“หวั่นชิง เธอไม่สบายหรือเปล่า? หน้าซีดเชียว” หลินนั่วอีถาม คำพูดเช่นนี้น่าจะเป็คำแสดงความห่วงใย หากไร้ซึ่งความอบอุ่นอ่อนโยน
สวีหวั่นชิงใจเต้นตึกตัก เธอรู้ว่าหลินนั่วอีไม่พอใจ จึงทิ่มแทงเธอด้วย ‘คำพูดอ่อนโยนที่ห่างเหิน’
“ใช่ พักผ่อนไม่พอน่ะ แล้วก็พอกลางคืนก็มีไข้” สวีหวั่นชิงยิ้มแหย ลูบใบหน้าอันขาวซีดของตัวเอง พลางลุกขึ้นยืนเป็เชิงขอตัว เอ่ยปากร่ำลา
แต่หลินนั่วอีไม่รอให้เธอพูดอะไร กลับหยิบขวดน้ำยาสีฟ้าออกมาให้เธอดื่ม แล้วให้เธอนอนพักที่นี่ ไม่ยอมให้เธอจากไป
หัวใจสวีหวั่นชิงแทบหลุดออกจากร่าง เธอเห็นขวดแก้วขนาดนิ้วหัวแม่มือบรรจุน้ำยาสีฟ้า เหมือนที่อยู่ในมือของมู่ไม่ผิดเพี้ยน
มันเป็น้ำยาที่มนุษย์พิเศษทั้งสิบแปดคนกินไปเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้!
หมายความว่าอย่างไร? สวีหวั่นชิงแตกตื่น ใจเต้นไม่เป็ส่ำ เธอร้อนรนอย่างยิ่ง
“นี่เป็น้ำยาสูตรใหม่ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและแรงกาย กินแล้วไม่นานก็เห็นผล” หลินนั่วอีเอ่ยน้ำเสียงเรียบๆ
สวีหวั่นชิงรับขวดแก้วมาด้วยท่าทางตื่นกลัว เธอดูแล้วดูอีก ไม่น่าจะเป็น้ำยาตัวเดียวกัน อันนี้สีจางกว่า หากก็ยังทำให้เธอประหม่าอย่างมาก
“หวั่นชิง เธอก่อเื่อะไรกันแน่ อย่าปิดฉันเลย เธอก็รู้นิสัยฉันดี” หลินนั่วอีมองเธออย่างคลางแคลง
สวีหวั่นชิงยิ้ม หากในใจหนาวเหน็บ เธอตัวสั่นน้อยๆ เมื่อคิดถึงความเป็ไปได้ทั้งหมด ต่อให้หลินนั่วอีไม่ลงเอยกับฉู่เฟิง ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้เธอก่อเื่ตามใจชอบ
ส่วนฉู่เฟิงถ้าตายไปแล้วก็แล้วไป ยังไงก็ยังมีกลุ่มโพธิจีนส์กับเทพวัชระที่โยนความผิดให้ได้ แต่สิ่งที่เธอหวาดกลัวอย่างยิ่ง ก็คือคนผู้นั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างหาก
“ตอนคุยกันครั้งที่แล้ว ฉันทะเลาะกับฉู่เฟิง เถียงกันหลายคำ ฉันบอกว่าเขาไม่เหมาะกับเธอ เขาคงเกลียดฉันแหละ” สวีหวั่นชิงน้ำเสียงเบาหวิว มองหลินนั่วอีแวบหนึ่ง แล้วพูดต่อ “ฉันว่า เขาไม่เหมาะกับเธอ พวกเธออยู่กันคนละโลกเลยนะ”
เธอโกหกกลบเกลื่อน ถ่วงเวลา ถ้าเกิดฉู่เฟิงมาจริงๆ เธอก็จะอ้างเื่นี้แหละ ส่วนเื่อื่นยังไงก็ไม่ยอมรับ
“เธอทำให้ฉันผิดหวัง!” หลินนั่วอีพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ จนดูไม่ออกว่าเธอคิดอะไรอยู่
