“เื่มันเป็เช่นนี้ เมื่อวานนี้ข้ากับพี่เฟินได้ชั่งถั่วทอดทรงเครื่องไว้แปดร้อยจิน ถั่วลิสงต้มน้ำเกลือสามร้อยจิน และถั่วปากอ้าปรุงรสสี่ร้อยจินไปขายให้หอพระจันทร์ ตัวถั่วลิสงต้มน้ำเกลือนี้ยังใช้ราคาเดิม แต่พี่เฟินได้ต่อรองจนถั่วปากอ้าปรุงรสได้ราคามาสี่สิบอีแปะต่อจิน พวกข้าจึงได้เงินมาถึงสี่ร้อยเก้าสิบตำลึงจากการไปหอพระจันทร์เมื่อวาน!” หลินฟางกล่าวด้วยดวงตาเป็ประกาย ส่วนหลินฟู่อินตะลึงไปแล้ว
หลินฟู่อินกะพริบตาปริบๆ นางคาดไม่ถึงว่าหลินเฟินจะเจรจาจนได้ราคาสี่สิบอีแปะต่อจินสำหรับถั่วปากอ้าปรุงรสมาเช่นนี้ นางจึงดีใจมาก “พี่เฟินช่างร้ายกาจนัก”
“แล้วข้าล่ะ แล้วข้าล่ะ?” หลินฟางมองหลินฟู่อินด้วยั์ตาใสกระจ่างเพื่ออ้อนวอนขอคำชมบ้าง
หลินฟู่อินมองภาพนั้นอย่างขบขัน แต่ก็คิดว่าทั้งสองเก่งกาจจริงๆ จึงหัวเราะออกมา “พี่ฟางเองก็ยอดเยี่ยมยิ่งนักเ้าค่ะ!”
เมื่อหลินฟางพอใจแล้ว นางจึงเล่าเื่จริงที่นายใหญ่สวี่แห่งหอพระจันทร์พยายามขอร้องพวกนางเพิ่มปริมาณขนมขบเคี้ยวที่นำไปส่งให้มากขึ้นอีก…
หลินฟู่อินได้ยินก็ประหลาดใจ ถั่วทอดชุดก่อนเพิ่งส่งไปไม่นานเท่านั้น ขายหมดแล้วหรือ?
เพราะฟังดูจากที่เล่าแล้ว น่าจะ้าในปริมาณมหาศาลมาก
เื่จำนวนแน่นอนว่า้าเท่าไรนี่คงไม่มีผู้ใดรู้ เพราะหากจะให้บอกว่าให้ทำจนกินไม่หวาดไม่ไหวนี่ก็คงจะเกินไป
หลินฟู่อินจึงถามหลินฟาง “ถั่วทอดที่พี่ขายไปคราวก่อนนั่นหมดแล้วหรือ?”
หลินฟางตอบอย่างตื่นเต้น “หมดแล้ว ข้าได้ยินว่าเรานำไปส่งได้ไม่นานก็หมดเลย!”
หลินฟู่อินพยักหน้าครุ่นคิด
นางเคยไปที่หอพระจันทร์มาสองครา และนางได้ประมาณไว้ว่าน่าจะมีผู้คนราวสี่ถึงห้าพันคน และมีคนสัญจรอีกราวๆ สี่ถึงห้าหมื่นคน หากจำนวนถูกต้องก็พอจะเดาความหนาแน่นในแต่ละวันได้
และคนสัญจรเหล่านี้ล้วนเป็คนค้าขาย ซึ่งส่วนมากก็มีเงินกัน และยิ่งเป็ฤดูหนาวที่ส่วนมากจะทำงานกันไม่ได้ด้วยแล้ว การที่จะขายถั่วหลายร้อยจินจนหมดได้ในวันเดียวก็ดูจะไม่เกินจริงนัก
“แล้วเมื่อวานนี้พี่เฟินกับข้าก็อยู่ที่นั่นต่อไปพักหนึ่งด้วยหลังการขาย มีพวกลูกค้ามีเงินหลายๆ คนถึงกับไปขอให้ชั่งถั่วสักหลายจินเพื่อซื้อกลับไปให้ที่บ้านทานด้วยเลยละ” หลินฟางกล่าวขึ้นมา ก่อนหยุดคิดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงมองหลินฟู่อินด้วยสายตาทอประกาย “ฟู่อิน เ้ามีหน้าร้านอยู่มิใช่หรือ? พวกเราทำของกินเล่นไปขายที่นั่นได้นะ ข้าว่ามันทำเงินได้แน่!”
