ก่อนหน้านี้การฝึกฝนบ่มเพาะพลังิญญาของหนิงอ้ายกล่าวได้ว่าแม้จะทุ่มเทเวลาไปกับการดูดซับปราณฟ้าดินแต่ก็นับว่ามีความก้าวหน้าได้ช้ากว่าที่คาดการณ์เอาไว้ ่เวลาที่ผ่านมานั้นเขาบรรลุถึงเขตขั้นราชทินนามเทวะิญญาก็จริง แต่ระดับความเร็วในการฝึกฝนนั้นกลับช้าลงในทุกเขตขั้นย่อย ด้วยเพราะการสอดประสานระหว่างสองสายเืเผ่าพันธุ์าในตัวที่คอยแบ่งพลังลมปราณที่ได้ดูดซับเข้ามาไปดูดกลืนราวกับเป็หลุมดำที่ไร้ซึ่งจุดจบ แต่เมื่อได้รับอักขระกำกับสะกดข่มจากท่านอาจารย์แล้วทำให้ตอนนี้ร่างกายสามารถชักนำพลังลมปราณเข้าสู่ทะเลมหาสมุทรลมปราณได้รวดเร็วและมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“ยามนี้ข้าเป็ราชทินนามราชันิญญาขั้นต้นอย่างสมบูรณ์แล้ว รากฐานบ่มเพาะได้เคี่ยวกรำไม่น้อยกว่าหนึ่งพันรอบ ศิษย์ต้องขอบคุณท่านอาจารย์มากขอรับ...” ใช้เวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามให้หลังหนิงอ้ายก็ลืมตาขึ้นในที่สุด เห็นเสวี่ยจิงผู้เป็อาจารย์นั่งอยู่ไม่ไกลมากนัก จึงไม่รอช้ามุ่งตรงยังทิศทางดังกล่าวก่อนจะยกมือประสานคำนับด้วยความเคารพยิ่ง
“เป็สิ่งที่อาจารย์พึงกระทำอยู่แล้ว รับไป!! สิ่งนี้คือม้วนตำราบันทึกศาสตร์แห่งการบัญชาการ อย่างที่เ้าได้ศึกษาในก่อนหน้าอักขระเวทย์ถือเป็อักษรรูปแบบหนึ่งที่มีพลังปราณแฝงเร้นซ่อนอยู่ หากสามารถเข้าใจและทราบว่าอักขระเวทย์ดังกล่าวเกี่ยวพันกับพลังปราณใดแล้ว ย่อมไม่ใช่เื่ยากในการบัญชาการควบคุมเรียกใช้ แต่นั่นก็มีข้อจำกัดนั่นคือเ้าต้องมีขุมพลังลมปราณมากเพียงพอที่จะใช้งาน....” เสวี่ยจิงกล่าวให้หนิงอ้ายเกี่ยวกับอักขระเวทย์โบราณในรูปแบบต่าง ๆ ให้เข้าใจมากขึ้น อีกทั้งยังคงเน้นย้ำว่าการขีดเขียนอักขระเวทย์แต่ละตัว หากอยากให้มีอาณุภาพที่เหนือล้ำมากเพียงใด ขุมพลังที่ถูกเรียกใช้ออกมาบัญชาการก็ต้องทัดเทียมมากเท่านั้น
หนิงอ้ายเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่ถูกถ่ายทอดสั่งสอนได้อย่างง่ายดายนับเป็ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจอยู่ไม่น้อย ดูจากสีหน้าของบุรุษวัยกลางคนที่ยิ้มแย้มออกมายามเห็นเด็กน้อยตรงหน้าเอ่ยทบทวนความรู้ที่ได้สั่งสอนไปอย่างไม่ตกหล่น หลังจากนั้นเสวี่ยจิงจึงได้เขียนอักขระเวทย์ออกมาด้วยพลังจากปราณธาตุพฤกษาที่ถูกเสริมด้วยพลังปราณของร่างกายเห็นเป็อักขระสีเขียวขาวประกายรุ้งตัวหนึ่งที่แผ่ซ่านกลิ่นอายไม่ธรรมดาสามัญออกมา ก่อนที่อักขระเวทย์นี้จะถูกส่งโจมตีก้อนหินกองใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจนเกิดเป็แรงะเิที่รุนแรงยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่าอักขระเวทย์เพียงหนึ่งตัวก็สามารถกระทำได้มากถึงเพียงนี้แล้ว
