เสี่ยวหมี่คลี่ยิ้มอ่อนหวาน ถึงแม้จะมีสายลมพัดมาก็ไม่รู้สึกหนาว อยากจะให้วันเวลาเช่นนี้ยืดยาวออกไปไม่มีสิ้นสุด...
เช้าวันรุ่งขึ้น รถม้าที่บรรจุแป้งเฟิ่นเถียวจนเต็ม มีพี่ใหญ่ลู่เป็คนนำพรานหนุ่มในหมู่บ้านอีกเจ็ดแปดคนเตรียมออกเดินทางั้แ่พระอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า
พวกเขาเป็คนขบวนแรกที่เข้าเมือง ทหารยามที่เฝ้าประตูยังคิดไปว่าในรถม้ามีของป่าอะไร แต่เมื่อได้ยินว่าพวกเขามาจากหมู่บ้านเขาหมี และเป็ของที่เถ้าแก่เฉินสั่ง จึงปล่อยพวกเขาเข้าไปอย่างง่ายดาย
พี่ใหญ่ลู่เป็คนซื่อก็จริงแต่ก็ไม่ได้โง่เขลาไม่รู้ความ เขายังคงมอบเงินค่าผ่านทางให้พวกทหารหนึ่งอีแปะตามธรรมเนียม ทั้งยังยัดซาลาเปาไส้เนื้อใส่มือทหารที่อายุน้อยที่สุด แล้วจึงจากไปโดยมีสีหน้ายิ้มแย้มของทุกคนมองส่ง
เมื่อรถม้าของสกุลลู่ผ่านเข้าไปแล้ว พวกทหารก็อดวิพากษ์วิจารณ์กันไม่ได้ “เ้าใหญ่ลู่คนนี้นิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย ก่อนหน้านี้ที่นอกประตูเมืองมีคนจร เขาก็แทบจะเลี้ยงอาหารคนจรไปครึ่งหนึ่ง”
ทหารอายุน้อยคนนั้นถามขึ้นว่า “แล้วคนจรพวกนั้นหายไปไหนเสียแล้ว?”
ทหารยามที่อายุมากหน่อยถลึงตาใส่เขา ดุว่า “กินซาลาเปาของเ้าไปเถอะ อย่าถามอะไรไร้สาระ”
ทหารหนุ่มน้อยย่นคอทันที เพียงไม่นานก็ถูกซาลาเปาในมือดึงดูดความสนใจไปหมด
ซาลาเปาที่ขายอยู่ในเมืองส่วนใหญ่ล้วนเป็ไส้ผัก น้อยนักที่จะมีไส้เนื้อ ่นี้นายพรานจากหมู่บ้านเขาหมีมักจะล่าหมู่ป่ากลับมาประจำ รู้ว่าคนสกุลลู่ชอบกินเนื้อ และไม่เสียดายเนื้อแม้แต่น้อยเวลาทำอาหาร กว่าครึ่งจึงส่งไปให้พวกเขา
เสี่ยวหมี่ทำหมูเค็มเก็บไว้เป็ร้อยไห ยังมีเนื้อหมูตากแห้งห้อยเต็มหลังคาห้องครัว ส่วนใหญ่นางมักจะเอามาทำเป็ไส้ซาลาเปา นางทำเก็บไว้เป็จำนวนมาก เนื่องจากที่บ้านมีชายหนุ่มท้องโตอยู่หลายคน เวลาพวกเขาร้องโวยวายว่าหิวก็จะได้เอาออกมานึ่งทันที ทั้งรวดเร็วและอิ่มท้อง โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่มาเรียนหนังสือที่กับบิดาลู่ซึ่งมักจะงอแงว่าหิวอยู่บ่อยๆ นางมักใจดีมอบซาลาเปาให้พวกเขากินร้องท้องคนละลูก
คนในหมู่บ้านต่างเห็นอยู่ในสายตา ลูกๆ ของตนเรียนหนังสือกับสกุลลู่โดยที่พวกเขาไม่ได้คิดค่าเล่าเรียน ยามนี้สกุลลู่ยังแบ่งปันเนื้อให้พวกเด็กๆ อีก ดังนั้นของป่าและเนื้อหมูป่า กระต่ายป่า ไก่ป่าพวกนั้นจึงหลั่งไหลเข้ามาสู่สกุลลู่ราวกับสายน้ำ...
