มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนรุดมาถึงตำหนักชิงหลวน เถาจือที่ร้อนใจจนแทบคลั่งรีบเข้ามาทำความเคารพ พร้อมรายงาน “องค์รัชทายาท กุ้ยเฟยหายตัวไปเพคะ”
เสิ่นจือเหยียนมองไปรอบๆ แล้วถาม “หายไปเมื่อใด? เ้าเล่ามาให้ละเอียด”
“ราวครึ่งชั่วยามก่อน หนูปี้ไปที่โรงครัวเพื่อดูว่าอาหารในงานเลี้ยงเตรียมการเป็อย่างไรบ้างแล้ว ในตอนนั้นกุ้ยเฟยอยู่รอที่ตำหนักคนเดียวเพคะ” เถาจือตอบกลับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจและกังวล “หนูปี้กำลังคอยจับตาดูคนงานที่โรงครัว รั้งอยู่ประมาณครึ่งชั่วยามถึงได้กลับมา หนูปี้วางแผนว่าจะกลับมารายงานกุ้ยเฟย แต่ว่าหากุ้ยเฟยจนทั่วตำหนักใหญ่ รวมถึงตำหนักบรรทมก็หานางไม่พบเพคะ”
“หลังจากเ้าไปแล้ว ไม่มีคนคอยปรนนิบัติกุ้ยเฟยหรือ?” มู่หรงฉือไม่ได้สนใจว่าเซียวกุ้ยเฟยจะไปไหน จะเป็หรือจะตาย กลับอยากจะรู้ว่าเมื่อมู่หรงอวี้ได้ยินเื่นี้แล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
“หนูปี้ไม่ทราบ กุ้ยเฟยไม่ค่อยชอบให้ข้าหลวงอยู่ข้างกายเพคะ” เถาจือร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ “อีกอย่างวันนี้เป็วันเกิดของกุ้ยเฟย ข้าหลวงของตำหนักชิงหลวนต่างยุ่งง่วนกันไปหมด ก่อนหน้านี้ข้าหลวงทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการจัดงานเลี้ยงที่นี่เพคะ”
มู่หรงฉือมองไป ด้านหน้าโถงตำหนักจัดวางโต๊ะจัดเลี้ยงอยู่หลายตัว ราวหนึ่งร้อยโต๊ะได้ นับว่ายิ่งใหญ่พอสมควร
เสิ่นจือเหยียนสบตากับนางก่อนเอ่ยว่า “เ้าไปเรียกข้าหลวงที่คอยปรนนิบัติข้างกายกุ้ยเฟยมาที”
เถาจือหมุนตัวไปกวักมือ ขันทีคนหนึ่งกับนางกำนัลอีกคนหนึ่งก็รีบสาวเท้าเดินเข้ามา ก่อนจะทำความเคารพพวกเขา
วันนี้พระอาทิตย์ยังคงร้อนแรง เสิ่นจือเหยียนหรี่ตาถาม “สองชั่วยามมานี้พวกเ้าทำอะไรบ้าง?”
นางกำนัลคนนั้นตอบ “ตอนบ่ายหนูปี้ไม่ได้ดูแลกุ้ยเฟยแต่คอยช่วยจัดงานเลี้ยงอยู่กับทุกคนด้านนอกเ้าค่ะ”
ขันทีเองก็ตอบเช่นเดียวกัน
“พวกเ้าไม่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวจากตำหนักใหญ่เลยหรือ?” มู่หรงฉือถาม
“ไม่เลยเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” นางกำนัลกับขันทีส่ายหน้าพร้อมกัน
“เตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่น หนูปี้คาดเดาว่าหลังจากหนูปี้ออกมา กุ้ยเฟยก็พักผ่อนอยู่ในตำหนัก ไม่ได้ออกมาเรียกข้าหลวงให้ไปปรนนิบัติเพคะ” เถาจือกล่าว “ก่อนหน้านี้หนูปี้ได้ส่งคนไปตามหาทั่วทั้งตำหนักชิงหลวนแล้วรอบหนึ่ง แต่หากุ้ยเฟยไม่พบ จะทำอย่างไรดีเพคะ?”
