เสิ่นเยี่ยนจำได้ในทันทีว่าชายสองคนนี้เป็ชายหนุ่มที่มาบ้านของลุงใหญ่เพื่อส่งมอบเงินให้ และเป็คนของตระกูลเซี่ยอีกด้วย มีความเป็ไปได้สูงที่จะเป็คนสนิทของชายคนนั้น
“ขอโทษด้วย พวกข้าจำคนผิดแล้ว” ชายหนุ่มที่จำคนผิดประสานมือขออภัย
“เหตุใดแผ่นหลังถึงคล้ายกันนัก?” อีกคนพึมพำ
เสิ่นเยี่ยนไม่สนใจทั้งสองคน เขาเดินผ่านคนทั้งคู่ไปที่รถม้าด้วยสีหน้าเ็า
“ผู้หญิงคนนั้น ข้าเคยเห็นนางมาก่อน” ชายหนุ่มที่จำคนผิดเห็นม่านรถม้าถูกลมพัดขึ้น หญิงสาวรูปงามคนหนึ่งรับถังหูลู่จากในมือของบุรุษที่มีแผ่นหลังคล้ายกับท่านแม่ทัพ แม้จะเป็เพียงใบหน้าด้านข้างก็ตาม “ยังจำวันที่พวกเราเอาเงินไปให้ที่บ้านสกุลเสิ่นกันได้ไหม?”
“พอเ้าพูดแบบนี้ ข้าก็พอจะจำได้แล้ว เหมือนชายคนนี้ก็อยู่ด้วย”
“หญิงคนนี้ข้าจำได้ไม่ผิดแน่” เขาติดตามท่านแม่ทัพอยู่ชายแดนมาหลายปี มีสาวงามไม่มากนัก โดยเฉพาะคนที่ทั้งอ่อนหวานและขาวนวลเช่นนี้ ดังนั้นแค่มองปราดเดียวก็จำได้แล้ว แต่ด้วยเพราะอยู่ที่บ้านของคนอื่น เขาจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรมาก
“เ้าว่าชายหนุ่มคนนั้นคงไม่ใช่บุตรลับๆ ของท่านแม่ทัพเรากระมัง?”
“ถ้าท่านแม่ทัพได้ยินเ้าพูดเช่นนี้ เ้าต้องถูกลงโทษแน่” ทั้งสองหัวเราะร่วน เมื่อพวกเขาเดินมาถึงชั้นสองของโรงน้ำชาซูจี้ พวกเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็เคร่งขรึม “ท่านแม่ทัพ พวกเรามาแล้วขอรับ”
ชายหนุ่มดูเคร่งขรึมและเ็า ยามช้อนตาขึ้นดวงตานั้นเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “มาช้า”
“เรียนท่านแม่ทัพ ระหว่างทางพวกเราจำคนผิดไปขอรับ” เขาเล่าเื่ราวเมื่อครู่ให้ท่านแม่ทัพฟังอย่างละเอียด
“ด้านหลังคล้ายข้ามากงั้นหรือ?”
“ใช่ขอรับ ถ้าไม่มองให้ละเอียด ก็ดูไม่ออกจริงๆ ขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความละอาย
เซี่ยอวิ้นหรี่ตาลงอย่างแปลกใจ ั้แ่เขากลับมาถึงเมืองหลวง ก็มีคนจำผิดเป็ครั้งที่สองแล้ว หากเป็คนอื่นที่ไม่รู้จักเขาก็ยังพอว่า แต่นี่กลับเป็รองแม่ทัพที่ติดตามเขามาตลอด นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
“ไปสืบหารายละเอียดของเขามา” เขาอยากรู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของชายคนนั้น
“ขอรับ”
ทันทีที่คนตระกูลเสิ่นเข้ามาในบ้านของป้าใหญ่ ก็ได้ยินเสียงร้องของพี่สะใภ้รองดังมาจากภายในห้อง และยังมีเสียงของหมอตำแยดังมาว่า ‘หายใจลึกๆ หายใจ...’