สวีหวั่นชิงแตกตื่น เธอเริ่มรู้สึกไม่ดี เพราะหลินนั่วอีฉลาดเกินไป ต่อให้ยังไม่รู้เื่ทั้งหมด ไม่มีหลักฐาน หากสามารถคาดเดาเื่ทั้งหมดได้
ตอนนั้นเอง ที่เครื่องมือสื่อสารของหลินนั่วอีดังขึ้น
“เด็กสาวที่คุณส่งให้มารับผมนั่นน่ะ ถูกปืนอาร์พีจียิงถล่มระหว่างทาง เธอน่าสงสารมากเลยนะ” นี่คือคำพูดของฉู่เฟิง
ถึงแม้หลินนั่วอีจะพอเดาเื่ได้ หากก็ไม่คิดว่าจะร้ายแรงขนาดนี้ เธอหมุนตัวขวับไปมองสวีหวั่นชิง แสงจากลูกั์ตาเหมือนกับจะพุ่งออกมาก็ไม่ปาน
สวีหวั่นชิงอึกอัก ประกายตาที่เหมือนเข็มทิ่มแทงนั่น ทำให้เธอเ็ป ในใจทุรนทุราย
อีกทั้งตอนนั้นเธอได้ยินเสียงฉู่เฟิง ในใจแตกตื่น คนผู้นั้นยังไม่ตายจริงๆ ด้วย
เป็อย่างนี้ได้อย่างไรกัน ตอนนั้นเขาไม่อยู่ในรถอย่างนั้นหรือ? สวีหวั่นชิงทั้งหวาดหวั่นทั้งเป็ฟืนเป็ไฟ ทำไมมันไม่ตายไปซะ ถ้าฉู่เฟิงหายสาบสูญไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะหมดจดไร้ร่องรอย
คนบางคนก็เป็เช่นนี้ ไม่เคยค้นหาสาเหตุที่มาจากตัวเองเลยสักนิด
‘มู่ คุณต้องช่วยฉันนะ!’ สวีหวั่นชิงพร่ำสวดมนต์ในใจ เพราะ้าช่วยมู่ เธอถึงทำเื่เช่นนี้
“อาเฉียน เอาตัวเธอไป อย่าลืมนะว่าเธอเป็มนุษย์พิเศษ ต้องใช้โลหะผสมชนิดใหม่คุมตัว” หลินนั่วอีพูดเรียบๆ
สวีหวั่นชิงสะดุ้งเฮือกแล้วนิ่งงัน ใบหน้าซีดเผือด ไร้ซึ่งเืฝาดโดยสิ้นเชิง เธอทั้งใทั้งหวาดกลัว มีแต่เสียงอื้ออึงดังก้องอยู่ในสองรูหู
เธอรู้ดี มีแต่มนุษย์พิเศษที่ทำความผิดมหันต์เท่านั้น ที่จะถูกพันธนาการด้วยโลหะผสมหายาก ทันทีที่ถูกพันธนาการ อย่าได้หวังว่าจะหนีไปได้ สุดท้ายย่อมถูกลงทัณฑ์อย่างหนักหน่วง
ผู้สูงวัยร่างท้วมนิดๆ เดินเข้ามาใกล้ ใบหน้ามีแววใจดีที่ยามปรกติจะอ่อนโยนอย่างยิ่ง หากบัดนี้ค่อนข้างเคร่งเครียด ปฏิบัติตามคำสั่งจากหลินนั่วอีอย่างเคร่งครัด
“นั่วอี เธอทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไงกัน” สวีหวั่นชิงหวีดร้อง
“เธอเป็ผู้ช่วยของฉัน ฉันเชื่อใจเธอ ใน่เวลาสั้นๆ ที่ฉันไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ ฉันให้เธอช่วยจัดการทุกๆ เื่ให้แทน แต่เธอกลับกล้าแตะต้องขีดจำกัดของฉัน!” หลินนั่วอีมีสีหน้าเฉยชา
รูปร่างสูงโปร่งและความงามอย่างยิ่งของเธอนั้นทำให้สวีหวั่นชิงรู้สึกริษยา หากยามที่หลินนั่วอีโกรธ จะมีกระแสเย็นเยียบอย่างหนึ่งที่ผลักคนให้ถอยห่างออกไปร้อยโยชน์พันโยชน์ เป็ความงามสง่าอันเ็าอย่างถึงที่สุด
