เมื่ออวี๋เคอฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเวลาก็ล่วงเลยมาได้เจ็ดวันแล้ว พอลืมตาขึ้นมาก็รู้สึกถึงก้อนกลมอุ่นๆที่กำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมกอด เมื่อมองดูก็พบว่าเป็อาจิ่วที่กำลังหลับสบาย
ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจเขามองไปรอบๆ และพบว่าสถานที่ที่อยู่รอบตัวของตนเองก็คือมิติที่แหวกออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่งทว่าถ้ำแห่งนี้กลับตกแต่งได้อบอุ่นมากทีเดียว น่าจะเป็ตำหนักบรรทมของอาจิ่วรอบด้านถูกปิดคลุมด้วยผ้าม่านสีส้มอันอบอุ่น ที่ใต้ร่างนั้นเป็ผ้าแพรผืนนุ่มลื่นผืนหนึ่งและบนโต๊ะไม้ตัวเล็กข้างเตียงก็ยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของธูปที่ถูกวางเอาไว้อีกด้วย
อวี๋เคอกลัวว่าจะปลุกอาจิ่วให้ตื่นจึงไม่กล้าขยับตัวแล้วทำการทดสอบพลังปราณด้วยการหมุนวนในท่านอนราบ ก็พบว่าอาการาเ็ของเขาดีขึ้นกว่าครึ่งอย่างไม่น่าเชื่อไม่รู้ว่าหลิงกวงมอบโอสถหรือผลปราณิญญาอันล้ำค่าอะไรให้เขากินผลลัพธ์จึงปรากฏออกมาได้ชัดเจนถึงเพียงนี้
แม้ว่าอาการจะดีขึ้นกว่าครึ่งแต่ก็ไม่ได้ดีไปทั้งหมดอีกอย่างอวี๋เคอก็ยังรู้สึกสังหรณ์ใจว่าอาการาเ็ที่เหลือของตนเองนั้นหากไม่ใช้เวลาสามถึงห้าปีก็คงยากที่จะหายหากโชคร้ายเกิดได้รับาเ็อะไรเพิ่มขึ้นมาอีกครั้งอาการาเ็ในครั้งนี้จะต้องกลายเป็โรคแฝงเร้น สุดท้ายก็ต้องทนทุกข์ทรมานจนเรื้อรังอย่างแน่นอน...
เขาลอบถอนหายใจหนึ่งทีทันใดนั้นก็พบว่าั้แ่ที่ตัวเองเข้ามายังโลกของนิยายเื่ “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจ” ก็ดูเหมือนว่าตนจะได้รับาเ็ไม่เคยได้หยุดหย่อนเลยแต่ถึงอย่างไรก็เป็การาเ็ซ้ำๆ จากไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่เป็เกียรติภูมิและทุกครั้งก็ดูเหมือนว่าจะเป็เพราะช่วยซ่งฉียวนเด็กน้อยผู้น่าสงสารคนนี้อยู่ร่ำไป
ก้านสมองที่ค่อยๆ กระจ่างแจ้งของอวี๋เคอเริ่มฟื้นคืนเขาจำได้ว่าหลังจากตอนที่ออกมาจากูเาฉิงชางดูเหมือนว่าตัวเองจะเป็ลมไปเพราะเื่อะไรสักอย่าง? เกิดอะไรขึ้น?!!! ให้ตายสิ!! เดี๋ยวนะ!!! เหมือนจะจำได้แล้ว...ซ่งฉียวนเข้าไปในดินแดนไร้เ้าแล้ว!!!