หลินฟู่อินเองก็รับฟังด้วยสายตาทอประกาย แล้วพยักหน้ารับอย่างเคลิบเคลิ้ม “ความคิดดียิ่ง! ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่ามันน่าเสียดายที่ปล่อยให้หน้าร้านนั้นโล่งเสียเปล่า จะให้คนอื่นเช่าก็ไม่ดีอีก”
“ถ้าอย่างนั้นข้ากับพี่เฟินจะค่อยๆ ไปทำความสะอาดไว้ แล้วค่อยไปให้ร้านช่างไม้ชราช่วยทำชั้นไม้ให้สักสองสามชั้น และกล่องไม้สำหรับพวกขนมชิ้นเล็กๆ” เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินตกปากรับคำเห็นด้วยหลินฟางก็ดีใจมาก
หลินฟู่อินพยักหน้าและกล่าวออกมาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอฝากให้พี่และพี่เฟินจัดการด้วย พวกท่านทำได้ใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“ไม่ต้องห่วง ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการติดตามเถ้าแก่หลิวใน่หลังๆ มานี้ และน้องข้าก็ยังหาจังหวะไปเรียนรู้จากภัตตาคารหลิวจี้ด้วย”
นางและหลินฟางต่างก็รู้สึกมีความสุขกันมาก และคิดว่ามันถึงเวลาที่มนุษย์ควรจะใช้ชีวิตกันอย่างเต็มที่และเปี่ยมไปด้วยความหวังแล้ว
“ฟู่อิน มากินก๋วยเตี๋ยวกัน!” หลินฟางเดินมาพร้อมถ้วยก๋วยเตี๋ยวถ้วยใหญ่ในมือพลางเรียกหลินฟู่อิน “ข้าว่าเ้าน่าจะหิวแล้ว ข้าจึงทำก๋วยเตี๋ยวใส่เครื่องหนักๆ มาให้เ้า”
หลินฟู่อินชอบก๋วยเตี๋ยวเครื่องของหลินเฟินมาก เมื่อเห็นเช่นนี้คิ้วของนางจึงโค้งมนขึ้นด้วยความยินดีทันที
ก๋วยเตี๋ยวเครื่องเป็อาหารที่ต้าเว่ยรับมาจากเป่ยหรง โดยชาวเป่ยหรงมักจะทำก๋วยเตี๋ยวเครื่องเนื้อแกะในฤดูหนาวเพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่น แม้ว่าหากคุมไม่ดีอาจจะทำให้อุณหภูมิร่างกายพุ่งขึ้นสูงมากเกินไปได้ก็ตาม แต่ชาวเป่ยหรงนั้นเคยชินกับเื่เช่นนั้นไปแล้ว
ทว่าร่างกายของชาวต้าเว่ยต่างออกไป ทั้งยังไม่เคยชินกับกลิ่นสาบของแกะ จึงใช้เนื้อหมูในการทำแทน
และหลินเฟินก็เคี่ยวน้ำแกงได้อร่อยมาก อร่อยจนไม่มีใครทำให้อร่อยได้เท่านางเลย
หลินฟางและเฟิงซื่อเคยพยายามลองทำดูแล้ว แต่ไม่สามารถทำรสชาติได้เหมือนของนางเลย
