เมืองเสินอู่ สมชื่อเมืองศักดิ์สิทธิ์และกล้าหาญ หากเมืองไห่กังคือศูนย์กลางการค้าทางทะเล เมืองเสินอู่ก็คือ อาณาจักรแห่งสมุนไพรและพืชิญญา
บรรยากาศของเมืองแตกต่างจากเมืองท่าทั่วไปอย่างสิ้นเชิง อากาศที่นี่อบอวลไปด้วย กลิ่นหอมของสมุนไพร นานาชนิด ผสมกับกลิ่นอายของ ปราณธาตุที่บริสุทธิ์ ซึ่งลอยมาจากูเารอบเมือง กำแพงเมืองถูกประดับด้วยลวดลายของพืชพรรณและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ดูสง่างามและมีชีวิตชีวา
เมืองเสินอู่เป็ที่เลื่องชื่อในการผลิต ยาลูกกลอน ที่มีสรรพคุณในการบำรุงและรักษา รวมถึงเป็แหล่งกำเนิดของ พืชิญญา และผลไม้หายากที่ช่วยเสริมการฝึกปรือ ร้านรวงส่วนใหญ่มักเป็โรงปรุงยา, ร้านขายสมุนไพร, และร้านขายตำราฝึกยุทธ์
ด้านหน้าประตูเมืองขณะนี้ ผู้คนสัญจรไปมาทำธุระไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่เป็นักฝึกยุทธ์ที่แต่งกายอย่างสะอาดสะอ้าน หรือพ่อค้าที่เข้ามาติดต่อซื้อขายสมุนไพรราคาสูง
และท่ามกลางผู้คนเ่าั้ ปรากฏร่างของ เด็กหนุ่มทั้งสามคน ที่เดินโซซัดโซเซมาถึงประตูเมืองในเวลาพลบค่ำพอดี
ต้วนผิงอัน ร่างกายกำยำของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นและรอยถลอก เขาต้องประคอง หนิวมู่อี้ ที่แทบจะหมดแรงล้มลงกับพื้น
หนิวมู่อี้ ใบหน้าซีดเผือดจากการขาดน้ำ แต่ดวงตาของเขายังคงเป็ประกายแห่งความโล่งใจที่รอดชีวิตมาได้
อวิ่นหนิงเจี่ย แม้จะดูเหนื่อยล้าที่สุด เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น แต่ดวงตาที่เป็ประกายของเขากลับมองสำรวจบรรยากาศของเมืองเสินอู่ด้วยความสนใจ
เกือบพลบค่ำของวันที่หก ในที่สุดพวกเขาก็เห็นกำแพงเมืองสีเขียวอ่อนตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
พวกเขาเหมือน ตายแล้วเกิดใหม่ เมื่อก้าวผ่านพ้นความป่าเถื่อนของขุนเขามาสู่ความสงบและอารยะของเมืองแห่งสมุนไพร
อวิ่นหนิงเจี่ยกล่าวพลางชี้ไปที่กำแพงเมือง "เราต้องเข้าไปหาที่พักและหาอาหารก่อนที่ประตูเมืองจะปิด"
การเดินทางจากเมืองไห่กังสู่เมืองเสินอู่เป็บททดสอบที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตของสามสหาย พวกเขาใช้เวลาเดินทางถึง หกวันเต็ม ลัดเลาะไปตามเส้นทางขุนเขาอันเปลี่ยวร้างและอันตราย ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับ สัตว์อสูรระดับต่ำ ที่ออกล่าถึงห้าหกครั้ง ต้องอาศัยความกล้าและสติปัญญาในการปีนหนีขึ้นต้นไม้และเชิงผานับครั้งไม่ถ้วน ทุกคนต่างได้รับ าแ กันคนละไม่มากก็น้อย ร่างกายสะบักสะบอมเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ร่างกายเหน็ดเหนื่อยจนแทบขาดใจ
เด็กหนุ่มทั้งสามเดินเตร็ดเตร่อยู่ภายในเมืองเสินอู่เป็เวลานาน พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงย่านการค้าหลักที่เต็มไปด้วยโรงเตี๊ยมหรูหราซึ่งรู้ดีว่าเกินกำลังทรัพย์ของพวกเขาไปมาก จนกระทั่งความมืดมิดเข้าปกคลุมท้องฟ้า
ในที่สุดพวกเขาก็พบ โรงเตี๊ยมที่ไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง มันตั้งอยู่บนถนนสายรองที่เงียบสงบกว่า ภายนอกดูเก่าแก่ มีห้องให้บริการอยู่ไม่ถึงยี่สิบห้อง ดูแล้วน่าจะเป็ที่พักของนักเดินทางชั้นกลางถึงล่าง