แต่ไหนแต่ไรมาคนสกุลลู่พิถีพิถันกับอาหารการกิน ทั้งยังมีรสชาติล้ำเลิศ แต่เื่พวกนี้ก็เป็ที่รู้กันอยู่เพียงในหมู่บ้านเขาหมี ที่สำนักศึกษาของลู่เชียน และบ้านสกุลเฉินเท่านั้น
แต่ยามนี้เมื่อเฟิ่นเถียวถูกนำเข้ามาขายในเมือง โรงเตี๊ยมแต่ละแห่งต่างพยายามจะนำมันออกขายให้ได้เร็วที่สุด
โรงครัวของพวกเขาต่างก็มีพ่อครัวมากฝีมือ พวกเขาเรียนรู้สูตรอาหารใหม่ๆ เ่าั้ได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นหลังจากนำเฟิ่นเถียวเข้ามาในเมืองได้เพียงสามวัน ก็มีโรงเตี๊ยมที่รีบร้อนนำเสนออาหารใหม่ของโรงเตี๊ยมภายใต้ชื่อว่า ‘งานเลี้ยงเฟิ่นเถียว’ ราคาหนึ่งโต๊ะสิบตำลึง
ราคาขนาดนี้สำหรับครอบครัวคนธรรมดาแล้วช่างเกินเอื้อม แต่สำหรับครอบครัวใหญ่ในเมืองไม่นับว่าแพง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาคนที่เดินทางมาจากเมืองหลวง ในสายตาของพวกเขาแล้วยิ่งไม่นับเป็อะไร
พอดีกับ่นี้บรรดาขบวนพ่อค้าหาซื้อหนังสัตว์กันเสร็จแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางกลับ ย่อมต้องรวมตัวกันกินเลี้ยงมื้อใหญ่สักหนึ่งมื้อ
และเมื่อทุกคนได้ลิ้มลอง แน่นอนว่าย่อมมีคนติดใจ
จากนั้นโรงเตี๊ยมอื่นๆ ก็พากันออกอาหารจานใหม่ที่ทำจากเฟิ่นเถียว ทั้งจานที่ทานคู่กับผักและที่ทานคู่กับเนื้อ
อันโจวไม่นับว่าใหญ่โต โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดหกแห่งพากันออกอาหารชนิดใหม่แบบเดียวกันในเวลาไล่เลี่ยกัน ย่อมเป็ที่เล่าลือไปทั้งเมือง ถึงขนาดที่ว่าคำทักทายของคนอันโจวตอนนี้เปลี่ยนเป็ “เ้ากินเฟิ่นเถียวมาแล้วหรือยัง?”
พวกผู้ชายยังพอทำเนา แต่พวกผู้หญิงและผู้าุโนั้นล้วนชอบรสััของเฟิ่นเถียวเป็อย่างมาก แต่พวกผู้หญิงคนแก่และเด็กๆ จะออกมากินอาหารที่โรงเตี๊ยมนอกบ้านบ่อยๆ ก็ไม่ได้ บางคนจึงเชิญพ่อครัวของโรงเตี๊ยมไปที่เรือน แต่ทุกบ้านก็มีพ่อครัวเป็ของตนเอง เพียงครั้งเดียวก็พากันจดจำได้ หลังจากนั้นผลประโยชน์จึงตกมาอยู่ที่ร้านขายน้ำมันและเสบียงสองแห่งที่ไปเข้าร่วมงานในวันนั้น
ตอนที่พวกโรงเตี๊ยมขายดิบขายดีเป็เทน้ำเทท่านั้น พวกเขากลับเงียบเหงาเพราะร้านตัวเองไม่มีพ่อครัว ยามนี้ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้ออกหน้าบ้างแล้ว
เช่นนี้เอง ไม่ถึงสามวัน เสี่ยวหมี่ก็ได้รับค่าของชุดแรกจากเถ้าแก่เฉิน และรายการสั่งของชุดถัดไป
ตอนนี้เสี่ยวหมี่กับเฝิงเจี่ยนกำลังช่วยคนในหมู่บ้านทำเรือนกระจก ยามนี้พวกเขากำลังทำเรือนกระจกบ้านชุ่ยหลันกันอยู่ ถึงแม้ก่อนหน้านี้คนจากบ้านเดิมของนางจะมาสร้างความอับอายเอาไว้ แต่นางเป็สะใภ้ที่เฉลียวฉลาดและขยันขันแข็ง คนในบ้านจึงไม่ยกเื่นี้ขึ้นมาพูดอีก อีกทั้งนางยังมีส่วนช่วยในโรงทำแป้งอย่างมาก ยามนี้ทุกคนจึงแทบจะลืมเื่นี้ไปหมด
เมื่อได้ยินเด็กรับใช้จากสกุลเฉินมารายงาน ชุ่ยหลันก็ดีใจจนแทบะโโลดเต้น ะโว่า "โอ้โห ดีจังเลย เมื่อวานพวกเราเพิ่งทำเพิ่มอีกหนึ่งชุด ประเดี๋ยวจะส่งของไปกับน้องชายเลยก็แล้วกัน”
เด็กรับใช้คนนั้นเองก็เฉลียวฉลาดคล่องแคล่ว เอ่ยปากชมว่า “คุณหนูสี่ พี่สะใภ้ของท่านที่นี่ช่างเก่งกาจกันเสียจริง เช่นนี้จะไม่ร่ำรวยได้อย่างไร?”