หลินเฟินนั้นทำหมูบดได้อร่อยที่สุด เพราะนางรู้ว่าหลินฟู่อินไม่ชอบหมูติดมัน นางจึงใช้หมูไม่มีมันสี่ส่วนและติดมันหนึ่งส่วนเพื่อบดให้ถูกปากหลินฟู่อิน
หลินฟู่อินเคยเห็นหลินเฟินทำเส้าจื่อ [1] ด้วย และได้เรียนรู้จากนาง
ขั้นตอนที่นางใช้คือการตัดเนื้อมาห้าถึงหกจิน แล้วโรยพริกแดง พริกไทย และอบเชยชิ้นใหญ่ลงไป พริกไทยป่น พริกป่น ผักชี เกลือ น้ำส้มสายชูและขิงเล็กน้อย จากนั้นใส่หอมสับและซีอิ๊วเล็กน้อย
เมื่อพร้อมแล้วจึงไปอุ่นหม้อ จากนั้นใส่น้ำมันหมูถ้วยใหญ่และน้ำมันงาหนึ่งช้อนลงไปเพื่อเสริมกลิ่น เมื่อน้ำมันเดือดแล้ว ใส่เนื้อติดมันลงไปพลางลดไฟต่ำ รอสักครู่ จากนั้นจึงใส่เนื้อไม่มีมันลงไป ผัดจนสุก จากนั้นจึงตบท้ายด้วยสมุนไพรจีนแล้วผัดให้เข้ากัน
เสร็จแล้วเหยาะซีอิ๊วลงไปเพื่อแต่งสี อุ่นด้วยไฟต่ำไว้สิบห้านาที เมื่อเสร็จแล้ว ใส่น้ำส้มสายชูลงไปเพิ่มรสชาติแล้วรอให้มันได้ที่ในอีกราวครึ่งเค่อ ก่อนตบท้ายด้วยพริกป่น
เมื่อใส่พริกป่นลงไปแล้วก็ไม่ต้องคน รอให้พริกละลายใส่เนื้อไปเอง พอเนื้อเริ่มแดงแล้วจึงใส่เกลือลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ แล้วทิ้งไว้ในหม้ออีกครึ่งเค่อ
จากนั้นค่อยนำออกจากหม้อแล้วเก็บเส้าจื่อนั้นใส่โอ่งมีฝา แล้วค่อยนำออกมากินในเวลาที่้า
เพราะฤดูหนาวมีอุณหภูมิต่ำ ทำให้สามารถเก็บเส้าจื่อนี้ไว้ได้นาน ทำหนึ่งครั้งจึงสามารกินไปได้หลายวันใน่ฤดูหนาว
หากอยากกินในฤดูร้อนทุกวัน ก็มีแต่ต้องทำใหม่ทุกวัน ซึ่งยุ่งยากยิ่งนัก
“น้ำแกงที่พี่เฟินเคี่ยวนั้นอร่อยเสียยิ่งกว่าที่ปรมาจารย์เถี่ยแห่งภัตตาคารหลิวจี้ทำเสียอีก!” หลินฟู่อินกล่าวอย่างเริงร่า พลางนั่งสูดก๋วยเตี๋ยวเครื่องอันหอมหวน
หลินฟางก็ว่าตาม “ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ข้าเคยติดตามพี่หลิวฉินไปดูงานใน่เที่ยง แล้วเขาพาข้าไปที่ภัตตาคารหลิวจี้เพื่อให้ปรมาจารย์เถี่ยทำก๋วยเตี๋ยวเครื่องให้ข้ากิน แต่มันไม่อร่อยเท่าที่พี่ข้าทำเลย”
ไม่ว่าใครต่างก็ชอบคำชมกันทั้งนั้น และยิ่งเป็คำชมอย่างจริงใจของหลินฟู่อินและหลินฟางอีก หลินเฟินจึงยิ้มออกมาอย่างดีใจ แล้วกล่าวอย่างไม่ปิดบัง “เช่นนั้นในอนาคตข้าจะทำก๋วยเตี๋ยวเครื่องให้พวกเ้ากินอีกเยอะๆ เลย!”