เมื่อคิดถึงเื่นี้ อวี๋เคอก็นอนไม่ติดเตียงในทันทีหัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งความถี่ในการเต้นของหัวใจแบบนี้หากเป็อวี๋เคอผู้อ่อนหัดในยุคปัจจุบันก็คงจะตายไปนานแล้ว
อารมณ์ของเขาแปรปรวนอย่างหนัก จนทำให้อาจิ่วมีปฏิกิริยาตอบสนองและตื่นขึ้นมาในทันที จากนั้นจึงกระพือปีกบินไปข้างแก้มของอวี๋เคอดวงตาคู่แดงก่ำมองเขาด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้จะงอยปากจิ้มเข้าไปที่คอของเขาแล้วพูดอย่างน้อยใจว่า
“นายท่าน ท่านทำให้ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว!ต่อไปท่านอย่าฝืนกำลังตัวเองอีกได้ไหม! หากรู้สึกแย่และทนไม่ไหวจริงๆต้องบอกอาจิ่วนะขอรับ! ข้าไม่อยากเห็นนายท่านล้มหมดสติไปต่อหน้าข้าอีกแล้ว! ”
เมื่อก่อนอาจิ่วแทบไม่เคยรู้สึกสงสัยในความแข็งแกร่งของอวี๋เคอเลยนายท่านในมุมมองของเขาล้วนทำได้ทุกประการแต่ใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาได้เห็นอวี๋เคอไอเป็เืและได้รับาเ็จนหมดสติไปถึงสองคราติดๆกัน
เขาถึงได้ตื่นตระหนกสุดขีดเพราะเขากลัวว่าวันหนึ่งหลังจากที่อวี๋เคอหมดสติไปก็จะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก เขากลัวว่านายท่านที่มักจะลูบศีรษะของเขาอย่างอบอุ่นและอ่อนโยนนายท่านที่มักจะเป็ห่วงเขาอยู่เสมอจะหายไปจากโลกของเขาแบบไม่มีวันหวนคืน...
เมื่อได้เห็นท่าทีของอาจิ่วอวี๋เคอก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมากลางดวงใจหากกล่าวตามจริงแล้วเด็กคนนี้ก็คือเด็กหัวรั้นคนหนึ่งความรู้สึกที่อาจิ่วมีต่อเขานั้นลึกซึ้งมาก จนทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มและรู้สึกผิดต่อเด็กคนนี้ในเวลาเดียวกัน
เขาพยายามทำให้ตัวเองลืมเื่ที่ซ่งฉียวนไปยังดินแดนไร้เ้าไปชั่วคราวจากนั้นจึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะเล็กๆ ของอาจิ่ว แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ข้าผู้นี้จำคำพูดของอาจิ่วได้หมดแล้วหลังจากนี้ข้าจะทำตามนั้นอย่างแน่นอน จะไม่ทำให้อาจิ่วน้อยต้องเป็ห่วง”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้เขาก็พลันนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นหลิงกวงได้นำหญ้าแปลงกายมาจากเฉิงเซียงแล้วดวงตาจึงเป็ประกาย แล้วรีบถามว่า
“อาจิ่วข้าผู้นี้เห็นว่าท่านเทพหลิงกวงได้หญ้าแปลงกายมาจากในมือของจิ้งจอกน้อยตนนั้นแล้วนั่นหมายความว่าอาจิ่วของข้ากำลังจะแปลงร่างได้แล้วใช่หรือไม่? ”
เมื่อถูกถามคำถามนี้แววตาของอาจิ่วก็ฉายแววยินดีอย่างเห็นได้ชัด เขายิ้มอย่างมีความสุข
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!วันนั้นท่านปู่เพิ่งกลับมาก็จะช่วยให้ข้าแปลงร่างแล้วแต่ข้ารู้สึกว่าเื่แปลงร่างนี้จะต้องให้นายท่านอยู่ดูด้วยถึงจะดี!ไม่อย่างนั้นหากหลังจากที่ข้าแปลงร่างแล้ว เมื่อนายท่านลืมตาขึ้นมาแล้วไม่รู้เื่อะไรข้าจะทำอย่างไรเล่า? ”