"ที่นี่แหละ" ต้วนผิงอันกล่าวอย่างมีความหวัง
โชคดีของพวกเขาคือยังพอมีห้องว่างเหลืออยู่ แต่เมื่อ เถ้าแก่โรงเตี๊ยม ผู้มีใบหน้าเ้าเล่ห์และหนวดเคราสีเทาบอกราคาค่าห้อง สีหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสามก็พลัน เ็ปใจ ขึ้นมาทันที
"ห้องว่างที่เหลืออยู่ตอนนี้เป็ห้องใหญ่ที่สุด เหมาะสำหรับสามคน" เถ้าแก่กล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะกอบโกยผลประโยชน์ "คืนละ สองร้อยศิลาผลึกคราม จ่ายล่วงหน้า"
"สองร้อย!" หนิวมู่อี้ถึงกับร้องอุทานออกมาเบา ๆ พวกเขามีเงินเพียง 1,500 ศิลา การจ่าย 200 ศิลาสำหรับหนึ่งคืนนับเป็การใช้จ่ายที่เืออกซิบ ๆ
แต่เมื่อนึกถึงรอยแผลและความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางหกวัน พวกเขาทำได้เพียง กัดฟันชำระค่าห้อง ในที่สุด
อวิ่นหนิงเจี่ยยื่นศิลาผลึกครามออกมาอย่างเสียดาย พวกเขาทั้งสามเดินตามเสี่ยวเอ้อ ขึ้นสู่ชั้นที่สอง ห้องของพวกเขาอยู่สุดทางเดิน
แม้จะเสียดายเงิน แต่เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง ทุกคนก็รู้สึกว่าความเ็ปจากการเสียเงินบรรเทาลงไปบ้าง ห้องสะอาดสะอ้าน น่าประทับใจ มี เตียงไม้ขนาดใหญ่ กว้างพอสมควรสำหรับสามคนนอนยัดกันได้ โดยไม่ต้องเบียดเสียดกันมากนัก
สิ่งที่วิเศษที่สุดคือ ด้านข้างห้องมี ฉากกั้น ที่ทำจากไม้แกะสลักอย่างสวยงาม เมื่อเดินผ่านฉากกั้นเข้าไป พวกเขาก็พบกับ อ่างอาบน้ำ ที่เต็มไปด้วยไอน้ำอุ่น ๆ โชยมาให้พอหายเหนื่อย
"น้ำอุ่น!" ต้วนผิงอันแทบจะลืมความเ็ปจากาแ เขาและหนิวมู่อี้ถึงกับ แย่งกันอาบน้ำ อย่างไม่สนใจมารยาท อวิ่นหนิงเจี่ยยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตามเข้าไปชำระล้างร่างกายและขจัดฝุ่นโคลนจากการผจญภัยตลอดหกวันที่ผ่านมา
เมื่ออาบน้ำเสร็จ เสี่ยวเอ้อ ก็เคาะประตูถามด้วยเสียงสุภาพ "คุณชายทั้งสาม ้าอาหารเย็นและอาหารเช้าด้วยหรือไม่ขอรับ? เพิ่มอีก ห้าสิบศิลา สำหรับทั้งสามมื้อ"
"ห้าสิบอีกแล้ว!" หนิวมู่อี้ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาแทบจะอดใจไม่สั่งอาหารเพื่อประหยัดเงิน แต่เมื่อท้องของเขาร้องประท้วงด้วยความหิวโหย เขาก็จำต้องยอม
สุดท้ายพวกเขาก็สั่งอาหารอย่างจำยอม หลังจากที่อาหารมาถึง และได้ กินอาหารอิ่มหนำสำราญ เป็ครั้งแรกในรอบหกวัน ความสุขจากการได้กินอาหารอุ่น ๆ และรสชาติดีก็ทำให้ความรู้สึกเสียดายเงินลดลงไป
ร่างกายที่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ และท้องที่อิ่มแปล้ ทำให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานเข้าจู่โจมอย่างรุนแรง
ทั้งหมดล้มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่และหลับเป็ตายด้วยความเหนื่อยอ่อน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เด็กหนุ่มทั้งสามคนตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่นที่ไม่เคยรู้สึกมานานนับสัปดาห์ พวกเขาลงมารับประทานอาหารเช้าที่รวมอยู่ในค่าห้องเรียบร้อยแล้ว แม้จะต้องจ่ายเงิน 50 ศิลาผลึกครามไปอย่างเ็ป แต่การได้ลิ้มรสอาหารอุ่น ๆ ที่บำรุงกำลังก็คุ้มค่ากับความเหนื่อยล้าที่สะสมมา
หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว ทั้งสามก็นั่งปรึกษาหารือกันที่มุมหนึ่งของโรงเตี๊ยมเพื่อ วางแผนสำหรับการเดินทาง และประเมิน สถานะการคลัง ที่เหลืออยู่เพียง 1,250 ศิลาผลึกคราม
"เราเหลือพอสำหรับเดินทางไปยังเมืองต่อไป แต่ไม่พอที่จะพักแบบนี้ทุกคืนแน่นอน" หนิวมู่อี้กล่าวอย่างจริงจัง "เราต้องรีบออกเดินทางและซื้อแค่ของที่จำเป็ที่สุดเท่านั้น"
การเดินทางต่อไปยังเมืองฝูเจิ้น (เมืองแห่งโชคลาภ) ซึ่งเป็เมืองสุดท้ายก่อนถึงเขาหลงเซี่ยงนั้น คาดว่าจะต้องผ่านเส้นทางที่อันตรายไม่แพ้เส้นทางก่อนหน้า ดังนั้น การเตรียมพร้อมจึงเป็สิ่งสำคัญที่สุด
ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจแยกย้ายกันไปทำภารกิจตามความถนัด:
หนิวมู่อี้ หนิวมู่อี้มุ่งหน้าไปยังตลาดสมุนไพร เขาเดินเลือกซื้อ สมุนไพรราคาย่อมเยา และ ยาลูกกลอนขั้นพื้นฐาน ที่พอจะใช้รักษาาแ ฟื้นฟูปราณ และรักษาอาการเจ็บป่วยจากการเดินทาง เขาชำนาญในการต่อรองราคา และสามารถหาซื้อยาที่มีคุณภาพดีในราคาที่ถูกที่สุดได้
อวิ่นหนิงเจี่ย เขานำเงินจำนวนหนึ่งแยกไปซื้อ ผลไม้และพืชิญญาราคาถูก ที่สามารถ ทนแดดทนความแล้งแค้น ได้ เป้าหมายของเขาคือการนำพืชเหล่านี้ไป ปลูกที่เขาหลงเซี่ยง เพื่อเป็จุดเริ่มต้นของการทำให้ดินแดนอาถรรพ์นั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็เพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่เขาก็เชื่อในมรดกที่มารดามอบให้
ต้วนผิงอัน รับผิดชอบในการซื้อ เสบียง ที่อิ่มท้องแต่เก็บได้นาน และ เครื่องยังชีพทั่วไป เช่น เชือก, มีด, และน้ำสะอาด เขาใช้ความกำยำของตนในการต่อรองและแบกรับสัมภาระที่หนักหน่วงที่สุด
เมื่อถึงเวลา ตะวันตรงศีรษะ (เที่ยงวัน) ทั้งสามสหายก็นำของที่ซื้อมากลับมารวมตัวกัน ทุกคนต่างใช้จ่ายเงินไปอย่างระมัดระวัง แต่ก็ซื้อของที่จำเป็ได้ครบถ้วน
พวกเขาพากันหา แผงบะหมี่ถูก ๆ ข้างทาง เพื่อประทังความหิวเป็มื้อสุดท้ายในเมืองอันแสนแพงนี้ ก่อนจะรีบออกเดินทาง
"ถ้าเราถึงฝูเจิ้น เราอาจจะต้องหาทางทำงานที่นั่นก่อนจะเข้าเขาหลงเซี่ยง" ต้วนผิงอันกล่าวขณะซดน้ำซุปบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย
"ข้าเห็นด้วย" อวิ่นหนิงเจี่ยพยักหน้า "อย่างน้อยถ้ามีเงินสำรอง เราก็สามารถซื้อเครื่องป้องกันบางอย่างได้"
หลังมื้ออาหารเรียบง่าย ทั้งหมดก็ไม่รอช้า พวกเขามุ่งหน้าไปยัง ประตูเมือง ด้านทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายถัดไป
จุดหมายต่อไปคือ เมืองฝูเจิ้น (เมืองแห่งโชคลาภ) ตามแผนที่ที่หนิวมู่อี้กางดู เมืองแห่งนี้มีอาณาเขตชายป่าที่ อยู่ติดกับเขตเขาหลงเซี่ยง
ในตำราเล่าว่า จากเมืองฝูเจิ้น ผู้คนจะสามารถ เห็นเขาหลงเซี่ยงในระยะไกลเต็มตา ขุนเขาที่ถูกกล่าวขานว่าเป็ดินแดนอาถรรพ์และเป็มรดกของอวิ่นหนิงเจี่ย กำลังใกล้เข้ามาทุกที