“เป็ยังไงบ้าง?” นอกจากป้าใหญ่แล้ว ทั้งครอบครัวของลุงใหญ่ก็รออยู่นอกประตูอย่างใจจดใจจ่อ
“หมอตำแยบอกว่าตำแหน่งของเด็กยังคลอดไม่ได้ ต้องรอสักหน่อย อาจต้องทนเจ็บไปสักสองสามชั่วยามก่อน” ลุงใหญ่กล่าว
กู้เจิงเห็นญาติๆ คนอื่นต่างเดินไปเดินมา ด้วยสีหน้าและแววตาตึงเครียด นางรู้สึกว่าพี่สะใภ้รองได้แต่งกับผู้ชายที่ดี เมื่อเทียบกับบิดาที่ไม่สนใจอะไรของเด็กเลี้ยงวัวคนนั้น เสิ่นตงเถียนช่างโชคดีจริงๆ ในใจของนางนึกเป็ห่วงเื่การคลอดบุตรในอนาคตของตัวเอง และรู้สึกว่าเื่นี้ยังห่างไกลนัก
“อาเจิง อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งไป รีบไปเอาอาหารมาเร็วเข้า” นายหญิงเสิ่นกล่าวเตือนขึ้น
กู้เจิงรีบตอบรับแล้วเดินไปหยิบตะกร้าในรถม้า เสิ่นเยี่ยนก็ช่วยเอาตะกร้าทั้งหมดออกจากรถม้า
ยามใกล้เที่ยง ป้ารองและป้าสามก็มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน ถงซื่อยังคงนอนรอเวลาคลอดอยู่
“ข้าว่าดูแล้วกว่าจะคลอดคงอีกนาน” ป้ารองกล่าว
“รีบคลอดมาได้ก็ดี ทนเจ็บสักหน่อยก็เรียบร้อยเอง” ป้าสามถอนหายใจ
ป้ารองไม่คิดว่าเพียงประโยคเดียวของตนจะทำให้น้องสะใภ้สามทอดถอนใจ รีบเอ่ยว่า “ถึงจะพูดเช่นนี้ ก็เป็เื่ของชีวิตคน ตอนที่น้องสะใภ้สี่คลอดอาเยี่ยนนั้นอันตรายยิ่งนัก ตอนนั้นน้องสี่ใจนไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน”
เมื่อพูดถึงเสิ่นเยี่ยน กู้เจิงก็ตั้งใจฟังทันที
นายหญิงเสิ่นกำลังนำข้าวที่ซาวแล้วใส่ในหม้อ นางไม่ได้เทน้ำซาวข้าวทิ้ง แต่เทใส่ในถังอีกใบตามความเคยชิน หากอยู่ที่บ้าน น้ำซาวข้าวพวกนี้จะใช้รดน้ำผักและดอกไม้เล็กๆ ในสวน พอได้ยินป้ารองพูดเช่นนี้ ก็ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เื่ในอดีตมีอะไรน่าพูดถึงกัน”
“เล่าให้ฟังสักหน่อยเถอะ” ป้าสามกล่าว “ครั้งก่อนเ้าบอกว่าน้องสี่ช่วยทำคลอดอาเยี่ยน ข้าเลยอยากรู้มาก”
กู้เจิงพยักหน้าอยู่เนืองๆ นางก็อยากรู้เื่ราวเช่นกัน
“เ้าสี่ของเราเป็คนยอดเยี่ยมคนหนึ่ง บอกว่าจะไปที่ชายแดนเพื่อซื้อเมล็ดพันธุ์ที่ต้าเยว่ของเราไม่มีมาปลูก วันหน้าจะได้ร่ำรวย แต่เขาไม่ได้ซื้อเมล็ดพันธุ์กลับมา แต่กลับพาภรรยาที่ใกล้คลอดกลับมาด้วยแทน” ป้ารองหั่นผักพร้อมเล่าไปด้วย “ตอนนั้นพวกเรากำลังทำนาอยู่ที่บ้าน คนในหมู่บ้านบอกว่าเ้าสี่วิ่งกลับมา และพาหมอตำแยในหมู่บ้านวิ่งเข้าไปในูเา ข้ากับพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ฟังแล้วไม่ค่อยเชื่อ จึงไปทีู่เาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ถึงได้รู้ว่าที่แท้เป็น้องสะใภ้สี่กำลังคลอดอาเยี่ยนอยู่”
“อาเยี่ยนเกิดในูเาหรือ?” ป้าสามพอจะจินตนาการถึงความตื่นตระหนกของน้องสี่ได้
“ใช่แล้ว ทั้งยังคลอดยากมาก พวกเ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นน้องสะใภ้สี่ร่างกายอ่อนแอแค่ไหน เ้าสี่ก็จริงๆ เลยเชียว ตลอดทางต้องคอยระวังมาตลอด พอถึงหน้าูเาน้ำคร่ำก็แตกพอดี เ้าสี่ก็ไม่รู้จักไปเรียกคนมาช่วย เขาทำคลอดให้เอง”