เห็นท่าทางของเด็กน้อยตรงหน้าเสวี่ยจิงจึงลูบศีรษะของอีกฝ่ายไปเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูอย่างเสียไม่ได้ ก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายยังไม่ได้รับความทรงจำเดิม กล่าวได้ว่าเสี่ยวเปาตัวน้อยอายุสามสี่ปีนั้นช่างน่ารักน่าชังอย่างถึงที่สุด ถึงกับรู้จักออดอ้อนและดื้อซนจนผู้ใดก็ไม่อาจห้ามปรามได้เลยเสียด้วยซ้ำ แม้ว่าหลังจากได้รับความทรงจำเดิมกลับมาแล้วอีกฝ่ายจะกลับมาเคร่งครึมรู้จักวางตัวราวกับผู้ใหญ่ ทว่าอย่างไรแล้วเสี่ยวเปาตัวน้อยยังไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด ยิ่งยามที่ได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ แล้วไม่เคยรักษาอาการได้เลยแม้จะเป็ครั้งนี้ก็ตาม
หนิงอ้ายใช้เวลาซึมซับแผ่ซ่านประสาทััเพื่อรับรู้ถึงพลังปราณที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ เพื่อจะได้เรียนรู้และเข้าใจอักขระเวทย์มากยิ่งขึ้น ทั่วทั้งมหาพิภพแห่งนี้อันประกอบด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีปล้วนถูกเรียงร้อยถักทอด้วยอักขระเวทย์แฝงไว้ทั้งสิ้น บางชนิดเป็อักขระเวทย์ดั้งเดิม บ้างก็เป็อักขระเวทย์ผันแปรที่เกิดจากการวมประสานเกิดใหม่ การเริ่มต้นอีกฝ่ายให้เริ่มเรียนรู้ั้แ่รากฐานเช่นนี้จะทำให้ผู้ฝึกฝนนั้นเข้าใจในศาสตร์แห่งอักขระเวทย์ได้อย่างถ่องแท้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลายและเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอักขระเวทย์ได้เร็วมากยิ่งขึ้น
เป็เวลาเกือบหนึ่งปีที่หนิงอ้ายเรียนรู้ในพื้นฐานของศาสตร์แห่งอักขระจนในที่สุดก็สามารถยึดกุมบัญชาการความพิศดารยามที่เรียกใช้ ไม่ว่าจะเป็การนำอักขระเวทย์นี้ประสานเข้ากับการสร้างม่านพลังป้องกัน การสร้างค่ายกลในรูปแบบต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการหยิบยืมพลังปราณจากธรรมชาติผ่านอักขระเวทย์เหล่านี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ อย่างไรหนิงอ้ายเองก็ไม่ได้ละทิ้งการฝึกฝนเพิ่มพูนพลังลมปราณรวมไปถึงยังคงฝึกฝนร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ด้วย่อายุสิบสามปีกับรากฐานพลังราชทินนามราชันิญญาขั้นกลางเช่นนี้ กล่าวว่าหนิงอ้ายนั้นเป็สุดยอดผู้ฝึกตนที่มีความก้าวหน้าทางพลังิญญาที่โดดเด่นยิ่ง
จากนั้นเสวี่ยจิงจึงได้เริ่มสั่งสอนถ่ายทอดวิชาเกี่ยวกับการหลอมสร้างปรุงโอสถให้แก่หนิงอ้ายอย่างไม่ห่าง องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการปรุงโอสถทั้งหมดล้วนถูกส่งต่ออย่างไม่หวงแหนเลยเพียงนิด แม้ว่าบางสิ่งจะมีรากฐานคล้ายคลึงกับดินแดนเดิมที่หนิงอ้ายเคยได้เรียนรู้จากเหวินหวู่ในก่อนหน้าก็จริง ทว่าสิ่งนี้ถือเป็อีกหนึ่งสุดยอดวิถีหลอมสร้างปรุงโอสถที่มีความพิศดารเหนือล้ำยิ่งกว่าสายวิชาโอสถทั่วไปมากหลายเท่า ดังนั้นหนิงอ้ายจึงใช้เวลาอีกสามปีให้หลังจึงสามารถเรียนรู้และเข้าใจในวีถีหลอมสร้างปรุงโอสถนี้ได้สำเร็จในที่สุด