“กินเยอะไปก็ไม่ดีนะเ้าคะ” หลินฟางกล่าว
หลินฟู่อินหัวเราะออกมา “เอาไว้เราเปิดร้านกันเมื่อไร ค่อยให้พี่เฟินทำเตรียมไว้เยอะๆ ที่นั่นก็ได้ เราจะได้นำไปให้ลูกค้ากัน”
“ความคิดดีนัก!” หลินฟางยิ้มแล้วพยักหน้าไม่หยุด
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำเพิ่มขึ้นอีก!” หลินเฟินเองก็คิดว่ามันเป็ความคิดที่ดี ทั้งยังเป็เื่ง่ายๆ สำหรับนาง และหากนางสามารถช่วยเหลืออะไรฟู่อินได้ นางก็พร้อมที่จะทำ
เมื่อหลินฟู่อินกินเสร็จแล้ว หลินเฟินก็ช่วยนำถ้วยไปเก็บให้ จากนั้นสามพี่น้องก็นั่งปรึกษากันเื่การทำกิจการต่อ
หลินฟู่อินบอกหลินเฟินเื่ข้อเสนอของหลินฟางในการทำร้านขายขนมขบเคี้ยวในเมือง และหลินเฟินก็คิดว่ามันเป็ความคิดที่น่าสนใจ
และนางยังเสริมด้วยว่า “ข้าเห็นภาพพวกลูกๆ คนรวยที่ถูกพ่อแม่พาไปหอพระจันทร์พากันร้องไห้งอแงอย่างน่าเวทนาไม่หยุดเพราะพ่อแม่ไม่ยอมซื้อขนมจากร้านของพวกเราให้เลย! หากเรานำไปลงขายที่ร้านแล้ว ต้องเป็ที่นิยมอย่างมากเป็แน่!”
หลินฟู่อินฟังหลินเฟินก็ยิ่งคิดว่ากิจการนี้ไปได้แน่
และนางก็ยังโชคดีที่ขนมกินเล่นนั้นมีไม่มากนัก ไม่ว่าจะทั้งต้าเว่ยหรือในเป่ยหรง ทั้งนี้คงเป็เพราะประชาชนทั่วไปนั้นแค่อาหารปกติก็ยังแทบหาได้ไม่พอยาไส้ทั้งๆ ที่มือต้องขยับทำงานไม่หยุด ใครเล่าจะว่างมาคิดถึงขนมกินเล่นได้?
แม้แต่พวกคนมีเงินเอง การจะหาของหวานกินเล่นก็เป็เื่ยาก เพราะมีสินค้าเข้าไปหมุนเวียนในตลาดจำนวนเพียงเล็กน้อยจนคนทั่วไปแทบไม่เคยได้เห็น
และต่อให้โชคดีหาพบได้ ก็ไม่สามารถซื้อได้ไหว
แต่ขนมกินเล่นของนางสามารถลงขายได้ในราคาเพียงสองหรือสามอีแปะ เป็ราคาที่พ่อแม่ผู้ปกครองยอมจ่ายให้ลูกๆ ได้
“เช่นนั้นก็เป็อันตกลงแล้ว” หลินฟู่อินประกาศ
“อ๊ะ ฟู่อิน เดี๋ยวข้าจะไปเอาสี่ร้อยเก้าสิบตำลึงเงินที่ได้จากนายใหญ่สวี่มาให้เ้านะ” หลินเฟินกล่าวจบก็ลุกขึ้นเพื่อไปหยิบเงิน
หลินฟู่อินขมวดคิ้วแล้วดึงนางไว้ “พี่เฟิน ท่านเก็บเอาไว้เถอะ เพราะตอนนี้เรากำลังคิดที่จะเปิดร้านขายขนมกินเล่น ดังนั้นเราต้องมีถั่วและสินค้าต่างๆ มากมาย และข้าเองก็เริ่มยุ่งแล้ว ดังนั้นเงินก้อนนั้นเก็บไว้เป็ค่าวัตถุดิบเถอะ หากไม่พอค่อยมาบอกข้า”
“ข้าจะ้าเงินขนาดนี้ไปทำไมกัน? ข้าใช้แค่ไม่กี่สิบตำลึงเงินก็พอแล้ว” หลินเฟินกล่าว ก่อนจะครุ่นคิดอีกครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “พวกเราเพิ่งขายไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนให้ภัตตาคารเ่าั้ไป คำนวณดูแล้ว ข้าว่าน่าจะได้ราวหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบตำลึงเงินนะ”
หลินฟู่อินเห็นว่าเงินที่ได้จากไข่เยี่ยวม้าและไข่ดอกสนก็ลงตัวแล้ว นางจึงถาม “แล้วไข่ชุดใหม่ของเราได้ที่หรือยังเ้าคะ?”
