เมิ่งอู่หยักมุมปากพลางจัดชายเสื้อให้ตรงราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น จากนั้นจึงเดินไปที่ประตูหลังบ้านสกุลซวี่ แล้วยกมือเคาะประตู
ไม่นานนักก็มีคนมาเปิดประตู ก่อนมองเมิ่งอู่ด้วยสายตาแปลกใจ
แม่เฒ่าพาลูกน้องสองคนแอบดูอยู่ตรงหัวมุม เห็นเพียงเมิ่งอู่พูดคุยอะไรบางอย่างกับคนบ้านสกุลซวี่ไกลๆ ก่อนที่คนบ้านสกุลซวี่จะปิดประตูลงอีกครั้ง
เมิ่งอู่ไม่ได้จากไป ยืนรออยู่หน้าประตูสักพัก จนกระทั่งแม่เฒ่าเริ่มจะหมดความอดทน ประตูก็เปิดออกอีกครา
คราวนี้คนที่เปิดประตูเป็บุรุษวัยกลางคน คาดว่าน่าจะเป็ผู้คุมงานของสกุลซวี่
เมิ่งอู่พูดคุยกับผู้คุมงานพลางหันไปชี้แม่เฒ่าที่อยู่ตรงหัวมุม
แม่เฒ่าทุกข์ทรมานจากการมองเห็นแต่ได้ยินไม่ชัดว่าพวกเขาพูดคุยอันใดกัน เมื่อผู้คุมงานมองนาง นางจึงพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มเป็มิตรให้โดยไม่รู้ตัว
ผู้คุมงานพยักหน้าเช่นกัน บอกให้เมิ่งอู่พาแม่เฒ่าเข้ามา ส่วนลูกน้องสองคนนั้นถูกทิ้งให้นั่งอยู่ตรงหัวมุมต่อไป
ผู้คุมงานหันหลังเดินเข้าเรือน กล่าวว่า “พวกเ้าทั้งสองคนตามข้าเข้ามา”
เมิ่งอู่ก้าวเข้าบ้านสกุลซวี่ทางประตูหลัง นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้เห็นสวนหลังเรือนของคหบดีในสมัยโบราณ มองไปทางใดก็เห็นแต่ดอกไม้ใบหญ้าต้นไม้หลากสีสัน ช่างพิถีพิถันจริงๆ
เมื่อมาถึงลานเรือน ผู้คุมงานก็เรียกบ่าวรับใช้ของตระกูลซวี่คนหนึ่ง ก่อนชี้ไปที่เมิ่งอู่เอ่ยว่า “พานางไปที่ห้องบัญชีก่อน”
ผู้คุมงานเหลียวกลับมามองแม่เฒ่า กล่าวว่า “เ้าตามข้ามาลงนามเป็หลักฐาน”
แม่เฒ่างุนงงอยู่บ้าง เมิ่งอู่จึงยิ้มใสซื่อให้นางก่อนเอ่ย “ท่านแม่ไปก่อนเถิด หาก้ารับเงินก็ต้องลงนามเป็หลักฐานก่อน รอข้าไปรับเงินที่ห้องบัญชีแล้วจะมาหาท่านแม่นะเ้าคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น แม่เฒ่าก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล จึงเดินตามผู้คุมงานไปอย่างสับสนมึนงง ส่วนเมิ่งอู่ก็ตามบ่าวรับใช้ไปรับเงินห้าตำลึงที่ห้องบัญชี
เมื่อได้เงินมาแล้ว เมิ่งอู่ก็กลับไปยังที่ที่นางจากมา