อาจิ่วกอดคอของอวี๋เคอแล้วถูไถไปมาอีกครั้งกระทั่งทำให้เขารู้สึกจั๊กจี้จนต้องขยับตัวไปข้างหลัง แต่ก็ไม่ได้ผลักไสแต่อย่างใดเพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า คำพูดของอาจิ่วนั้นทำให้ตนรู้สึกอบอุ่นหัวใจเสมอ
“ผู้เยาว์อวี๋เคอในที่สุดเ้าก็ฟื้นแล้ว หลับไปนานพอแล้วสินะ? ”
น้ำเสียงพิลึกไม่คุ้นหูดังเข้ามาจากปากถ้ำอวี๋เคอจึงมองออกไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงนี้และก็เป็หลิงกวงที่อยู่ในชุดสบายตาตามที่คาดไว้
เมื่อหลิงกวงเข้าไปในถ้ำ ก็รู้สึกตื่นใไปทั้งร่างจากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกยาวอย่างผ่อนคลาย แล้วกล่าวว่า “ตำหนักบรรทมของอาจิ่วน้อยยังอบอุ่นอยู่เลย”
เมื่อพูดจบก็รีบก้าวเข้าไปแล้วนำพัดเคาะหัวเล็กๆของอาจิ่วซ้ำไปมา ทว่ากลับหันไปพูดกับอวี๋เคออย่างโกรธเคืองว่า
“ทั้งหมดเป็เพราะผู้เยาว์เช่นเ้าไม่มีฝีมือมากพอที่จะไปก่อเื่ในสำนักฉิงชางทั้งยังหมดสติไปเสียดื้อๆ อาจิ่วน้อยของข้าก็เลยเศร้าโศกเสียใจอยู่ตั้งนานไม่ยอมแม้กระทั่งจะแปลงร่าง ข้าวปลาก็กินไม่ลง น้ำหนักลดฮวบลงไปตั้งหลายชั่ง! ”
อวี๋เคอได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็รู้สึกละอายใจมากในขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด กลับถูกอาจิ่วชิงพูดเสียก่อน
เ้าเด็กน้อยกระพือปีกบินขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นมองตรงเข้าไปในดวงตาของหลิงกวงก่อนจะเถียงอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“ฮึ่ม! ท่านปู่พูดเช่นนี้ก็ฟังดูเกินไปนายท่านของข้าใช้กำลังเพียงคนเดียวต่อกรกับพวกสำนักฉิงชางที่ไร้ยางอายเ่าั้ทั้งยังถูกรุมโจมตีตั้งหลายครั้งหลายคราถึงได้รับาเ็หนักถึงเพียงนี้ข้าว่าหากเปลี่ยนเป็ตัวท่านปู่มาเผชิญเื่แบบนี้เหมือนกับนายท่านของข้าก็คงได้รับาเ็ไม่น้อยไปกว่านายท่านของข้านักหรอก! ”
“ดังนั้นท่านปู่การที่ท่านดูถูกนายท่านของข้าก็คือการดูถูกตัวท่านเอง! ”
อวี๋เคอ : ...
หลิงกวง : ...
อวี๋เคอมองเห็นได้ชัดเจนเลยว่าสีหน้าของหลิงกวงดูจะชาไปเล็กน้อยจากนั้นก็กระตุกมุมปากไปมา แล้ววางพัดในมือที่ยกขึ้นลงไป สุดท้ายก็ไม่ได้เคาะลงบนศีรษะของอาจิ่วแต่กระแทกกับฝ่ามือตัวเองจนเกิดเสียงดังเปรี๊ยะ
“ดี ดีมาก อาจิ่วนี่เ้าปีกกล้าขาแข็งและเริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอยแล้วนะ!ไม่อยากแปลงร่างแล้วใช่หรือไม่? ”
เมื่อพูดจบหลิงกวงก็หยิบหญ้าแปลงกายขึ้นมาบนมือพร้อมกับยกขึ้นโบกไปมา ช่างเป็การยั่วโมโหอาจิ่วเสียจริงดูเหมือนว่าอายุหลายพันปีจะไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว
ทว่าอุบายนี้ยังใช้ได้ผลกับอาจิ่วอยู่ดวงตาเล็กหมุนวนไปตามหญ้าแปลงกาย ปีกเองก็กระพือไม่หยุดจากนั้นฝีปากก็โอนอ่อนลงทันที
“ก็ได้ท่านปู่ ก็ได้ขอรับท่านปู่ท่านบอกว่าจะช่วยข้าแปลงร่างไปแล้ว จะมากลับคำได้อย่างไร? ”