หลินเฟินกล่าวอย่างมั่นใจ “มีสองชุดที่ใกล้แล้ว เพราะข้าเว้นระยะเริ่มทำห่างกันเพียงห้าวัน ดังนั้นจึงรออีกไม่นาน”
“พี่เฟินช่างขยันยิ่งนัก แต่โหมมากไปก็อาจจะล้มพับได้นะเ้าคะ” หลินฟู่อินกล่าว
หลินเฟินยิ้มออกมา “่นี้เ้ากับอาฟางต้องเข้าเมืองตลอด แต่ข้าอยู่บ้านตลอด ข้าจึงลงมือทำ ชุดหลังๆ นี้มีราวห้าถึงหกพันฟอง ส่วนชุดหลังจากนั้นจะหลายหมื่น”
หลินฟู่อินพยักหน้า จับมือหลินเฟินไว้พลางกล่าวขอบคุณนางอย่างจริงจัง
“พูดอะไรของเ้ากัน?” หลินเฟินจับมือของหลินฟู่อินแล้วเอ่ยตอบ “ข้าเคยได้ยินซานหลางกล่าววลีหนึ่ง ที่ว่าเมื่อพี่ชายน้องชายร่วมใจกันก็ไม่มีเป้าหมายใดที่จะไม่สำเร็จ เช่นนั้นแล้วหากพวกเราพี่สาวน้องสาวร่วมใจกันก็ไม่มีทางล้มเหลวเช่นเดียวกัน!”
สามพี่น้องปรบมือให้กันอีกครั้ง
และในที่สุดหลินฟู่อินก็ยอมรับเงินมาหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงเนื่องจากแพ้ลูกตื๊อของหลินเฟิน ส่วนที่เหลือนางให้หลินเฟินเก็บเอาไว้
หลินฟู่อินหยิบเอาตั๋วแลกเงินออกมาสามใบ แล้วยัดใส่มือหลินฟาง “พี่ฟาง ท่านเก็บเงินนี้ไว้ แล้วใช้ซื้อสิ่งที่้าในอนาคตเสีย”
หลินฟางกำเงินนั้นไว้แล้วพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“อ๊ะ แต่หากเราจะแบ่งไว้ขายในร้านของเราเองด้วย ก็แปลว่าเราจะส่งไปขายให้นายใหญ่สวี่ได้น้อยลงด้วยใช่หรือไม่?” หลินเฟินทักขึ้นมา
หลินฟู่อินพยักหน้า “ในหนึ่งวันเราเตรียมของได้ไม่มาก ดังนั้นั้แ่พรุ่งนี้ไปเราจะส่งไปให้เขาอย่างละสามร้อยจินต่อวัน แล้วลองดูว่าพวกท่านจะทำไหวหรือไม่ หากไม่ไหวก็ลดลง”
“เช่นนั้นก็เป็อันตกลง อาฟางกับข้าทำส่วนของพรุ่งนี้ไว้แล้ว เหลือแค่รอส่งให้นายใหญ่สวี่ในตอนเช้าเท่านั้น”
หลินฟู่อินพยักหน้าพลางคิดในใจว่าสองพี่น้องคู่นี้ช่างขยันนัก ขยันจนนางรู้สึกกดดันเลย
“และเราก็คงทำที่บ้านไม่ไหวแล้ว ดังนั้นไปหาหม้อและเตาสักสองสามเตาไปไว้หลังร้านน่าจะดีกว่า เสร็จแล้วค่อยหาคนที่ไว้ใจได้มาช่วย” หลินฟางเสริม
หลินฟู่อินลองพิจารณาดูก็คิดว่ามันเป็ความคิดที่ดีมาก แต่การจะหาคนที่ไว้ใจได้นั้นอาจจะลำบากอยู่สักนิด
แต่เมื่อคิดดูแล้ว หลินฟู่อินก็คิดว่าต้ายาและป้าสะใภ้รองของต้ายาอาจจะทำหน้าที่นี้ได้
ครั้งก่อนตอนที่นางกลับไปที่หมู่บ้าน นางได้ยินแม่นมฉินบอกว่าป้าสะใภ้รองของต้ายานั้นไม่ค่อยมีน้ำนม แค่ให้เด็กที่บ้านตัวเองก็แทบไม่พอแล้ว ย่าหลี่จึงต้องไปช่วยหาคนให้นมใหม่ให้
ตัวป้าสะใภ้รองที่เห็นว่าเงินที่ได้อาจจะลดลง จึงเริ่มเป็กังวลขึ้นมา