เสิ่นจือเหยียนสั่งขันทีกับนางกำนัลคนนั้น “พวกเ้าแยกกันไปสอบถามข้าหลวงคนอื่นๆ ถามตำหนักข้างเคียงว่าในชั่วเวลาหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมามีผู้ใดพบเห็นกุ้ยเฟยบ้าง”
ขันทีกับนางกำนัลคนนั้นรับคำสั่งแล้วรีบจากไป
มู่หรงฉือพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “จือเหยียน พวกเราไปดูในตำหนัก บางทีอาจพบเบาะแสอะไร”
เถาจือรีบพาพวกเขาเข้าไปในตำหนักใหญ่ วันนี้เป็วันมงคลของเซียวกุ้ยเฟย ในตำหนักใหญ่และตำหนักบรรทมประดับตกแต่งเอาไว้อย่างเป็มงคลยิ่ง ผ้าสีแดงพลิ้วไหว ประดับด้วยดอกไม้สด ส่งกลิ่นหอมจรุง
ตอนนี้พวกเขาตรวจสอบตำหนักใหญ่ทุกซอกทุกมุม ไม่มีสักจุดเดียวที่ปล่อยผ่านไป
ผ่านไปได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันก่อนจะส่ายหน้า แสดงออกว่าไม่พบสิ่งใด
จากนั้นพวกเขาก็พากันไปตรวจสอบตำหนักบรรทม
มู่หรงฉืออดเดาะลิ้นไม่ได้ ตำหนักบรรทมของเซียวกุ้ยเฟยหรูหรามากจริงๆ ข้าวของทุกอย่างล้วนเป็ของมีค่า ดูเหมือนว่าหลายปีนี้เสด็จพ่อจะโปรดปรานนางมากจริงๆ พระราชทานของให้นางไม่น้อยเลย
“ตำหนักใหญ่และตำหนักบรรทมปกติทุกอย่าง ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ขัดขืน”
“เถาจือ เ้าดูว่ามีตรงไหนบ้างที่ไม่เหมือนเดิม” เสิ่นจือเหยียนออกคำสั่ง
“เ้าขบคิดให้ละเอียดสักหน่อย อย่ามัวแต่หวาดหวั่นร้อนใจ” มู่หรงฉือกำชับ
“เพคะ” นางกวาดตามองไปทุกที่เช่นเดียวกับที่พวกเขาทำ
มู่หรงฉือเดินไปยังหน้าต่างฝั่งตะวันตก แววตาเจือความสงสัย ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย “เจอแล้ว”
เถาจือกับเสิ่นจือเหยียนรีบเดินไปพลางถามด้วยความดีใจ “หาอะไรเจอหรือ?”
มู่หรงฉือชี้ไปที่รอยเท้าบนหน้าต่าง “รอยเท้านี่คงจะเป็รอยเท้าของคนที่พาเซียวกุ้ยเฟยไปทิ้งเอาไว้”
เสิ่นจือเหยียนใช้มือทาบวัดขนาด “รอยเท้าไม่ใหญ่นัก ไม่น่าจะใช่รอยเท้าของบุรุษ”
เถาจือเบิกตาด้วยความใ “หรือว่าคนที่พากุ้ยเฟยไปจะเป็สตรี?”
มู่หรงฉือยื่นตัวออกไปดูด้านนอก “ด้านล่างหน้าต่างเป็พื้น ไม่มีรอยเท้า คนที่ลักพาตัวเซียวกุ้ยเฟยไปคงจะใช้เท้าเหยียบหน้าต่าง จากนั้นก็ทะยานตัวออกไป”
เสิ่นจือเหยียนพูดต่อ “คนผู้นั้นมีวิทยายุทธ์”
เถาจือยิ่งร้อนใจทั้งยิ่งหวาดกลัวขึ้นไปอีก “เหตุใดคนผู้นั้นจะต้องพากุ้ยเฟยไปด้วยเล่า คนผู้นั้นจะทำร้ายกุ้ยเฟยหรือไม่เพคะ?”
มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนเดินออกไปด้านนอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เถาจือเหม่อลอยเล็กน้อยก่อนจะรีบตามไป
พวกเขามายังด้านนอกของหน้าต่างฝั่งตะวันออกของตำหนักบรรทม แล้วหมอบหาของไปตามพื้นราวกับกำลังมองหาทอง
“เตี้ยนเซี่ย ใต้เท้าเสิ่น พวกท่านกำลังหาอะไรหรือ?” เถาจืออดถามไม่ได้
“ที่นี่มีรอยเท้าอยู่รอยหนึ่ง ขนาดใกล้เคียงกับรอยเท้าที่หน้าต่าง” มู่หรงฉือชี้ไปยังจุดหนึ่งบนพื้น
“ทางนี้เองก็มีรอยเท้าอยู่รอยหนึ่ง คงจะเป็สิ่งที่คนร้ายทิ้งเอาไว้” เสิ่นจือเหยียนยืนพูดอยู่อีกทาง “รอยเท้าที่คนร้ายทิ้งเอาไว้น้อยมาก จากเตี้ยนเซี่ยจนถึงตรงนี้ ห่างกันหนึ่งจั้งพอดี เห็นได้ว่าวิชาตัวเบาของคนร้ายไม่ธรรมดา”
“คนของตำหนักชิงหลวนมากมายถึงเพียงนั้น ทั้งยังมีการป้องกันแ่า แต่ผู้ร้ายคนนั้นกลับสามารถพาคนๆ หนึ่งไปกลางวันแสกๆ ได้เช่นนี้ อีกทั้งไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามีการวางแผนไว้อย่างรอบคอบ การลงมือก็รัดกุม” มู่หรงฉือยอมรับว่าตนมีวิชาตัวเบาที่นับว่าไม่ธรรมดา เทียบกันแล้ว ตัวผู้ร้ายเองก็ถือว่ามีวิชาตัวเบาที่ใกล้เคียงกัน
เสิ่นจือเหยียนเดินไปเดินมา ลูบคางพลางพูด “องครักษ์ในวังมากมาย มีการตรวจตราหนาแน่น คนร้ายพากุ้ยเฟยออกจากตำหนักชิงหลวนไป จะหลบหูตามากมายไปได้อย่างไร?”
นางพูดตัดสินออกมา “มีความเป็ไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือคนร้ายคุ้นเคยกับวังหลวงเป็อย่างมาก รู้จักเส้นทางหลบหลีกองครักษ์เป็อย่างดี”
เถาจือฟังพวกเขาวิเคราะห์เบาะแส ในความหวาดกลัวเจือไว้ด้วยความตื่นตระหนก “ผู้ร้ายคนนั้นพากุ้ยเฟยไปที่ไหนหรือ?”
แปะแปะแปะ
ทั้งสามได้ยินเสียงปรบมือจึงหันไปมองต้นเสียงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เห็นมู่หรงอวี้สาวเท้าเดินมาด้วยท่วงท่าองอาจ
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา ทั้งร่างของเขาอาบไล้ไปด้วยแสงตะวันสีทองอร่าม อาภรณ์สีดำสนิทเมื่อถูกแสงอาทิตย์ส่องกระทบเช่นนี้ก็ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไป กระทั่งดวงหน้าของเขาก็ยังพร่าเลือน
เถาจือราวกับเห็นฟางช่วยชีวิต จึงรีบเข้าไปรายงาน “ท่านอ๋อง กุ้ยเฟยถูกคนลักพาตัวไปแล้วเพคะ”
มู่หรงอวี้พยักหน้าน้อยๆ มองไปยังอีกสองคนทางด้านหลังของนาง “พบเบาะแสอะไรหรือไม่?”