ในที่สุดหลิงกวงก็จับจุดอ่อนของเ้าเด็กดื้อนี่ได้เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างภาคภูมิใจ แล้วใช้พัดชี้ไปยังอวี๋เคอที่กำลังกลั้นหัวเราะจากนั้นก็ชี้กลับมาที่หน้าตัวเอง แล้วถามว่า
“เช่นนั้นเ้าก็ลองบอกมาสิว่าปู่หรือเ้าผู้เยาว์อวี๋เคอผู้นี้ใครเก่งกว่ากัน? ”
“เอ่อ”
อาจิ่วรู้สึกเพียงว่าท่านปู่ของตนเองเป็คนไร้ยางอายโดยแท้อายุตั้งเท่าไรแล้วก็ยังจะเอาชนะตนอยู่ได้ เขาเหลือบมองอวี๋เคอด้วยความกระวนกระวายและพบว่าระดับมุมปากของอีกฝ่ายฉีกกว้างขึ้นเรื่อยๆหากไม่ใช่เพราะพยายามอดกลั้นไว้อย่างสุดชีวิต คาดว่าคงหัวเราะออกมานานแล้ว
อวี๋เคอตอบรับสายตาจากอาจิ่วก่อนจะชี้มือชี้ไม้ไปที่หลิงกวงให้อาจิ่วเห็นเพียงคนเดียว และส่งเสียงบอกกับเขาว่า
“เลิกอารมณ์เสียได้แล้วความจริงแล้วท่านปู่ของเ้าก็เหนือกว่าข้าอยู่หนึ่งขั้น เ้าพูดเอาใจเขาไม่กี่คำก็เรียบร้อยแล้ว”
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของอวี๋เคออยู่ในสายตาของหลิงกวงทำให้ความรู้สึกดีต่อเขาก็เพิ่มระดับขึ้นมาเล็กน้อย
“แน่นอนว่าเป็... อ้า! ท่านย่าท่านมาแล้วหรือ? ”
ขณะที่อาจิ่วกำลังจะเอ่ยเอาใจหลิงกวงอย่างไม่เต็มใจแต่พอเงยหน้าก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาตรงปากถ้ำ พร้อมกับกลิ่นหอมเย็นๆที่นำพามาด้วย ภายในห้องอันอบอุ่นเย็นลงไม่น้อยทันทีที่เขาก้าวเข้ามาที่แท้ก็เป็เทพชิงเหยา
อาจิ่วบินไปบนไหล่ของชิงเหยา จากนั้นปีกน้อยๆก็ชี้ไปยังหลิงกวง แล้วกล่าวฟ้องอย่างมาดมั่นว่า “ท่านย่า!ท่านปู่รังแกข้าขอรับ! ดึงดันจะให้ข้าบอกว่าเขาเก่งกาจ หากไม่พูดก็จะไม่ให้หญ้าแปลงกายแก่ข้าไม่ยอมให้ข้าแปลงร่าง! ”
ชิงเหยาส่ายหน้า ดวงตาสีทองฉายแววขบขันอยู่ภายใน “ทำไมพวกเ้าสองปู่หลานถึงได้มักโกรธกันเป็เด็กๆเช่นนี้อยู่เสมอเลย? ” ขณะที่พูดเขาก็เดินไปข้างๆ หลิงกวงแล้วยื่นมือไปหยิบหญ้าแปลงกายมา ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่กล้าหือแม้แต่คำเดียวจึงเอาแต่มองชิงเหยาที่กำลังหัวเราะคิกคัก
“อาจิ่วเป็เด็กการจะงี่เง่าโวยวายก็ถือเป็เื่ปกติ แต่เ้านี่สิ” นิ้วชี้เรียวยาวของเขาชี้ไปยังปลายจมูกของหลิงกวงแล้วยิ้มพร้อมพูดว่า “ช่วยโตเป็ผู้ใหญ่ที่สุขุมกว่านี้หน่อยได้หรือไม่? เลิกทำให้คนนอกหัวเราะเยาะได้แล้ว”
สายตาของหลิงกวงจ้องไปที่นิ้วเรียวขาวที่หยุดอยู่ปลายจมูกตรงหน้าจากนั้นก็ยื่นมือออกไปคว้าไว้แล้วนำขึ้นมาจุมพิตที่ริมฝีปากอย่างรวดเร็ว
เขาหรี่ตาและยิ้มจนเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่เ้าเล่ห์ตนหนึ่ง
“คิดไว้อยู่แล้วเชียว ปลายนิ้วของอาเหยานี่ช่างหอมจริงๆ”
การกระทำทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงสองวินาที จนทำให้อวี๋เคอได้แต่มองอย่างตกตะลึงอ้าปากค้างเขาไม่เคยคิดเลยว่าการเกี้ยวกันระหว่างบุรุษกับบุรุษจะเย้าหยอกกันเหมือนเป็เื่ปกติได้ขนาดนี้...