ซวี่เฉินฟางบุตรชายคนรองของตระกูลซวี่ที่ผู้คุมงานจางพาคนออกตามหาทั่วเมือง เวลานี้กลับเดินเข้ามาทางประตูหลังบ้านสกุลซวี่อย่างสบายอารมณ์ ระหว่างทางเขาหมุนพัดคลี่เล่นอย่างคล่องแคล่วระหว่างนิ้ว ไม่รู้ว่าไปเที่ยวสนุกที่ใดมา บนกายอวลกลิ่นสุราจางๆ แต่ไม่ทำให้คนสำลัก
เมิ่งอู่ไม่คาดคิดว่าหลังเดินผ่านสวนหลังเรือนมาแล้ว จู่ๆ ก็จะมีคนเดินสวนมาชนนางเข้าพอดีตรงหัวมุม
พัดคลี่ร่วงหล่นลงพื้น เสียงหยกประดับบนพัดกระทบกันดังกังวานชัดเจน
คนผู้นี้ตัวสูงกว่านางมาก เมิ่งอู่เห็นเพียงชายเสื้อคลุมสีแดงเข้มพลิ้วไหว ท่ามกลางกลิ่นสุราจางๆ ยังมีกลิ่นคลุมเครือคล้ายชะมดและกล้วยไม้เจืออยู่
คราแรกเมิ่งอู่คิดว่า นางคงเดินชนคุณหนูคนงามคนใดเข้า
แต่คุณหนูที่สูงกว่านางมากจนศีรษะของนางอยู่แค่ระดับหน้าอกของอีกฝ่ายนั้นหาได้พบเห็นบ่อยนัก
ที่พบเห็นยากยิ่งกว่าก็คือคุณหนูผู้นี้ดูเหมือนจะ… ไม่มีทรวงอก
เมิ่งอู่ก้มลงเก็บพัดคลี่ ั์ตาที่มองเห็นแต่ความงามของนางไม่ได้หยุดทำงาน นางอาศัยจังหวะที่กำลังเก็บพัด มองสำรวจคนผู้นี้ั้แ่เท้าขึ้นไป
ขาเรียวยาวคู่นี้ คาดเข็มขัดหยกรอบเอว หน้าอกแบนราบไปสักหน่อย ชายเสื้อหลวมเล็กน้อย แต่ไม่เกะกะ กลับเสริมเสน่ห์ยิ่งขึ้น...
เมิ่งอู่เห็นคางขาวผ่องของคนผู้นี้ จากนั้นจึงไล่สายตาขยับขึ้นไปยังวงหน้าของเขา สุดท้ายก็สบตากับดวงตาคู่งามของเขาที่กำลังมองนางอยู่ นางเหลือบมองลำคอของเขาเพื่อยืนยันซ้ำๆ ก่อนแอบอุทาน “โอ้แม่เ้า!”
เบื้องหน้านางเป็บุรุษที่มีเรือนผมดำขลับ ผิวขาวดุจหยก รูปงามเป็เอก...
โดยเฉพาะั์ตาทั้งคู่เปล่งประกายระยิบระยับดั่งดวงดาวบนนภา งดงามยิ่งนัก
ซวี่เฉินฟางก็มองสำรวจเมิ่งอู่เช่นกัน นางไม่ใช่คนในเรือน แต่เขาเป็คนไม่ถือตัว ไม่เย่อหยิ่ง พูดจาไพเราะ และโดยเฉพาะกับสตรีมักมีกิริยามารยาทดีงามอย่างสมบูรณ์
ซวี่เฉินฟางหรี่ตาครึ่งหนึ่ง ค่อยๆ แย้มยิ้มให้เมิ่งอู่ก่อนกล่าว “เ้าตัวน้อยซุ่มซ่าม” เขายื่นมือออกไปหานาง เผยให้เห็นนิ้วมือเรียวยาวงอขึ้นเล็กน้อย ฝ่ามือเขาขาวผ่องปานหิมะ “ขอพัดคืนให้ข้า”
รอยยิ้มนี้ทำให้คนราวกับถูกอาชาเหยียบอย่างแท้จริง โฉมตรูหกตำหนักถูกบดบัง แลยังกลับไปโปรยยิ้มเสน่ห์ [1]!