แม้สวีหวั่นชิงจะเป็คนสวย หากก็ถูกกดจนรู้สึกต่ำต้อยไร้ค่า ตอนนี้เธอถูกหลินนั่วอีกดดันจนรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง กลัวจนพูดอะไรไม่ออกแม้สักนิดเดียว
หลินนั่วอีโบกมือเป็สัญญาณให้อาเฉียนพาตัวเธอออกไป
“ฉู่เฟิง คุณอยู่ที่ไหน? ฉันไปรับคุณเอง” หลินนั่วอีโทรหาเขา
“ถึงตัวเมืองแล้ว”
“ตอนแรกว่าจะให้คุณเลี้ยงอาหารท้องถิ่นสักหน่อย ดูท่าตอนนี้ฉันเลี้ยงดีกว่า” หลินนั่วอีเอ่ย
ฉู่เฟิงรู้ทันที ความตั้งใจของเธอเหมือนจะขอโทษอยู่ในที
เขาบอกพิกัด จากนั้นไม่นาน หลินนั่วอีขับรถสีแดงมาจอดข้างทาง แล้วเอ่ย “ขึ้นรถ”
ฉู่เฟิงประเมินอยู่ครู่ เอ่ยว่า “สีแดงเลยเหรอ? ไม่เข้ากับมาดคุณหนูสูงสง่าอย่างคุณเลยนะ ผมนึกว่ารถคุณสีน้ำเงินเสียอีก”
“ไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยนะ พูดมากจริง” หลินนั่วอียิ้มบางๆ วันนี้เธอไม่ได้แต่งกายอย่างเป็ทางการ หากง่ายๆ สบายๆ ด้วยกางเกงขาสั้นเข้ารูปและเสื้อเชิ้ต ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็เสื้อผ้าแบรนด์เนมรสนิยมสูงส่ง
ไม่นานนัก พวกเขาก็ถึงภัตตาคารแห่งหนึ่ง
ร้านนี้เงียบสงบ เปิดเพลงสบายๆ บนเพดานแขวนโคมระย้า บนพื้นคือหินอ่อน แม้เทียบไม่ได้กับภัตตาคารในมหานคร หากด้วยการตกแต่งเช่นนี้ในอำเภอเมืองก็นับได้ว่าเป็ภัตตาคารชั้นยอดแล้ว
ภัตตาคารเลิศหรู สะอาดสะอ้าน
พอลงจากรถ ทั้งคู่ก็เดินเคียงกันเข้าร้าน ฉู่เฟิงสะดุดตากับฮอตแพนท์และเสื้อเชิ้ตง่ายๆ ที่เธอสวม
ทว่า การแต่งตัวง่ายๆ สบายๆ เช่นนี้กลับขับรูปร่างของเธอให้โดดเด่น ด้วยความสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเิเ สองขาเรียวตรงดั่งด้ามพู่กัน ผิวขาวผ่องชวนมอง
“ทำไมเหรอ?” หลินนั่วอีเอียงคอมองเขา
“ไม่เจอกันนาน โดนรัศมีคุณแทงลูกตา เลยต้องดูนานๆ หน่อย” ฉู่เฟิงตอบพลางหัวเราะ
ที่หลินนั่วอียังคงไร้หนทางจัดการเขา ในทุกคำพูดคำจาเช่นนี้ เขาล้วนมีวิธีพูดได้เข้าท่าเสมอ จะบอกว่าเขาตรงไปตรงมาก็ได้ หรือจะบอกว่าหยาบคายก็ไม่ผิด
“คุณไม่เปลี่ยนไปเลย” หลินนั่วอีเอ่ยพลางยิ้ม เธอไม่ยักกะรังเกียจนิสัยนี้ของฉู่เฟิง จะว่าไปที่พวกเขารู้จักกัน ก็เพราะนิสัยนี้
ในมหาวิทยาลัย คนทั่วไปมีใครบ้างที่จะกล้าตอแยกับเธอ พวกที่ตามจีบต่างก็ระวังตัวแจ กลัวจะทำให้เธอไม่พอใจ ส่วนใหญ่พอเจอสีหน้าูเาน้ำแข็งของเธอเข้าก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะไปต่อ