เสี่ยวหมี่ยัดเงินให้เขาพวงหนึ่งเป็รางวัล จากนั้นจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สมพรปากเถอะ เ้าก็เอาของชุดที่สองกลับไปพร้อมกันเสีย”
พูดจบ นางก็หันไปหาชุ่ยหลัน เอ่ยว่า “เมื่อยกของขึ้นรถไปหมดแล้ว พวกท่านก็พักกันสักครึ่งวัน มาต่อแถวรับเงินค่าจ้างกันนะเ้าคะ”
“ได้เลย”
พวกผู้ชายที่กำลังพักดื่มชายามบ่ายกันอยู่ เมื่อได้ยินว่าภรรยาตัวเองจะได้รับเงินอีกแล้ว ต่างก็รู้สึกถึงอันตรายอย่างรุนแรงในจิตใจ รีบทิ้งถ้วยในมือะโร้องเรียกกัน “ทุกคนมากันเถอะ เร่งมือกันหน่อย รีบสร้างเรือนกระจกปลูกผักให้เสร็จไวๆ จะได้รับเงินไวๆ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าพวกผู้หญิงคงจะลุกขึ้นมาพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินแล้ว”
“ฮ่าๆ จริงด้วย”
ทุกคนพากันหัวเราะออกมา แล้วเริ่มก้มหน้าก้มตาทำงานกันต่อ
ราคาของเฟิ่นเถียวและแป้งทอดกรอบหนึ่งจินหนึ่งตำลึง ง่ายต่อการคำนวณราคาค่าของเป็อย่างมาก ชุดแรกขายออกไปได้ห้าร้อยจิน ก็เท่ากับว่าจะได้ค่าตอบแทนห้าร้อยตำลึง
เงินพวกนี้ราวกับสายน้ำชโลมใจให้เสี่ยวหมี่ นอกจากปีที่แล้วที่เอาตุ๊กตาไปขายที่เมืองหลวง นางก็ยังไม่ได้รับเงินก้อนใหญ่ก้อนอื่นเพิ่มเลย อีกทั้งที่บ้านยังมีค่าใช้จ่ายต้องจ่ายออกไปเป็จำนวนมหาศาล ทั้งสร้างบ้าน ขุดบ่อน้ำ สร้างโรงทำแป้ง จ่ายค่าแรงให้คนงาน รับซื้อหิน ซื้อูเาสองลูก ยังมีสินสอดที่ให้สกุลเฉินไปอีก จน ‘ท้องพระคลัง’ ของบ้านแทบจะรับไม่ไหวแล้ว
ทำให้จนถึงวันนี้เงินสองร้อยตำลึงที่ติดเฝิงเจี่ยนเอาไว้นางก็ยังไม่ได้คืนเขา
เถ้าแก่เฉินเป็คนละเอียดรอบคอบ เงินค่าของที่ส่งมาเป็ตั๋วเงินสี่ร้อยตำลึง บวกกับเงินเหรียญอีกร้อยตำลึง
เสี่ยวหมี่นับเงินอย่างพอใจ อดปรายตามองเฝิงเจี่ยนที่นั่งดื่มชาอยู่ข้างๆ ไม่ได้
เฝิงเจี่ยนสังเกตเห็นท่าทางของนางมาั้แ่แรก เขาเดาได้อยู่แล้วว่านางคิดอะไรอยู่
ในที่สุดเสี่ยวหมี่ก็อดไม่ไหว เอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่เฝิง รอจนได้ค่าแป้งชุดที่สองแล้ว ข้าค่อยคืนเงินสองร้อยตำลึงนั้นให้ท่านนะเ้าคะ”
เฝิงเจี่ยนเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างขบขัน “ไม่ต้องรีบร้อน วันหน้าค่อยว่ากัน”
เสี่ยวหมี่เชิดหน้าอย่างโอหัง เอ่ยอย่างวางท่าว่า “ข้ามีเงินนะ มีมากด้วย”