ขณะเมิ่งอู่คืนพัดให้เขา นางก็ก้มหน้าเงียบๆ ก่อนยกมือขึ้นปิดตา แล้วยกเท้าเดินอ้อมเขาไป
ซวี่เฉินฟางหันข้างมองนางพลางเล่นพัดในมือ ยกมุมปากขึ้นใคร่ครวญ “รูปร่างหน้าตาข้าน่าเกลียดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
เมิ่งอู่กล่าว “ความงามทำร้ายคนได้ อย่าลุ่มหลงเกินไป”
นางยังคงจำได้ดีว่าตนเองข้ามเวลามาได้อย่างไร ก็เพราะเผลอมองสิ่งที่ไม่ควรมองแค่สองหน! บัดนี้อยู่ในถิ่นของผู้อื่น รูปงามก็จริง แต่อย่าได้มองมากเกินไป!
เมื่อได้ยินดังนั้น ซวี่เฉินฟางก็หัวเราะเบาๆ สองหน ไม่ได้ขวางทางนาง เฝ้ามองนางเดินออกจากบ้านสกุลซวี่ทางประตูหลัง
ทันทีที่เมิ่งอู่ออกพ้นประตูหลัง ลูกน้องสองคนตรงหัวมุมก็รีบเข้ามาหาทันใด แล้วชะเง้อมองไปทางด้านหลังของเมิ่งอู่ก่อนถาม “ท่านป้าเล่า?”
เมิ่งอู่กล่าวอย่างเมฆบางลมเบา “ขายไปแล้ว”
ทั้งคู่ใสุดขีด “อันใดนะ?!”
เมิ่งอู่ยิ้มกล่าว “บ้านสกุลซวี่กำลังรับหมัวมัวให้คุณชายรอง ท่านป้าของพวกเ้าเข้าไปแล้วเห็นว่าบ้านสกุลซวี่มีกิจการใหญ่โต ไม่ต้องกังวลเื่อาหารเสื้อผ้า จึงตัดสินใจจะอยู่ที่นี่เพื่อรับใช้คุณชายรองสกุลซวี่อย่างดี”
เดิมทีซวี่เฉินฟางกำลังจะจากไป แต่เมื่อได้ยินเมิ่งอู่เอ่ยถึงเขา จึงเดินย้อนกลับมาฟัง
ลูกสมุนค้ามนุษย์สองคนได้ยินดังนั้นก็ทั้งตระหนกใทั้งโกรธเกรี้ยว ตะคอกว่า “เ้าพูดจาเหลวไหล ท่านป้าค้ามนุษย์ แล้วจะขายตนเองได้อย่างไร! ที่แท้เ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อรับเบี้ยเดือน แต่เ้าตั้งใจมาขายท่านป้า!”
เมิ่งอู่เลิกคิ้วเอ่ย “โวยวายอันใดกัน ข้าไม่ค้าคน หากคนไม่ค้าข้า หากคนค้าข้า ข้าจำต้องค้าคน นี่ไม่ใช่กฎของยุทธภพหรือไร?”
กล่าวจบ ทั้งคู่ก็จะกระโจนเข้าหา เมิ่งอู่ชั่งน้ำหนักเงินตำลึงสีเงินขาวในมืออย่างใจเย็นพลางกล่าว “ข้าไม่ใช่คนคดโกง พวกเ้าทั้งคู่อยากพุ่งเข้ามาให้ข้าซ้อมแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้เงินสักอีแปะ หรืออยากแบ่งเงินห้าตำลึงนี้กับข้าเล่า?”