่เวลาที่ผ่านมาแม้หนิงอ้ายจะทุ่มเทไปกับการศึกษาเรียนรู้ทางวิถีโอสถจนแตกฉานเทียบเท่าได้กับนักปรุงโอสถระดับเจ็ด กับพลังิญญาร่างกายยามนี้ก็เป็ถึงราชทินนามราชันิญญาขั้นกลางย่างก้าวขั้นสูงผู้หนึ่งแล้วเช่นกัน กลิ่นอายของหนิงอ้ายเหนือล้ำอย่างแท้จริงต่อให้ต้องปะทะกับมือกับผู้ฝึกตนข้ามขั้นย่อยก็ไม่อาจเพลี่ยงพล้ำได้โดยง่าย มากไปกว่านั้นเสวี่ยจิงยังคงถ่ายทอดวิชายุทธ์ประจำตัวและช่วยดัดแปลงวิชายุทธ์ของหนิงอ้ายยกระดับความรุนแรงให้เพิ่มขึ้นไม่น้อย ยามนี้เคล็ดวิชายุทธ์เหล่านี้ที่หนิงอ้ายอยู่ล้วนอยู่ในเขตขั้นาทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามยังคงถูกจำกัดด้วยรากฐานพลังลมปราณที่หนิงอ้ายอยู่ หลังจากสั่งสอนความรู้ตลอดระยะเวลาสามปีเสวี่ยจิงจึงมอบหมายให้หนิงอ้ายออกเดินทางหาประสบการณ์ด้วยตนเองเป็เวลาหนึ่งปีก่อนจะกลับมารับการฝึกฝนส่วนตัวกับม่อเหยียนก่อนจะกลับดินแดนเดิมในอีกสามปีหลังจากนี้...
“หลายสิ่งหลายอย่างในดินแดนนี้มีความพิสดารลึกล้ำไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง หลังจากนี้หนึ่งปีเ้าย่อมเก็บเกี่ยวดอกผลเพื่อเพิ่มพูนพลังฝีมือของน้องพี่ได้มากมายเป็แน่...แล้วกระดูกิญญาที่เ้าได้รับไปจากท่านแม่เล่า หลังจากดูดซับประสานเข้ากับร่างกายแล้วรู้สึกผิดปกติหรือติดขัดตรงที่ใดหรือไม่??” ฟานหลิงเอ่ยถามขึ้น
“ข้ารู้สึกปกติดีขอรับ กระดูกิญญาที่ได้รับจากท่านน้าฟางเยว่ นับเป็กระดูกิญญาอายุแสนปีที่ยอดเยี่ยมไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง ข้ารู้สึกว่าสิ่งนี้ยังส่งเสริมให้การเคลื่อนไหวยามออกท่าร่างวิชาตัวเบายังมีความเร็วที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า” หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความยินดี
“ไม่คาดคิดว่ากระดูกิญญาของจิ้งจอกเหมันต์เก้าหางที่เ้าได้รับไป เมื่อผสานเข้ากับความลึกล้ำของกระดูกิญญาอายุล้านปีรวมไปถึงพลังของสายเืของเ้าจะส่งเสริมให้กระดูกิญญาชิ้นนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยอาณุภาพที่ลึกล้ำถึงเพียงนี้...” ฟานหลินรู้สึกดีใจเป็อย่างมากที่มารดาของเขามอบกระดูกิญญาชิ้นนี้ให้แก่หนิงอ้าย แม้โดยปกติทั่วไปแล้วกระดูกิญญาของจิ้งจอกเหมันต์เก้าหางนั้นจะไม่สามารถดูดซับประสานกับร่างกายได้โดยง่าย ทว่ากับหนิงอ้ายที่ได้รับน้ำนมของมารดาของเขาไปั้แ่ยังเป็ทารกจึงทำให้ร่างกายนี้ไม่ต่อต้านกระบวนการดังกล่าวเลยเพียงนิด
แน่นอนว่ายามนี้ฟานหลินก็กลายเป็ชายหนุ่มอายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปีคนหนึ่งที่มีใบหน้างดงามหล่อเหลาสมเป็บุรุษมีส่วนคล้ายคลึงกับผู้เป็บิดาไม่มากกว่าเจ็ดส่วนเลยทีเดียว มากไปกว่านั้นแล้วพลังฝีมือก็เหนือล้ำไม่ธรรมดาด้วยรากฐานพลังิญญาบ่มเพาะในเขตขั้นราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาขั้นต้น ่เวลาที่หนิงอ้ายเก็บตัวฝึกฝนนั้นทางฝั่งของฟานหลิงเองก็เก็บตัวฝึกฝนยกระดับฝีมือของตนเองเช่นกัน ด้วยฐานะของรัชทายาทที่อยู่นั้นอีกฝ่ายจึงต้องเร่งฝึกฝนให้ได้มากที่สุด กลิ่นอายของราชทินนามเทพยุทธ์ิญญาที่แผ่ซ่านออกมานั้นกล่าวว่าช่างกล้าแกร่งอย่างแท้จริง
“การออกหาประสบการณ์ครั้งนี้เ้าตั้งใจจะไปทิศทางใดกัน??”