ทางฝั่งบ้านของเฟิงซื่อเองก็มีสะใภ้หลายคนที่ให้นมได้ ซึ่งหลินฟู่อินคิดว่าเป็ตัวเลือกที่ไม่เลวนัก แต่คำถามคือจะให้ใครมา ซึ่งในจุดนี้หลินฟู่อินคิดว่านางควรถามความเห็นของสองพี่น้องก่อนจะดีกว่า
“ในเมื่อพวกท่านคิดจะหาคนมาช่วย พวกท่านคิดว่าใครน่าจะเหมาะหรือ?” หลินฟู่อินถามขึ้น ก่อนจะไล่รายชื่อตัวเลือกที่นางนึกถึงเมื่อครู่ให้ฟัง
หลินเฟินและหลินฟางครุ่นคิด แล้วหลินเฟินจึงกล่าวขึ้นมาว่า “เริ่มต้นเราลองหามาสักสามคนก่อนจะดีกว่า ข้าว่าป้าสะใภ้รองของต้ายานั้นเป็คนเรียบร้อยและมีไหวพริบ ทั้งยังเก็บความลับได้ ดังนั้นเป็นางแน่นอนแล้วหนึ่งคน ป้าสะใภ้ใหญ่และลูกพี่ลูกน้องหญิงบ้านลุงรองของพวกข้าเองก็ใช้ได้”
หลินฟู่อินฟังแล้วจึงหันไปมองหลินฟาง
หลินฟางพยักหน้า “คนเหล่านี้ล้วนเป็คนปากหนัก และยิ่งได้ค่าจ้างด้วยแล้วก็ยิ่งมั่นใจได้ว่าจะปิดปากพวกนางได้สนิทแน่ และเราก็จะบอกพวกนางไว้ก่อนด้วยว่าอย่าไปแพร่งพรายอะไรมาก ข้าว่าน่าจะเหมาะสมแล้ว”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองเห็นตรงกัน หลินฟู่อินจึงยิ้มออกมาแล้วกล่าว “เช่นนั้นข้าก็ขอฝากด้วย ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งเ้าค่ะ”
หลินเฟินและหลินฟางมองหน้ากันแล้วยิ้มให้กัน จากนั้นจึงพยักหน้า แล้วหลินเฟินก็กล่าวอย่างจริงจัง “ฟู่อินไม่ต้องกังวล พวกข้าจะทำให้ดีแน่”
หลินฟูอินจึงเตือนนางต่อ “พี่เฟินเองก็อย่าลืมไปเรียนรู้งานจากภัตตาคารหลิวจี้ใน่เวลามื้อเย็นด้วยนะเ้าคะ ทุกวัน” กล่าวจบแล้วนางจึงหันไปมองหลินฟางแล้วกล่าวต่อ “พี่ฟางจะตามไปด้วยก็ได้”
“แค่เถ้าแก่สอนพี่ของข้าก็น่าจะยุ่งพออยู่แล้ว จะมีเวลามาสอนอะไรข้าอีกหรือ?” หลินฟางอยากหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงท่าทียุ่งตัวเป็เกลียวจนแทบอยากงอกมือเพิ่มของเถ้าแก่หลิว
“เข่นนั้นก็จงเรียนรู้ที่ช่วยเหลือเขาเสียเมื่อช่วยได้ เรียนรู้จากการติดตามเขา มิใช่เพียงการขอให้เขาสอนให้เท่านั้น” หลินฟู่อินอยากให้พวกนางได้ลองเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะนางเองก็รู้ว่าเถ้าแก่หลิวนั้นงานยุ่งมาก
สองพี่น้องเองก็เข้าใจ แล้วจึงหยอกล้อกันต่อไปอีกพักหนึ่ง
“ฟู่อิน เรามานั่งนับกันดีกว่าว่าเราได้เงินมาเท่าไรแล้วกันแน่ใน่หลายวันมานี้” เมื่อหมด่พักผ่อนแล้ว หลินเฟินจึงกล่าวกับหลินฟู่อิน
“จริง มานับกันดีกว่าว่าเรายังขาดอีกเท่าไรสำหรับการซื้อร้านในชิงเหลียน” หลินฟางกล่าวเสริม