เมื่อเห็นเงินตำลึง ทั้งคู่ก็สงบลงทันควัน
ปกติแล้วพวกเขาช่วยท่านป้าทำงานจะได้รับเงินส่วนแบ่งมากขนาดนี้ที่ใดกัน ท่านป้าให้เงินค่าแรงพวกเขาเพียงบางส่วนก็ไม่เลวแล้ว
ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่เมิ่งอู่ใช้สองขาเตะพวกเขาในตรอก นางดูไม่เหมือนคนที่มือไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่
หากปะทะกัน พวกเขาอาจไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย
เมิ่งอู่กล่าว “คนเป็ของพวกเ้า ข้าเพียงพาเข้าประตู พวกเ้าสองคนได้ส่วนแบ่งมาก ส่วนข้าได้ส่วนแบ่งน้อย แบบนี้ยุติธรรมหรือไม่?”
ทั้งคู่ขบกราม สุดท้ายก็พยักหน้าตกลง
ดังนั้นเมิ่งอู่จึงแบ่งเงินสองตำลึงให้ตนเอง ส่วนอีกสามตำลึงให้ทั้งคู่
เงินที่เมิ่งอู่รับมาเป็เศษเงินตำลึงหักทั้งหมด เมิ่งอู่แบ่งให้คนหนึ่งในนั้นสองตำลึงเงิน อีกคนหนึ่งได้รับเงินที่เหลือหนึ่งตำลึงเงิน
คนที่ได้หนึ่งตำลึงเงินไม่พอใจถามว่า “ไยเขาถึงได้สองตำลึงเงิน แล้วข้าได้แค่หนึ่งตำลึงเงินเล่า?”
เมิ่งอู่จึงเก็บเงินกลับคืนพลางกล่าว “เช่นนั้นพวกเ้าสลับกัน”
อีกคนไม่พอใจพูดว่า “เ้าให้ข้าสองตำลึงแล้วจะต้องเปลี่ยนไปไย!”
เมิ่งอู่ตอบ “มีเงินแค่ห้าตำลึงแบ่งไม่ลงตัว พวกเ้าสองคนเป็พี่น้องกัน ผู้ใดได้มากได้น้อยสำคัญไฉน? หากไม่พอใจ ก็ตกลงกันเองว่าใครจะได้หนึ่งตำลึงเงิน ใครจะได้สองตำลึงเงิน”
กล่าวเช่นนั้นแล้ว เมิ่งอู่ก็สุ่มยื่นสองตำลึงเงินให้คนหนึ่ง และสุ่มยื่นหนึ่งตำลึงเงินให้อีกคน
ซวี่เฉินฟางเอนพิงอยู่หลังประตูฟังด้วยความสนใจยิ่งยวด อดโบกพัดและหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ รอยยิ้มบางๆ เกลื่อนหน้าทำให้บุปผาสีแดงเข้มในสวนหลังเรือนไร้สีสัน
ดังสุภาษิตที่ว่า “ไม่กังวลว่าจะแบ่งให้มากหรือน้อย แต่กังวลว่าจะแบ่งไม่เท่าเทียม” ทั้งสองคนจะยอมได้อย่างไร คนที่ได้มากกว่าไม่ยอมแบ่งให้ คนที่ได้น้อยกว่าก็อยากได้มากขึ้น เดิมทีเป็หุ้นส่วนค้ามนุษย์ที่ร่วมมือกันดี แต่กลับต้องมาขัดแย้งกัน พวกเขาลงไม้ลงมือกันในตรอก เพื่อจะแย่งเงินอีกหนึ่งตำลึงมาเป็ของตนให้ได้
เมิ่งอู่ตบเสื้อผ้า เดินอ้อมพวกเขาไป หรี่ตามองดูดวงอาทิตย์พลางพึมพำกับตนเอง “เวลาไม่เช้าแล้ว ยังต้องไปซื้อของให้ท่านแม่กับอาเหิงแล้ว”
……….
[1] กลอนท่อนหนึ่งของไป๋จวีอี้ (ค.ศ.772-846) กวีสมัยราชวงศ์ถังชมโฉมของหยางกุ้ยเฟย หนึ่งในสี่ยอดโฉมงามของจีน