“ฟังว่ามหาสมุทรทะเลทางเหนือนั้นเต็มไปด้วยสมุนไพรวิเศษหลากหลายชนิด ข้าตั้งใจว่าจะเก็บเกี่ยวกลับไปให้ได้มากที่สุด หากกลับไปยังดินแดนเดิมแล้วข้าจะได้ปลูกสมุนไพรเหล่านี้ด้วยขอรับ”
“มหาสมุทรทะเลทางเหนือถือว่าอยู่ไกลจากที่นี่ไม่รู้กี่เท่า คงต้องใช้เวลาเดินทางนับเดือนกว่าจะไปถึง เช่นนั้นพวกเราค่อยเดินทางกันขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่เร่งรีบ ถือว่าเป็การเที่ยวพักผ่อนก่อนเ้ากลับดินแดนเดิมด้วยดีหรือไม่??”
“เป็ท่านพี่ฟานหลิงที่ยังรู้ใจข้ามากที่สุด เช่นนั้นเอาตามนี้ขอรับ...” หนิงอ้ายยิ้มระบายออกมาอย่างถูกใจ ตลอดระยะเวลาสิบหกปีมานี้น้อยครั้งที่เขาจะออกเดินทางไปข้างนอก ฟานหลิงเมื่อเห็นว่าพวกเขาเตรียมพร้อมแล้วจึงตวัดเรียกเรือเหาะโลหะออกมาอีกครั้ง ก่อนจะปราดร่างขึ้นท้องฟ้าด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาประจำตัวขึ้นประจำการในเรือเหาะดังกล่าว พลังปราณอันลึกล้ำของฟานหลิงถูกเรียกใช้อีกครั้งก่อนจะบังคับให้เรือเหาะพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วขั้นสุดยอด
เป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้คือมหาสมุทรทะเลทางเหนือ ดินแดนอันแปลกประหลาดของเหล่าสัตว์อสูรหลายเผ่าพันธ์ที่มีความสามารถโดดเด่นด้านพลังป้องกันที่มีความคงทนอย่างมาก ที่แห่งนั้นนับว่าเป็อีกสถานที่ที่มีพลังลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์รุนแรงเข้มข้น ประกอบไปด้วยผู้ปกครองหมู่เกาะทั้งเก้าที่โดดเด่นทางวิชายุทธ์ป้องกัน หนึ่งในเหตุหลักที่หนิงอ้ายเลือกเดินทางไปยังที่นั่นคือการเสาะหากระดูกิญญาสายป้องกันที่ยอดเยี่ยมที่สุด ระหว่างทางหากพบเจอสมุนไพรวิเศษก็นำกลับไปฝึกฝนหลอมสร้างปรุงโอสถหรืออาจเก็บไปยังดินแดนเดิม และที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือการเก็บเกี่ยวสร้างประสบการณ์ที่แท้จริง ในเมื่อเขาได้มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วจึงสมควรใช้ชีวิตนี้ให้เต็มที่มากที่สุด
ใช้เวลาสองถึงสามเดือนมานี้หนิงอ้ายกับฟานหลิงออกเดินทางด้วยเรือเหาะวิเศษเหินทะยานลัดฟ้ามาจนถึงเกาะหนึ่งที่มีเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ฟังว่าเมืองนี้เป็ดั่งเมืองท่าที่เป็ด่านหน้าปราการเพื่อเข้าสู่เขตแดนของมหาสมุทรทะเลทางเหนือ ดังนั้นทั้งสองจึงจำเป็ต้องเดินเท้าเพื่อผ่านเมืองนี้ก่อนแล้วค่อยเดินทางตามวิธีเดิมด้วยเพราะกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ อย่างไรหนิงอ้ายคิดว่าเป็แบบนี้ก็ดีแล้วเพราะถือว่าเป็การพักผ่อนถนอมพลังลมปราณร่างกายไปด้วยเช่นกัน