แม้ว่าในหนังสือจะพูดถึงความลามกของอวี๋เคอเอาไว้แต่เนื้อเื่เ่าั้ก็ถูกเขียนไปแบบเรียบง่าย และไม่เคยนำมันออกมาเขียนลงรายละเอียดในจุดสำคัญอย่างโจ่งแจ้งอีกอย่างเขาเองก็ไม่เคยเห็นตอนที่หวังตัวจวี๋และโม่ชิงอยู่ด้วยกันดังนั้นจึงไม่เข้าใจเลยว่าความสัมพันธ์แบบไม้ป่าเดียวกันนั้นอยู่ร่วมกันอย่างไร...
ตอนนี้เมื่อเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างหลิงกวงและชิงเหยาที่เป็ปกติขนาดนี้เขาก็เริ่มมีความเข้าใจต่อความสัมพันธ์แบบชายรักชายเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างในทันทีราวกับได้เปิดประตูสู่โลกใบใหม่...
อาจิ่วเหมือนจะชินชากับความหวานเลี่ยนระหว่างปู่กับย่ามานานแล้วเมื่อเห็นชิงเหยาชักนิ้วที่ถูกหลิงกวงกุมอยู่กลับมาด้วยใบหน้าแดงก่ำจึงรีบบินตามเข้าไป แล้วพุ่งตรงเข้าไปแทรกกลางระหว่างเขาสองคน
เมื่อแย่งหญ้าแปลงกายในมือของชิงเหยามาได้ก็บินกลับไปหาอวี๋เคอและคุยโวโอ้อวดใส่หลิงกวงว่า
“ฮี่ ฮี่! ท่านปู่น่ะไม่เก่งกาจเท่านายท่านของข้าเลยสักนิด!นายท่านของข้าเก่งที่สุด! ”
ทันทีที่พูดจบก็ไปหลบอยู่ข้างหลังอวี๋เคอทันทีแอบอย่างมิดชิดและไม่โผล่หัวออกมาเลย จนทำให้หลิงกวงโกรธจนต้องกัดฟันกรอด
“พอแล้ว เลิกโวยวายได้แล้วการแปลงร่างของอาจิ่วเป็เื่สำคัญ พวกเ้าสองปู่หลานเลิกพิรี้พิไรกันเสียที” หากอาจิ่วแปลงร่างได้เร็วเท่าไร พลังบำเพ็ญเพียรก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นเร็วมากเท่านั้นซึ่งล้วนเป็ผลดีต่อทั้งตัวเขาและเผ่าหงส์เพลิง
“อีกอย่าง่นี้อสูรร้ายเฉวียงฉีตนนั้นก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแปลกๆ อีกแล้วมิหนำซ้ำสี่อสูรร้ายแห่งาต่างก็ตอบสนองซึ่งกันและกันอีกด้วยเนื่องจากเฉวียงฉีได้รับความทุกข์ทรมานบนผืนทวีปนี้ ไม่แน่ว่าพวกถาวอู้ ฮุ่นตุ้น และเทาเที่ยที่เหลืออาจจะตามมาเมื่อไรก็ได้เมื่อถึงเวลานั้นผู้ที่จะเป็อันตรายที่สุดก็คือสี่จตุรเทพอย่างพวกเ้า จะไม่เตรียมตัวไม่ได้เด็ดขาด”
หลิงกวงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชิงเหยามาก็ตั้งหลายปีนี่เป็ครั้งแรกที่ได้ยินชิงเหยากล่าววาจามากมายกับเขาถึงเพียงนี้ อีกทั้งคำพูดยังแสดงถึงความห่วงใยต่อเขาออกมาอย่างชัดเจนความสุขในใจจึงพลันก่อตัวขึ้น ราวกับน้ำที่ถูกต้มจนเดือดพล่าน
