรับทั้งสามคน หลังจากก้าวเข้าไปในตำหนักแล้ว อวี้ฉู่จาวถึงออกคำสั่ง “จัดอาหารเช้าที่ห้องโถงใหญ่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้นลุงตงก็เดินไปหาจื่อเหอกับเหม่ยจื่อที่ห้องครัวด้านหลังเพื่อแจ้งคำสั่งของอวี้ฉู่จาว
.........
หลินหร่านตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ เขากำลังออกกำลังกายยามเช้าอยู่ในสวน
“หนึ่งสองสามสี่ สองสองสามสี่ สามสามสามสี่...เ้าทำแบบนั้นมันไม่ถูกต้องนะติงหร่วน ต้องมาทางซ้ายก่อนแล้วค่อยไปทางขวา”
“อย่างนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ติงหร่วนกำลังตั้งใจทำท่าแปลกๆ ที่ถูกเรียกว่า ‘กายบริการยามเช้า’
“ใช่แล้ว ทำเช่นนี้แหละ ท่านี้เอาไว้บริหารเอว”
นี่คือกิจกรรมใหม่ที่หลินหร่านมักทำฆ่าเวลารอท่านอ๋องกลับตำหนัก ่เวลานี้เขาจะลุกขึ้นมาแต่เช้าและพาติงหร่วนไปออกกำลังกายง่ายๆ ในสวน
เป็การยืดเส้นยืดสาย…เพื่อยกระดับสมรรถภาพทางกาย เพราะท่านอ๋องคอยเป็ห่วงสุขภาพของเขาอยู่เสมอ
หลังจากอวี้ฉู่จาวรู้ก็สนับสนุนเื่นี้เป็อย่างดี พร้อมทั้งเอ่ยว่าอวิ๋นซีทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ได้ออกกำลังกาย ยังเป็การช่วยให้กิจกรรมยามค่ำคืนของพวกเขาดีขึ้นอีกด้วย
ความเข้าใจของอวี้ฉู่จาวและความตั้งใจของหลินหร่านนั้นอาจแตกต่างกันอยู่บ้าง แม้หลินหร่านยังคงแสร้งทำเป็ไม่รู้เื่อะไร แต่กลับออกกำลังกายอย่างจริงจังมากขึ้นหลายเท่า
เมื่อเห็นหลินหร่านหมุนก้นไปทางซ้ายทีขวาที ลุงตงจึงรีบมาจากหลังตำหนักเพื่อกล่าวตักเตือน
พอเป็เช่นนั้น หลินหร่านจึงรีบเก็บก้นของตนเองเข้าไป เพราะลุงตงบอกกับเขาบ่อยครั้งว่าให้คอยระวังเื่ท่าทาง
หลินหร่านยืนอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย เขารู้โดยทันที ท่านอ่องกลับมาแล้วสินะ
“ติงหร่วน เ้าทำเองไปนะ” เขาเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะรีบวิ่งไปที่สวนด้านหน้า
.........
ภายในห้องโถงใหญ่ของสวนด้านหน้า นางกำนัลกำลังยกชาและอาหารเช้ามาวางบนโต๊ะ
อวี้ฉู่จาวให้คนเข้ามาทักทายหรงจิ่งกับจางเหยียนก่อนที่จะให้ทั้งคู่นั่งลง เขากำลังตัดสินใจจะไปดูอวิ๋ด้านหลังตำหนัก พอดีกับที่ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มดังขึ้นมา
“ท่านอ๋อง!”
ภายหลังเสียงดังขึ้น หลินหร่านก็วิ่งออกมา ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
หรงจิ่งกับจางเหยียนที่ได้ยินรีบหันไปมองว่าใครกันที่ะโเรียกท่านอ๋องเช่นนี้ ช่างไร้มารยาทเสียจริง
หลังจากหลินหร่านมาพบอวี้ฉู่จาวก็ไม่ได้สนใจเลยว่ามีใครอีกสองคนอยู่ด้านหลัง เขารีบวิ่งมาตรงหน้าท่านอ๋อง
“รีบร้อนอะไรกัน ช้าหน่อยสิ” อวี้ฉู่จาวรีบยื่นมือออกมาประคองหลินหร่าน และยังช่วยจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงบนหน้าผากเขา
“ท่านอ๋องรีบมาเสวยมื้อเช้าเถิด” หลินหร่านมักต้องเตือนท่านอ๋องของเขาตลอดว่าไม่ควรลืมมื้อเช้า
ทุกวันท่านอ๋องจะรอให้ตนเองว่าราชการยามเช้าเสร็จ จากนั้นค่อยรีบกลับมาเสวยพระกายาหารเช้าด้วยกัน แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ ต้องทำให้ท่านอ๋องหิวมากแน่
--------------------------------------------------