“แต่ละอาณาจักรทั้งเก้ามีระยะห่างกันไม่น้อย จุดหมายของพวกเรานั่นคืออาณาจักรต้าเหลียงจิ่วใช่หรือไม่ขอรับ??” หนิงอ้ายกล่าวขึ้นพร้อมกับกางแผนที่ที่ได้รับมาก่อนหน้า อาณาจักรต้าเหลียงจิ่วอยู่ค่อนข้างไกลเลยทีเดียว แม้กระทั่งฟางเยว่ ผู้เป็มารดาของฟานหลิงยังเคยไปเยือนไม่กี่ครั้ง ยังดีที่อีกฝ่ายได้สอบถามเื่ราวที่พอจดจำได้อย่างละเอียดและจดบันทึกไว้เรียบร้อย
“อาณาจักรต้าเหลียงจิ่วเป็อีกหนึ่งดินแดนทางเหนือที่อุดมไปด้วยวิชายุทธ์ สมุนไพรรวมไปถึงสมบัติวิเศษสายป้องกันที่ขึ้นชื่อเป็อย่างยิ่ง สำหรับกระดูกิญญาที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการป้องกันคงต้องเสาะหาจากเผ่าพันธ์ที่มีความเป็มาไม่สามัญหรือมีความพิเศษทางสายเื หากเป็สัตว์อสูรเผ่าพันธุ์ที่มีอายุยืนยาวก็คงดีไม่น้อยเช่นกัน” ฟานหลิงกล่าวตามสิ่งที่พอรับรู้ออกมา
“เป็ไปได้หรือไม่ขอรับหากข้า้ากระดูกิญญาของอสูรแมงป่องคชสารเพลิงอัคคี ฟังว่าความแข็งแกร่งของเกล็ดหนังที่ปกคลุมอยู่นั้นต่อให้เป็เปลวเพลิงหนืดใต้มหาพิภพก็ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ในเวลาสั้น ๆ บรรดาเครื่องรางป้องกันหรือเครื่องประดับที่ถูกสลักด้วยอักขระเวทย์ล้วนใช้เกล็ดของอสูรแมงป่องคชสารเพลิงอัคคีนี้ทั้งสิ้น ยิ่งหากว่าได้โลหิตและไขกระดูกด้วยแล้วยังสามารถนำมาปรุงเป็โอสถที่มีอาณุภาพปกป้องร่างกาย แม้สิ่งนี้จะดูเลิศล้ำมากก็จริง ทว่าอย่างไรแล้วอสูรแมงป่องคชสารเพลิงอัคคีนี้ก็ไม่อาจพบเจอได้ง่าย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการกำราบได้เลยเพราะคงเป็สัตว์อสูรที่มีระดับไม่อ่อนด้อยกว่าอสูรมายาขั้นสูง...” หนิงอ้ายถามด้วยความกังวลเล็กน้อย
“สิ่งที่เ้าควรกังวลนั้นหาใช่เื่ที่ว่าจะพบเจอได้หรือไม่ ด้วยเพราะเผ่าพันธุ์อสูรแมงป่องคชสารเพลิงอัคคี ได้อาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรต้าเหลียงจิ่ว ที่เผ่าพันธ์ัพสุธารัตนพิภพ ซึ่งถือว่าเป็อีกหนึ่งเผ่าพันธุ์ชั้นสูงเทียบเท่ากับเผ่าพันธ์จิ้งจอกเหมันต์เก้าหางปกครองดูแลอยู่ อีกทั้งยังอาศัยอยู่ใกล้เขตพื้นที่หวงห้ามด้วยเพราะบ่อน้ำอมฤตอัคคีกาฬทมิฬเป็อีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการกระจายพลังปราณธาตุไฟอันเข้มข้น ว่ากันว่าหากผู้ฝึกตนปราณธาตุไฟได้ลงไปแช่ตัวในบ่อดังกล่าวนั้น เพียงแต่หนึ่งเดือนก็สามารถเพิ่มพูนพลังปราณธาตุได้ไม่รู้กี่เท่า ทว่าบ่อนั้นก็มีเงื่อนไขที่จำกัดให้เพียงเชื้อสายของเผ่าพันธ์ัพสุธารัตนพิภพที่คู่ควรเท่านั้น...” ฟานหลิงเอ่ยเสริมขึ้นด้วยความเคร่งเครียดเล็กน้อย