ก็มีแต่ฉู่เฟิงที่แหละ ที่เจอหน้ากันครั้งแรกก็กวนอวัยวะเบื้องล่าง หน้าด้านแย่งที่นั่งของเธอ แถมยังพับกระดาษที่เขียนชื่อเธอเป็เครื่องบิน ผิวปากหวือใส่เธอ แล้วปาเครื่องบินกระดาษออกนอกหน้าต่างไป
ตอนนั้น ผู้ชายคนนี้น่ารังเกียจอย่างแรง หากเธอกลับไม่เคยรู้สึกโกรธเคืองเขาได้สักที สุดท้ายกลับกลายเป็สนิทสนมชิดเชื้อเข้าเสียอีก
“มา งั้นให้ผมดูหน่อยว่าคุณเปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่า” ฉู่เฟิงยิ้ม แล้วเพิ่มระดับความกำเริบเสิบสาน กวาดสายตาขึ้นลง ั้แ่ใบหน้างดงามมาถึงลำคอขาวระหง จากนั้นไล่สายตาลงเรื่อย
“พูดมากน่ะ นั่งซะ!” ถึงแม้หลินนั่วอีจะเป็คนเยือกเย็น ยากยิ่งที่จะเห็นรอยยิ้มในยามปรกติ หากตอนนี้ อดไม่ได้ที่มุมปากจะขยับยิ้ม ความเ็าถูกเก็บไป
“ยิ้มแบบนี้ดูดี๊ดี เจริญหูเจริญตาขึ้นตั้งเยอะ!” ฉู่เฟิงเอ่ย ช่วยขยับเก้าอี้ให้เธอ แล้วแตะสองไหล่ ประคองเธอนั่งลง
ห่างออกไปไม่ไกลนัก อาเฉียนที่พอมองเห็นเข้าก็เลิกคิ้วขึ้นสูง แต่สุดท้ายก็ทำเสมือนไม่เห็นอะไร เสมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ขอโทษ!” พอนั่งลง หลินนั่วอีก็พูดขึ้นมาเบาๆ
“ไม่เอาน่า ผมก็ไม่ได้เป็อะไรนี่ ยังอยู่ดี เพียงแต่สงสารเด็กสาวคนนั้น” ฉู่เฟิงส่ายศีรษะ
“เอาเถอะ ฉันจะชดเชยให้ครอบครัวเธอเอง” หลินนั่วอีขมวดคิ้วน้อยๆ ถึงแม้ในยามปรกติเธอจะไม่ค่อยยิ้ม หากก็ไม่ใช่คนเืเย็น
ฉู่เฟิงพยักหน้า
“หลายวันมานี้ คุณเจอเื่อะไรมาบ้าง?” หลินนั่วอีถามไถ่
“ผู้หญิงที่มีเถาวัลย์ออกจากมือคนหนึ่ง มนุษย์ค้างคาวคนหนึ่ง มนุษย์แมงมุมคนหนึ่ง ตัวประหลาดมีเกล็ดปลาทั้งตัวอีกสี่ แล้วก็คนพกปืนอีกฝูง ทั้งหมดนี่มาตามหาผม” ฉู่เฟิงเล่าเรื่อยเปื่อย
หลินนั่วอียืดตัวตรง ั์ตาสว่างวาบราวกับจะแผ่พุ่งออกมา เธอมองเลยไปยังอาเฉียว เอ่ยว่า “จับตาดูสวีหวั่นชิงให้ดี ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าใกล้!”
“ขอรับ!” อาเฉียนหมุนตัวเดินออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
“ฉันจะชดใช้ให้คุณ” หลินนั่วอีมองฉู่เฟิงสีหน้าจริงจัง
“คุณคิดจะจัดการเธอยังไง?” ฉู่เฟิงถาม
หลินนั่วอีเสยผม เผยให้เห็นหน้าผากขาวนวล ดวงตาคู่งามมีแววเ็า เอ่ยว่า “เธอล้ำเส้นเกินไป เริ่มจากกำจัดความสามารถของมนุษย์พิเศษออกไปก่อน”
ฉู่เฟิงประหลาดใจ มนุษย์พิเศษกำจัดความสามารถกันได้ด้วยหรือนี่?