“ขอทูลถามเทพชิงเหยาว่าเคยไปเห็นเฉวียงฉีที่หุบเหวแห่งหุบเขาิญญาในโลกปีศาจมาแล้วอย่างนั้นหรือ? ”
ชิงเหยาไม่ได้มีความประทับใจอันดีต่ออวี๋เคอเลยสักนิดเดิมทีนิสัยของเขาก็เ็าอยู่แล้ว ในสายตาของเขาอวี๋เคอก็คือคนนอกคนหนึ่งตอนนี้พอได้ยินเขาถามก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ผ่านไปครู่ใหญ่จึงตอบว่า
“อืม เคยไป”
ทันทีที่อวี๋เคอได้ยินคำพูดของชิงเหยาก็ตื่นใด้วยความที่ตนอยากให้ซ่งฉียวนได้รับนิ้วทองคำจึงได้เขียนเนื้อเื่ที่เกี่ยวกับเืของเฉวียงฉีขึ้นมาในเื่ “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจ” โดยไม่ได้คำนึงว่าในสมัยานั้นมีอสูรร้ายอยู่สี่ตัวหากมีเพียงเฉวียงฉีตนเดียวที่ปรากฏตัวขึ้นมาบนผืนทวีปนี้ แล้วอสูรร้ายตัวอื่นเล่า? พวกเขาไปอยู่แห่งหนใด?
พอครุ่นคิดมากเข้าก็รู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นเฉียบขึ้นมาทันทีด้วยเหตุที่ตนเองเปิดเผยตัวตนในสำนักฉิงชาง ซ่งฉียวนจึงต้องเข้าสู่ดินแดนไร้เ้าก่อนกำหนดถึงห้าปี
จุดบอดนี้ของอสูรร้ายเ่าั้... เป็ไปได้ไหมว่าจะมีอสูรร้ายอีกสามตัวนำพาหายนะมาสู่โลกใบนี้อีกครั้ง?
ในใจคิดวกวนเป็ร้อยเป็พันรอบแต่อวี๋เคอก็ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจจนเกินไปออกมาเลย จากนั้นจึงถามต่อว่า
“แล้วท่านเทพชิงเหยาเห็นว่าเฉวียงฉีตนนั้นมีลางว่าจะหนีออกมาอย่างนั้นหรือขอรับ? ”
ชิงเหยาผลักหลิงกวงที่เข้ามาใกล้ออกไปด้านข้างแล้วตอบกลับไปว่า
“ตอนที่ข้าไปถึงที่นั่นกลับพบว่ากรงขังิญญาัของเผ่าัเขียวได้ถูกทำลายไปแล้วส่วนหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าใครใช้วิชาปิดผนึกที่ทรงพลังขังมันไว้ในกรงอีกครั้งข้าคิดว่าต่อให้ดวงจิตที่าเ็ของเฉวียงฉีจะมีความสามารถมากเพียงใดก็คงไม่อาจหลบหนีออกจากหุบเหวแห่งหุบเขาิญญาได้ในระยะเวลาอันสั้น”
อาจิ่วที่ฟังอยู่พักใหญ่ เมื่อได้ยินชิงเหยาชมเชยคนที่ผนึกเฉวียงฉีก็รีบเด้งหัวเล็กๆ ออกมาจากทางด้านหลังของอวี๋เคอ แล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า
“หึ หึ~ ผู้ที่ผนึกเฉวียงฉีก็คือนายท่านของข้าอย่างไรเล่า!”