“ช่างเป็สถานที่บ่มเพาะที่ลึกล้ำยิ่งนัก เช่นนี้แล้วเผ่าพันธ์ัพสุธารัตนพิภพคงอาศัยบ่อน้ำอมฤตอัคคีกาฬทมิฬนี้ในการยกละดับพลังสายโลหิตและพลังปราณธาตุในร่างกายใช่หรือไม่ขอรับ??” หนิงอ้ายถามออกไปด้วยความสงสัยอย่างคาดเดา
“หากเป็ก่อนหน้านี้หลายร้อยพันปีเื่ราวย่อมเป็ไปตามที่เ้าเข้าใจ ทว่าในระยะให้หลังมานี้ สถานที่ดังกล่าวได้ถูกปิดกั้นอย่างแ่าโดยห้ามไม่ให้ผู้ใดที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าย่างกรายใกล้ได้ทั้งสิ้น องค์ราชันย์ัพสุธารัตนพิภพได้ชักนำกระแสพลังปราณพิศดารของบ่อน้ำอมฤตอัคคีกาฬทมิฬนี้มาหล่อเลี้ยงร่างกายขององศ์รัชทายาทที่ได้พลาดท่าถูกพิษประหลาดจากสัตว์อสูรใต้น้ำลึกจากภารกิจในครั้งนั้น โดยที่อาศัยพลังสายนี้นำมาชะลอพิษดังกล่าวไม่ให้กลืนกินทำลายร่างกายไปมากกว่านี้ ดังนั้นการเข้าใกล้สถานที่นี้เป็เื่ที่ยากมาก นอกเสียจากเ้าจะมีสิ่งที่แลกเปลี่ยนกับองค์ราชันย์ัพสุธารัตนพิภพได้เหมาะสมเท่าเทียมจึงพอจะแลกเปลี่ยนยื่นข้อเสนอได้...”
“องศ์รัชทายาทถูกพิษประหลาดอย่างนั้นรึ ท่านพี่ฟานหลิงพอทราบข้อมูลมากกว่านี้หรือไม่ขอรับ??”
“เื่นี้ถูกเก็บไว้เป็ความลับอย่างยิ่งยวด อย่างที่เ้าพอรับรู้ว่าจากภายนอกแม้ดูเหมือนว่าอาณาจักรทั้งเก้าจะรักใคร่ปรองดอง ทว่าความจริงแล้วคลื่นใต้น้ำยังคงดุเดือดอย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนว่าตลอด่เวลาที่ผ่านมาองค์ราชันย์ัพสุธารัตนพิภพได้เชื้อเชิญนักปรุงโอสถจากอาณาจักรใกล้เคียงมารักษาแล้ว ทว่ากับทำได้เพียงประครองร่างกายขององศ์รัชทายาทเพียงเท่านั้นไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ หากกล่าวตามตรงแล้วท่านลุงเสวี่ยจิงย่อมสามารถปรุงโอสถแก้พิษได้อย่างไม่ยากนัก แต่อย่างที่เ้าทราบดีว่าอุปนิสัยของนักปรุงโอสถนั้นยากที่จะคาดเดาได้ ยิ่งกับเทพโอสถาแล้ว ใคร่จะร้องขอกันง่าย ๆ คงไม่ใช่เื่ที่กระทำได้ง่ายถึงเพียงนั้น...” เมื่อสดับฟังดังนั้นหนิงอ้ายแม้จะไม่มั่นใจสักเท่าไหร่แต่เขาเชื่อว่าตอนนี้เขาย่อมมีสิ่งต่อรองที่คู่ควรแล้ว...
**ั้แ่บทที่126 ถึงบทที่145 ไรท์ขออนุญาติติดเหรียญอ่านล่วงหน้ารายตอนพร้อมแจ้งวันอ่านฟรีนะครับ (ตอนละ 2 เหรียญ) **