“แต่ว่า ต้องขอให้คุณเข้าใจด้วยว่า การลงทัณฑ์อาจต้องทอดเวลาออกไปนิดหน่อย เพราะอาเล็กของฉันจะแต่งกับพี่สาวของเธอ เขาเคยกำชับให้ฉันดูแลเธอ เื่นี้ ฉันต้องคุยกับอาเล็กก่อน” หลินนั่วอีอธิบายอย่างอดทน
“บทลงโทษหนักสุดสำหรับเธอคืออะไรหรือ?” ฉู่เฟิงค่อยๆ ถาม เป็เพราะเขาชิงชังหญิงสาวผู้นั้นรุนแรง
“บทลงโทษที่หนักที่สุดก็คือ เธอไม่อาจปรากฏตัวได้อีก” หลินนั่วอีตอบ
ฉู่เฟิงพยักหน้า เอ่ยว่า “แต่ว่า ผมกังวลนิดหน่อย คนที่ช่วยผมไว้เขาเป็พวกอารมณ์รุนแรง ผมกลัวว่าเขาจะชิงลงมือก่อน”
หลินนั่วอีมีสีหน้าแปลกใจ ด้วยบุคลิกลักษณะอันเ็าของเธอแล้ว ยากนักที่จะเผยสีหน้าประหลาดใจเช่นนี้ เธอเอ่ยถาม “ฉันเองก็อยากจะถามอยู่ ใครช่วยคุณไว้ แน่นอน ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่เป็ไร”
“เป็สหายของพ่อกับแม่ คุณรู้นี่ ครอบครัวของผมอยู่ที่มหานครทางตอนเหนือ ่วันหยุดเท่านั้นแหละที่ผมมาพักที่นี่ มาตอนนี้มีคนประหลาดสารพัดรูปแบบปรากฏตัวขึ้น ส่วนเพื่อนของพ่อกับแม่เองก็กลายพันธุ์ เขาแกร่งมากเลยนะ พ่อกับแม่ห่วงผมมาก แต่ด้วยระยะทางที่ห่างกันมาก แถมยังอันตราย พ่อแม่ผมก็เลยขอให้เพื่อนคนนั้นมาดูแลผม พาผมกลับไปยังมหานครทางตอนเหนือ” ฉู่เฟิงเอ่ย
เขารู้สึกว่า ตอนนี้โม้น้อยๆ หน่อยน่าจะดีกว่า ยอดฝีมือที่เป็มนุษย์พิเศษลงมือสังหารคนสิบแปดคนรวดเดียว โหดร้ายเกินไป!
ในโลกที่เปลี่ยนไปอย่างมากมายตอนนี้ เก็บเนื้อเก็บตัวไว้ก่อนจะดีกว่า
อีกทั้งตอนนี้ เขายังไม่คิดว่าจะใช้ความสามารถของตัวเองที่กำราบมนุษย์พิเศษได้มาดึงความสนใจของหลินนั่วอี
ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ควรแยกแยะให้ชัดเจน มันไม่เกี่ยวกับความแกร่ง สถานะของตัวบุคคล หรือตำแหน่งแห่งหนสักหน่อย
บางที เขาอาจจะคิดมากเกินไป แต่ตอนนี้ นี่คือสิ่งที่เขาใฝ่หา เป็ความคะนึงหาของเขา หาใช่คิดดึงเอาความแข็งแกร่งของตัวเองมาเรียกร้องความสนใจ
“มีคนอย่างนี้ด้วยหรือ?” หลินนั่วอีพยักหน้า
“เมื่อเช้า ก็เป็เขานี่แหละที่ห้ามไม่ให้ผมขึ้นรถ ผมเลยซ่อนตัวตลอดทาง” ฉู่เฟิงทอดถอนใจ
ตอนนี้ เครื่องมือสื่อสารของหลินนั่วอีดังขึ้น บนหน้าจอแสดงชื่อคนโทรเข้าว่า ‘มู่’
เธอรับสาย เสียงที่ลอดออกมาเป็น้ำเสียงน่าฟังของชายหนุ่ม หากตอนนี้มีแววเคร่งเครียด
“นั่วอี มีความเป็ไปได้ว่าพวกเราอาจมีการปะทะกับกลุ่มโพธิจีนส์นะ” เขาแจ้งหลินนั่วอี เช้าวันนี้เทพวัชระลงมือลอบโจมตี กำจัดกำลังสำคัญของเขาเสียเรียบวุธ ขนาดเป็มนุษย์พิเศษสิบแปดคนที่ดื่มน้ำยาสูตรใหม่ก็ยังถูกเก็บเรียบ
“ฉันรู้แล้ว” หลินนั่วอีวางสาย
เธอเคาะโต๊ะเบาๆ สีหน้าครุ่นคิด ยามสงบนิ่ง ใบหน้างดงามยิ่งชวนมอง ผิวนวลปลั่งเปล่งดูนุ่มนวลอย่างยิ่ง
“ทำไมหรือ ไปเจอเื่หินอะไรเข้า?” ฉู่เฟิงถาม