เฝิงเจี่ยนเกือบจะสำลักน้ำชา อดส่งเสียงขบขันออกมาไม่ได้
เสี่ยวหมี่แลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา ตอนที่ยังคิดจะพูดอะไรอีกนั้น บรรดาสตรีที่ทำงานในโรงผลิตแป้งก็ต่อแถวกันเข้ามาแล้ว
เฝิงเจี่ยนจดบันทึกบัญชี เสี่ยวหมี่จ่ายเงิน เพียงไม่นานก็จ่ายค่าแรงออกไปจนครบ
พวกผู้หญิงในมือถือเงินต่างมีสีหน้าเบิกบาน ในบรรดาพวกนาง คนที่ได้ค่าแรงมากที่สุดได้ไปถึงสามตำลึง คนที่ได้น้อยที่สุดก็ได้มากถึงตำลึงกว่า เงินจำนวนนี้มากพอให้ทั้งครอบครัวใช้ได้ไปครึ่งปี จะไม่เบิกบานกันได้อย่างไร
เดิมทีเสี่ยวหมี่ยังคิดว่าจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งจ่ายเป็เงินพิเศษให้พวกนาง แต่เมื่อคิดไปคิดมาแล้วจึงเปลี่ยนใจ อย่างไรเสียนี่ก็เพิ่งเป็ของชุดแรก หนทางยังอีกยาวไกล ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น รอให้ผ่านพ้นปีใหม่ไปก่อนแล้วค่อยให้ก็ยังไม่สาย ถือเป็ของขวัญปีใหม่ให้พวกเขา
พวกผู้หญิงตื่นเต้นดีใจอยากรีบกลับไปวางท่าโอ้อวดต่อหน้าสามีของตนเองสักหน่อย ่นี้แต่ละบ้านต่างอวดเบ่งกันไม่หยุดทั้งผู้หญิงผู้ชายเด็กและคนชราว่าใครหาเงินได้มากกว่า สุดท้ายสรุปแล้วก็คือครอบครัวของพวกเขากินดีอยู่ดีมากขึ้น
เสี่ยวหมี่เห็นว่าท้องฟ้ายังสว่างอยู่มาก จึงลากเฝิงเจี่ยนพากันลงเขาไปตรวจดูเฟิ่นเถียวและแป้งทอดกรอบชุดใหม่ที่กำลังจะส่งขาย
มันฝรั่งในที่ดินสามสิบหมู่ตอนนี้แทบจะไม่เหลือแล้ว เพราะถูกพวกผู้หญิงเก็บไปใช้ในโรงแป้งเกือบหมด
ั้แ่ที่รู้ว่าขายเฟิ่นเถียวได้มากขนาดนี้ั้แ่ครั้งแรก พวกผู้หญิงก็ยิ่งขยันขันแข็งกันกว่าเดิม เสี่ยวหมี่ตรวจนับดูแล้วตอนนี้เฟิ่นเถียวที่มีอยู่ก็แค่สองพันกว่าจิน แป้งทอดกรอบอีกหนึ่งพันจิน
ถึงแม้ตอนนี้เฟิ่นเถียวจะเป็ที่กล่าวขานเป็อย่างมากในเมือง แต่เมื่อความสดใหม่พวกนี้ผ่านพ้นไปก็คงจะขายได้ไม่ดีเหมือนก่อน เพราะจะอย่างไรเฟิ่นเถียวก็ไม่เหมือนวัตถุดิบจำพวกเนื้อสัตว์ และก็ไม่เหมือนผักสดที่เป็วัตถุดิบที่จำเป็บนโต๊ะอาหาร
แต่ก็มีข้อดีอีกอย่างก็คือทั้งต้าหยวนตอนนี้มีแค่ที่อันโจวที่มีขาย หากลงใต้ไปถึงเมืองหลวง หรือลงใต้ไปกว่าเมืองหลวงก็ยังมีตลาดใหม่ๆ อีกมากรอให้ไปเปิดอยู่
ตอนนี้สิ่งที่นางต้องกังวลมากกว่าคือของที่อยู่ในคลังจะไม่เพียงพอ