เสิ่นจือเหยียนเห็นเตี้ยนเซี่ยไม่พูดไม่จาจึงเอ่ยขึ้นว่า “จากการสันนิษฐานเบื้องต้น คนร้ายที่ลักพาตัวเซียวกุ้ยเฟยไปน่าจะเป็สตรีที่มีวิชาตัวเบาไม่ธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งคนผู้นี้ยังคุ้นเคยกับวังหลวงเป็อย่างมาก คาดว่าผู้ร้ายคงจะเป็คนในวัง”
มู่รงฉือมองมู่หรงอวี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยันอย่างเต็มเปี่ยม มู่หรงอวี้ ในใจของเ้าคงร้อนรนมากสินะ
มู่หรงอวี้มองนางนิ่ง แล้วหมุนตัวไป
เสิ่นจือเหยียนหันไปมองเตี้ยนเซี่ย รู้สึกแปลกใจอยู่ข้างใน เตี้ยนเซี่ยดูแปลกพิกล
ครั้นเดินมาถึงทางเดินของตำหนักใหญ่ มู่หรงอวี้สั่งองครักษ์ด้วยสีหน้าเ็า ให้ค้นหาตัวผู้ร้ายจนทั่ววัง
มู่หรงฉือพูดเสียงใส “อย่าเคลื่อนไหวเอิกเกริกที่ตำหนักชิงหยวนเล่า”
องครักษ์รับคำสั่งแล้วออกไป
ในตอนนี้เองขันทีกับนางกำนัลก็กลับมารายงานว่าในชั่วเวลาหนึ่งชั่วยาม ไม่มีใครพบเห็นเซียวกุ้ยเฟยเลย
เถาจือคุกเข่าลงทันที ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำด้วยความร้อนรน “ท่านอ๋อง กุ้ยเฟยถูกจับตัวไป ท่านจะต้องช่วยกุ้ยเฟยนะเพคะ”
มู่หรงฉือประคองนางขึ้นมาด้วยตนเอง “เ้าวางใจเถิด กุ้ยเฟยเป็เฟยชั้นสูงแห่งวังหลัง ท่านอ๋องจะยอมให้เกิดเื่กับกุ้ยเฟยได้อย่างไร?”
เสิ่นจือเหยียนจะอย่างไรก็รู้สึกว่าน้ำเสียงของเตี้ยนเซี่ย...แปลกมากจริงๆ
“ใต้เท้าเสิ่น เ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” ดวงหน้าขาวของมู่หรงอวี้ไม่เผยความรู้สึกใด
“ท่านอ๋อง เื่นี้แปลกอยู่บ้างจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทำได้เพียงสันนิษฐานเบื้องต้น คนที่ลักพาตัวเซียวกุ้ยเฟยไปเป็คนในวัง อีกทั้งยังเป็สตรี” เสิ่นจือเหยียนพูดอย่างรู้สึกผิด “ในวังมีตำหนักมากมาย หากจะตรวจสอบไปทีละตำหนัก ทีละห้อง พูดไปแล้วก็เสียเวลามาก”
“บางทีเซียวกุ้ยเฟยอาจมีปัญหากับผู้ใด แล้วคนผู้นั้น้าแก้แค้น” มู่หรงฉือพูด
ระหว่างที่มู่หรงอวี้หมุนตัวสายตาก็เหลือบมองไปที่นาง แล้วเดินเข้าไปในตำหนัก “เตี้ยนเซี่ยตามเปิ่นหวางเข้ามา”
นางยิ้มน้อยๆ “แต่เปิ่นกงอยากไปตามหากุ้ยเฟย จือเหยียน พวกเราไปกันเถิด”
มู่หรงอวี้ชะงักฝีเท้า จากนั้นพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ฝ่าายังต้องถนอมพระวรกายให้ดี หรือเ้าอยากจะให้ฝ่าาเป็กังวลด้วยเื่นี้หรือ?”
สำหรับนางแล้ว นี่เป็การตำหนิที่รุนแรงอย่างยิ่ง
นางลอบกัดฟัน แล้วเดินตามเขาเข้าไปในตำหนักใหญ่อย่างอารมณ์เสีย
เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเตี้ยนเซี่ยกับอวี้หวางกลับไปเป็เช่นแต่ก่อนแล้วหรือ?
แบบที่เจอหน้ากันก็ไม่ถูกกัน
มู่หรงฉือเห็นมู่หรงอวี้เดินไปทางตำหนักบรรทม นางไม่อยากเข้าไปในตำหนักบรรทมของเซียวกุ้ยเฟยอีก จึงยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าพลางหัวเราะเสียงใส “ท่านอ๋องมีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
“เ้าดีใจมากหรือ?” เขาเดินเข้ามาหา ในดวงตาปรากฏเงาดำเล็กน้อย
“เปิ่นกงมีอะไรให้ดีใจ?” นางเหมือนถูกจับได้ จึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงเย็น
“เปิ่นหวางเหมือนได้กลิ่นเปรี้ยวฉุนจัด” เขาเลิกคิ้วเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“กลิ่นเปรี้ยวอะไร? กลิ่นก๋วยเตี๋ยวหรือเปล่า” นางปรายตามองเขา
“กลิ่นเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู” มู่หรงอวี้โน้มตัวลงมา แล้วสูดดมไล่ไปตามกรอบหน้าของนาง “มันออกมาจากตัวเ้า”
มู่หรงฉือขยับไปด้านข้างสองก้าว “มีที่ไหนกัน? วันนี้เปิ่นกงไม่ได้กินน้ำส้มสายชูสักหน่อย”
ครั้นพูดออกมาแล้วนางถึงได้รู้สึกว่าวาจาประโยคนี้มีปัญหาอยู่บ้าง นางตกหลุมพรางของเขาเสียแล้ว จึงอดโมโหไม่ได้
ริมฝีปากบางของเขายกยิ้ม “หากไม่ได้กินน้ำส้มแล้วเหตุใดเ้าถึงได้โมโหอย่างไร้สาเหตุเช่นนี้เล่า?”