หลินฟู่อินเคยบอกทั้งสองไปว่านางคิดจะซื้อร้านแปดร้านของเจียงฮูหยินในเมืองชิงเหลียนอยู่
ตอนนี้ทั้งสองพี่น้องจึงพยายามระดมสมองเพื่อเก็บเงินให้เพียงพอต่อการซื้อ
เมื่อเห็นว่าทั้งสองทำตาเป็ประกายเช่นนั้น หลินฟู่อินจึงหัวเราะออกมา “ข้าคำนวณในใจไว้แล้ว และข้ายังคิดจะซื้อเรือนในเมืองไว้สำหรับตอนเราไปอยู่ด้วย ดังนั้นเมื่อรวมเงินจากทั้งการขายของกินเล่นและไข่ของวันนี้ ก็มีเกือบจะพอซื้อเรือนนั่นแล้วเ้าค่ะ”
นี่หมายความว่าน้ำพักน้ำแรงจากตลอด่หลายวันมานี้ได้กลายเป็ค่าบ้านในเมืองชิงเหลียนไปหมดแล้ว และตอนนี้เหลืออยู่เพียงไม่มากเท่านั้น
หลินฟู่อินคาดไว้ว่าทั้งสองคงจะผิดหวังที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ทั้งสองกลับทำเพียงพยักหน้า
หลินเฟินหัวเราะออกมา “ฟู่อินคิดถูกแล้วที่ซื้อบ้านก่อน”
“ใช่ ข้าเคยได้ยินพี่ต้าหลางบอกว่าการจะหาซื้อบ้านหลังเล็กๆ ในเมืองนั้นเป็เื่ยากเย็นยิ่งนัก การที่เ้าสามารถหาซื้อได้ก็นับว่าเป็เื่ดีแล้ว ฟู่อิน!” หลินเฟินกล่าวอย่างตื่นเต้น
“นั่นเป็เพราะหลินต้าหลางไร้พร์ต่างหาก เพราะเขาไม่มีปัญญาหาเงินได้เองเขาจึงต้องกล่าวเช่นนั้น ขอเพียงมีเงินในมือ มีหรือที่จะหาซื้อบ้านไม่ได้? ขอเพียงมีเงินในมือ แม้เป็บ้านในเมืองหลวงก็ยังคว้ามาครองได้” หลินฟู่อินหัวเราะ
นางยิ่งชิงชังหลินต้าหลางมากขึ้นเรื่อยๆ
วันถัดมา เมื่อหลินฟู่อินตื่นขึ้นมา สองพี่น้องก็ออกไปทำงานกันเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
นางจึงไปล้างหน้าล้างตาแล้วเดินเข้าครัว ที่นั่นมีโจ๊กมันหวานอุ่นๆ ตั้งอยู่ ทั้งบนหน้ายังโรยไว้ด้วยเส้าจื่อหอมๆ ที่หลินเฟินตั้งใจเก็บไว้ให้นางโดยเฉพาะ
เมื่อกินเสร็จแล้วนางก็เตรียมตัว เพราะวันนี้นางคิดจะไปโรงหมอสกุลหลี่เพื่อซื้อสมุนไพรที่ต้องใช้ และเป็ตอนนั้นเองที่นางได้ยินเสียงเคาะประตูดังมา
เมื่อเปิดประตูออกไป นางก็พบกับชิวหมัวมัวของซ่งฮูหยินที่เพิ่งได้พบกันไปเมื่อวาน
“โอ แม่นางหลินมีเรือนหลังใหญ่ถึงเพียงนี้ในเมืองเลยหรือ?” ทันทีที่หลินฟู่อินเปิดประตูรับ ชิวหมัวมัวก็รีบยื่นหน้าเข้ามาสอดส่องอย่างออกหน้าออกตาทันที
ในตอนแรกชิวหมัวมัวก็ไม่อยากเชื่อนักว่านี่เป็เรือนของหลินฟู่อิน แต่ยิ่งสอบถามมากเท่าไร ก็ยิ่งมั่นใจว่านางอาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ
หลังจากไปพักที่โรงเตี๊ยมได้เพียงหนึ่งคืน ซ่งฮูหยินก็เริ่มไม่สบายขึ้นมา นางจึงบอกให้ชิวหมัวมัวส่งจดหมายไปหาสกุลวัง เพราะสามีของซ่งฮูหยินผู้ซึ่งเป็เ้าเมืองเมืองหนิง นามซ่งหลี่และนายหญิงใหญ่ของสกุลวังนั้นเคยเป็สหายร่วมงานกัน และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
เมื่อสกุลวังได้ยินว่าภรรยาของเ้าเมืองเมืองหนิงจะมาขอค้างคืนพร้อมกับสะใภ้ที่เพิ่งคลอดหลานชายก็ตอบรับอย่างจริงจัง โดยได้ส่งรถม้าที่ดีที่สุดมาเพื่อรับสะใภ้ของซ่งฮูหยินและบุตรไปยังเรือนของสกุลวังเลยทีเดียว
และซ่งฮูหยินจึงได้เล่าถึงความช่วยเหลือในการทำคลอดของหลินฟู่อินให้วังฮูหยินฟัง เมื่อวังฮูหยินได้เห็นความบังเอิญนี้แล้ว จึงได้เล่าให้ซ่งฮูหยินฟังถึงเื่ความช่วยเหลือของหลินฟู่อินในการรักษาเหล่าสตรีในเมืองด้วย
เมื่อได้ยินเื่จากวังฮูหยิน ซ่งฮูหยินจึงคิดจะผูกมิตรกับหลินฟู่อินเอาไว้ นางจึงส่งชิวหมัวมัวให้นำอั่งเปาไปมอบให้หลินฟู่อินแต่เช้า
และนั่นเองคือสาเหตุที่ทำให้ชิวหมัวมัวพบว่าหลินฟู่อินอาศัยอยู่ที่นี่
“แม่นางหลิน นายหญิงของเราได้กล่าวว่าท่านได้ช่วยเหลือสกุลของเราเอาไว้มาก ดังนั้นแล้วอั่งเปานี้จึงถูกนำมาให้เพื่อแสดงความขอบคุณ” ชิวหมัวมัวกล่าว
หลินฟู่อินตอบรับว่าไม่จำเป็ต้องสุภาพมาก แล้วรับซองมา
ชิวหมัวมัวเหลือบมองซองอั่งเปาที่หลินฟู่อินรับไป จากนั้นจึงนึกถึงคำพูดของซ่งฮูหยิน แล้วกล่าวออกมา “วันนี้หลานชายคนเล็กของสกุลเราได้ถือกำเนิดขึ้น จึงจำเป็ต้องทำพิธีสรงสาม ดังนั้นแล้วเมื่อถึงวัน นายหญิงจะส่งรถม้ามารับแม่นางหลินเพื่อไปเข้าร่วมพิธี และแม่นางหลินต้องไปเ้าค่ะ”
หลินฟู่อินนิ่วหน้า ยามนี้นางกำลังยุ่งกับเื่การทำธุรกิจอยู่ โดยเฉพาะในด้านการเตรียมอุปกรณ์ยา นางจะมีเวลาไปถึงเมืองหนิงแล้วเข้าร่วมพิธีสรงสามนั่นได้อย่างไร?
“นายหญิงของพวกเรากล่าวว่าวิชาแพทย์ของแม่นางหลินนั้นไม่ควรปล่อยให้เสียเปล่า นายหญิงยังกล่าวด้วยว่าเมื่อแม่นางมาถึงเมืองหนิงแล้ว นายหญิงจะช่วยแนะนำแม่นางให้กับเหล่าสตรีสูงศักดิ์ในเมืองด้วย” เมื่อชิวหมัวมัวเห็นว่าหลินฟู่อินมีสีหน้าลังเล นางจึงว่าร้ายหลินฟู่อินอยู่ในใจว่าเป็คนไม่รู้จักโอกาส แต่ปากยังคงถ่ายทอดคำของผู้เป็นายต่อ
หลินฟู่อินแคลงใจ ซ่งฮูหยินผู้นั้นมองอย่างไรก็ไม่ใช่คนใจกว้างมีน้ำใจอะไร แต่อยากมาเอาใจนางไปเพื่ออะไรกัน? ทั้งยังจะแนะนำนางให้กับพวกคนมีสกุลในเมืองหนิงอีก?
----------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เส้าจื่อ (臊子) คือ น้ำขลุกขลิกที่ทำไว้สำหรับคลุกเคล้ากับเส้นบะหมี่
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้