เสี่ยวหมี่ขมวดคิ้ว รู้สึกหนักใจไม่น้อย นางหันไปโอดครวญกับเฝิงเจี่ยน “พี่ใหญ่เฝิง เดิมทีข้ายังคิดว่าไข่ดินที่ปลูกนั้นเพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้ดูแล้ว ของแค่นี้พอขายแค่ในอันโจวเท่านั้น แต่จะให้ขนไข่ดินขึ้นมาจากทางใต้ก็เปลืองค่ารถม้าไม่น้อย”
เฝิงเจี่ยนมองเห็นปัญหานี้แต่แรกแล้ว แต่นี่คือการค้าของเสี่ยวหมี่ เขาจึงไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่าย ยามนี้เมื่อเสี่ยวหมี่เอ่ยปากขึ้นมาก่อน เขาจึงบอกเล่าความคิดเห็นของตนออกมา
“เทียบกันแล้วแทนที่จะขนไข่ดินจากทางใต้ขึ้นมาทำแป้งที่นี่ ไม่สู้สร้างโรงทำแป้งขึ้นที่ภาคใต้เสียเลย”
เสี่ยวหมี่ได้ยินดวงตาพลันเป็ประกาย ยิ้มเอ่ยว่า “เป็ความคิดที่ดี”
แต่แล้วนางก็กลับไปเศร้าหมองอีกครั้ง “เป็ความคิดที่ดีก็จริงอยู่ แต่คนที่บ้านข้าไม่มีใครพอจะพึ่งพาได้ อย่างไรเสียก็เป็สถานที่ใหม่ไม่คุ้นเคย จะซื้อที่ดินสร้างโรงทำแป้ง แล้วยังเป็การค้าที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน หากว่ามีคนในพื้นที่จ้องจะหาเื่ แล้วมีตู้โหย่วไฉคนที่สองปรากฏตัวออกมา แบบนี้จะไม่ใช่การสร้างปัญหาหรือ”
เฝิงเจี่ยนชี้นิ้วไปยังทิศทางที่สำนักศึกษาฮวางหยวนตั้งอยู่ เอ่ยว่า “หลิวปู๋ชี่และเฉิงจื่อเหิงสองคนนั้นมีบ้านเดิมอยู่ที่เจ๋อโจว ไม่สู้ส่งจดหมายไปปรึกษากับสหายของพี่สามเ้าดู”
“ที่แท้ท่านพี่หลิวและท่านพี่เฉิงบ้านอยู่ที่เจ๋อโจว บังเอิญจริงๆ ข้าจะเขียนจดหมายไปให้พี่สามพรุ่งนี้เลย”
เสี่ยวหมี่ปรบไม้ปรบมืออย่างดีใจ เอ่ยว่า “เริ่มจากเปิดร้านเล็กๆ ในเมืองก่อน เอาไว้ขายเฟิ่นเถียวและแป้งทอดกรอบโดยเฉพาะ ครั้งนี้จะอย่างไรเถ้าแก่เฉินก็ไม่ยอมรับส่วนแบ่ง หากจะให้เขาต้องมาเหนื่อยใจเื่นี้เพิ่มอีกก็คงไม่ดี ยังมีหนังสัตว์ที่พวกท่านลุงท่านอาล่ามาได้ ของป่าที่พวกท่านป้าหามาได้ คาดว่าหากเปิดร้านค้าก็คงไปได้ไม่เลว ต่อให้เฟิ่นเถียวจะขายหมดแล้ว ก็ยังขายหนังสัตว์ขนสัตว์ได้โดยไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลางอีกด้วย แต่ปัญหาเดียวคือจะให้ใครเป็คนไปดูแลร้านดี”
ครั้งนี้เฝิงเจี่ยนกลับไม่พูดอะไร หันหน้ามองออกไปนอกคลัง กล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า “ในเมื่อมาแล้ว ก็เข้ามาเถอะ”