นางพูดด้วยความโมโห “เปิ่นกงบอกว่าไม่ก็คือไม่!”
พูดจบแล้วนางก็สาวเท้าเดินออกไป ไม่อยากจะอยู่ในห้องบรรทมของเซียวกุ้ยเฟยพูดเื่แปลกๆ กับเขาอีก
มู่หรงอวี้คว้าข้อมือของนางเอาไว้ ดึงเพียงเบาๆ นางก็หมุนตัวกลับเข้าไปในอ้อมกอดของเขา เนื่องจากยังยืนได้ไม่มั่นคงร่างทั้งร่างจึงเอนพิงไปด้านหน้าเล็กน้อย นางกำลังพยายามจะรีบยืนให้มั่นจึงไม่ได้ระวังยามที่เขาก้มลงมาจุมพิต
การกระทำนี้ใช้เวลาเพียงชั่วลมหายใจทั้งยังไหลลื่นราวสายน้ำ
ริมฝีปากของเขาประกบริมฝีปากนุ่มของนาง ความคิดถึงหลายวันนี้เหมือนจะได้รับการบรรเทาลงมาเล็กน้อย แต่ก็เป็เช่นน้ำที่ล้นทะลักไหลบ่าอย่างรุนแรง เขายิ่งจูบยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งลึกซึ้งก็ยิ่งอยากได้มากขึ้นกว่าเดิม อยากจะกลืนกินริมฝีปากของนางเข้าไป
นางผลักเขาออกอย่างแรงด้วยความโกรธปนขวยเขิน “ปล่อยข้า!”
มู่หรงอวี้เองก็ไม่ได้ฝืนใจนาง แต่ยังคงกอดนางเอาไว้ แล้วกระซิบเสียงเบาข้างหูนาง “เ้าหน้าแดงไปหมดแล้ว ช่างงามเหลือเกิน”
นางโกรธจนแทบจะะเิ ฝ่ามือกำแน่น แล้วปล่อยหมัดไปยังดวงหน้าหล่อเหลาที่น่ารังเกียจนั้นอย่างแรง
จะที่ไหนก็ไม่ไป ดันเลือกมาที่ห้องบรรทมของเซียวกุ้ยเฟย!
เขาหยุดหมัดของนางไว้ด้วยมือเดียวอย่างคล่องแคล่ว แล้วดึงนางเข้ามาหาก่อนจะกอดนางไว้อีกครั้ง “หลายวันมานี้คิดถึงเปิ่นหวางหรือไม่?”
“คิด! คิดแน่นอน!” นางกัดฟัน “เปิ่นกงอยากจะได้ศีรษะของท่านมาตลอด!”
“ก็ดี ไม่มีอะไรแข็งแกร่งไปกว่านี้แล้ว” เขายิ้มอ่อนโยน
มีคนมา!
มู่หรงฉือผลักเขาออกทันที รีบจัดการตัวเองก่อนจะเดินออกไป
เสิ่นจือเหยียนเห็นเตี้ยนเซี่ยหน้าแดงระเรื่อก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ “เตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋อง เหมือนองครักษ์จะหาตัวเซียวกุ้ยเฟยพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นมองไปทางอวี้หวางอีกครั้ง สีหน้าของอวี้หวางกลับสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง เช่นนั้นเหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงได้เป็เช่นนี้? หรือว่าถูกอวี้หวางยั่วโมโหมา?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้