“คนที่ยืนอยู่บนปลายยอดของมนุษย์พิเศษ หนึ่งในนั้นเรียกว่าเทพวัชระ เขาลอบโจมตีมนุษย์พิเศษทั้งสิบแปดคนของเทียนเสินเซิงอู้ ก็ตรงจุดที่รถที่ไปรับคุณถูกโจมตีนั่นแหละ เหอะ บังเอิญเสียเหลือเกิน” หลินนั่วอียิ้ม
ตาสวยของเธอเปล่งประกายแวววาม จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองฉู่เฟิง เอ่ยว่า “คนที่อยู่ข้างหลังคุณคนนั้นเป็คนสังหารมนุษย์พิเศษสิบแปดคนหรือเปล่า คุณบอกฉันเถอะ ฉันไม่โทษเขาหรอก”
“เทพวัชระ? นะนี่มัน...เจ๋งจริงแฮะ!” ฉู่เฟิงถึงกับหลุดปาก นี่มันเกินความคาดหมายของเขาจริงๆ
เขาพูดต่อ “คนที่ช่วยผมเขาไม่ได้ลงมือ อยู่กับผมตลอดเวลาจนกระทั่งส่งผมเข้าตัวเมือง ตอนผ่านตรงนั้นเห็นรถถูกะเิก็รู้แล้วว่ามีคนลอบทำร้ายผม แต่เขาไม่ได้ลงไปเล่นเื่นี้ด้วย”
“ผมว่า มนุษย์พิเศษสิบแปดคนนี่ไม่ได้มีเจตนาดีกับผมเท่าไร แต่โชคไม่ดีที่พวกเขาไปเจอเทพวัชระเข้า” ฉู่เฟิงไม่พูดอะไรมากมาย คำพูดแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ตอนนี้ หากสามารถลอยตัวได้ก็ควรถอยออกมาเสีย ออกมาเป็จีนมุงดีกว่า ปล่อยให้พวกที่อยากฆ่าเขาวิ่งไปชนเทพวัชระซะ
‘เทพวัชระ คือผมไม่ได้ตั้งใจนะ เป็ไอ้งั่งพวกนั้นต่างหากที่โยนขี้ให้คุณ แต่ว่า ก็ต้องขอบคุณคุณอย่างมากนะคร๊าบ!’ นี่เป็ความในใจของฉู่เฟิง เขาได้แต่สรรเสริญคุณความดีของเทพวัชระอยู่ในใจ
หลินนั่วอีมองเขา แล้วไม่เอ่ยอะไร เธอไม่คิดจะขุดคุ้ยอีก
“คุณอยากกินอะไร?” เธอยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากระเรื่อ ไรฟันขาวสะอาด คนยิ้มยากตอนนี้แย้มความงามหยาดเยิ้มชวนกระชากใจคน
แต่แล้ว ฉู่เฟิงก็ทำลายบรรยากาศทันที
เขาะโลั่นๆ “เถ้าแก่ เอาเนื้อวัวมาก่อนเลยสิบโล!”
ใบหน้าขาวนวลของหลินนั่วอีดำคล้ำทันควัน รู้สึกว่าดีนะที่ที่นี่ไม่ใช่ภัตตาคารชั้นเลิศ อีกทั้งรอบด้านก็ไม่มีลูกค้าอื่น ไม่อย่างนั้นล่ะก็ มันขายขี้หน้าจริงๆ
“นี่คุณตายอดตายอยากมาจากไหนเนี่ย?” หญิงสาวอารมณ์ปรี๊ด แต่แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
“คุณไม่รู้อะไร ่นี้นะ ผมล่ะอยากย๊ากอยากฟาดเนื้อวัวให้หนำใจ แต่ว่ากินไม่ได้ จะลงแดงตายอยู่แล้ว นี่แค่คิดก็น้ำลายสอแล้วนะ!” ฉู่เฟิงตอบด้วยความสัตย์จริง
หลินนั่วอีถูกแหย่จนอารมณ์ดี เอ่ยว่า “ได้ อยากกินก็กิน เดี๋ยวจะสั่งให้เต็มโต๊ะ สั่งหลายๆ อย่าง กินให้หนำใจไปเลย “
“ไม่เอา ผมจะกินแต่เนื้อวัว!” ฉู่เฟิงปฏิเสธหนักแน่น
เห็นท่าทางเขาจริงจังขนาดนั้น หลินนั่วอีอดหัวเราะไม่ได้ อีตานี่ทำอะไรตามใจตัวเอง เป็คนปล่อยตัวตามสบาย ไม่ทำท่าหัวสูงมาแต่ไหนแต่ไร มีแต่ทำเื่พิลึกพิลั่นอยู่เนืองๆ
แต่ว่า ครั้งนี้เธอเข้าใจฉู่เฟิงผิดไป เขาอยากกินเนื้อวัวจริงๆ นะ ่ที่ผ่านมานี้ ั้แ่ที่บ้านมีไอ้หนิวหมัวหวังมาสถิตอยู่ด้วย เขาถึงกับต้องตัดเนื้อวัวออกจากวงจรชีวิตเลยทีเดียว