กู้เจิงเอาฟืนใส่ในเตาและมองแม่สามีแวบหนึ่ง นางเห็นแม่สามีฟังเงียบๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉย มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร พอเห็นว่านางกำลังมอง ก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
กู้เจิงยกนิ้วโป้งให้นาง
ป้ารองเล่าต่อว่า “หลังจากเบ่งคลอดอยู่นาน น้องสะใภ้สี่ก็หมดแรงจนสลบไป น้องสี่ถึงได้ลงจากเขาไปเรียกหมอตำแยในหมู่บ้าน พอหมอตำแยมาถึงก็บอกว่าไม่ได้การแล้ว เด็กคลอดออกมาไม่ได้ ยังไงก็รักษาไว้ไม่ได้ เ้าสี่ใจนร้องไห้ ข้าแต่งเข้าตระกูลเสิ่นมาหลายปี นี่เป็ครั้งแรกที่ได้เห็นเ้าสี่ร้องไห้เสียใจมากขนาดนี้”
“เช่นนั้นคลอดเขาออกมาได้ยังไงเ้าคะ?” กู้เจิงฟังแล้วใจเต้นระรัว
นายหญิงเสิ่นเอ่ยปากบอกด้วยความซาบซึ้งใจ “เป็ลุงใหญ่กับลุงรองของเ้าที่รวบรวมเงินทั้งหมดจากทั้งสองครอบครัวมาซื้อโสมร้อยปีให้ข้า พอได้กินโสมนั้นเข้าไปข้าถึงได้มีกำลัง”
“ย่อมต้องเป็อย่างนั้นอยู่แล้ว” ป้ารองยิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน แต่ถึงพวกเราจะมีโสมร้อยปี น้องสะใภ้สี่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานไม่น้อย เพราะนางต้องถูกผ่าคลอด”
กู้เจิงเคยได้ยินมาว่าตอนสตรีให้กำเนิดบุตร หากคลอดเด็กออกมาไม่ได้ก็ต้องผ่าคลอด มีคนบอกว่าหากผ่านการผ่าตัดนี้ไปร่างกายจะอ่อนแอไปทั้งชีวิต
“พี่สะใภ้รองมาเล่าเื่นี้ทำไมกัน?" นายหญิงเสิ่นเห็นสีหน้ากังวลของลูกสะใภ้จึงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “อาเจิงเสียขวัญหมดแล้ว”
“ไอโยว ดูปากข้าสิ” ป้ารองรีบปลอบขวัญกู้เจิง “เ้าไม่ต้องกลัว มีผู้หญิงตั้งมากมายที่คลอดลูกได้อย่างราบรื่น ตอนนั้นนางอยู่ในูเา แต่เ้ามีพวกเราอยู่ข้างๆ มันไม่เหมือนกัน”
กู้เจิงพยักหน้า ในใจเอาแต่คิดว่า ‘ใช่ ใช่’
ถึงเวลาทานข้าวกลางวัน ถงซื่อก็ยังไม่ได้คลอดลูกออกมา ป้าใหญ่ออกมาบอกว่าแม้แต่ปากมดลูกยังไม่เปิดเลย นางรีบตักข้าวกินก่อนจะรีบกลับเข้าไปในห้องคลอด
หลังจากคนอื่นๆ ทานข้าวกันเสร็จ เสิ่นเยี่ยนก็เรียกกู้เจิงออกไปเดินเล่นด้วยกัน ั้แ่มาถึงบ้านของลุงใหญ่ กู้เจิงมีสีหน้าตึงเครียดมาโดยตลอด แต่หลังจากได้ออกมาเดินเล่น สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลง
ชุนหงไม่ได้ตามกู้เจิงออกมาด้วย นางบอกว่าอยากอยู่รอดูพี่สะใภ้รองคลอดลูก
สองสามีภรรยาเดินเล่นเข้าไปในร้านขายด้าย
เสิ่นเยี่ยนยืนมองกู้เจิงเลือกด้าย บางครั้งภรรยาก็หันมาส่งยิ้มหวานให้เขา
“ลูกค้าทั้งสองน่าจะเพิ่งแต่งงานได้ไม่นานกระมัง” เสี่ยวเอ้อร์ของร้านเดินเข้ามาทัก
“นี่เ้าก็ดูออกหรือ?” กู้เจิงถาม
“แน่นอนขอรับ”
กู้เจิงหันมองไปทางเสิ่นเยี่ยน
เสิ่นเยี่ยนทำหน้าไม่ถูก เขาไม่คิดว่ากู้เจิงจะหันมองเขาตรงๆ เขาออกจะหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง
ในสายตาของกู้เจิง ผู้ชายคนนี้ยังคงเ็าเช่นเคย แต่มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ดูเขินอายอยู่บ้าง