ยามนี้เสิ่นหลานกำลังล้มลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ใบหน้าของเขาซีดขาว ขาข้างที่กำลังจะยกขึ้นมาเยียบมือนางได้ถูกตัดจนขาด โลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากขาของเขาราวสายน้ำไหล เมิ่งอ้ายเยว่ยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าตนแล้วเอามาดู เมื่อเห็นว่ามันคือเื นางก็รู้สึกผะอืดผะอมขึ้นมา
"กฎของแคว้นเยี่ยมีอยู่ว่า ผู้ใดรังแกข่มเหงสตรีต้องถูกลงโทษอย่างหนัก เ้าคิดจะเยียบมือนาง และยังอวดอ้างบารมีของบิดาตนมาข่มเหงคนที่ต่ำต้อยกว่า นับว่าไม่ถูกต้อง ในเมื่อมีขาแล้วไม่เอาไว้เดินดีดี ก็ตัดทิ้งไปซะเถอะ!"
เมิ่งอ้ายเยว่รู้สึกว่าเสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นหูยิ่งนัก จึงรีบหันขวับมามอง
"น้องชาย!"
ซือหม่าอี้เฉินละสายตาจากเสิ่นหลานและหันมาสบตากับเมิ่งอ้ายเยว่ ก่อนจะเอ่ยทักทายนางด้วยน้ำเสียงสดใส
"พี่สาว เราพบกันอีกแล้วนะ โอว เืที่เปรอะเปื้อนอยู่บนหน้าท่านช่างดูดีเหลือเกิน ท่านในยามนี้ช่างเหมือนกับเทพธิดาปีศาจที่จำแลงกายมายังแดนมนุษย์เลย งามนัก! เป็เช่นไร? ข้าสั่งให้คนตัดขาไอ้เวรนั่นให้แล้ว ท่านพอใจหรือไม่ ดูนั่นสิ ขาข้างที่ขาดของเขากระเด็นตกไปในแม่น้ำแล้ว ท่านอยากเห็นหรือไม่ ข้าจะให้คนลงไปงมขึ้นมาให้ท่านชม?"
เมิ่งอ้ายเยว่"..."
น้องงมขึ้นมาชมเองเถอะจ๊ะ!
เมิ่งอ้ายเยว่รู้สึกขนลุกขนชันนัก นางรีบใช้มือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าอย่างรวดเร็ว ด้านซือหม่าอี้เฉินก็หันไปสั่งให้คนหามเสิ่นหลานไปโยนทิ้งเอาไว้ที่หน้าโรงหมอ เพราะรำคาญเสียงร้องโหยหวนของเขา อย่างไรเ้าเวรนั่นก็ไม่เคยเจอหน้าเขา ต่อให้ไปฟ้องบิดาก็หาตัวคนทำไม่พบ ถึงพบแล้วอย่างไรเล่า?
ชายหนุ่มยิ้มเยาะหยัน จากนั้นก็เดินตรงมาหาเมิ่งอ้ายเยว่ทันที
“เหตุใดจึงไม่ขึ้นมาเล่า หรือท่านอยากจะลองเป็ปลาในน้ำ พอดีเลย ข้าก็อยากลองเป็ปลาดูเหมือนกัน รอสักครู่ ข้าจะะโลงไปเล่นด้วย”
เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับกุมขมับ เด็กนี่ทั้งแสบทั้งซน เห็นทุกอย่างเป็เื่สนุกหมดทุกอย่าง นางรีบยกมือขึ้นปรามเขาอย่างรวดเร็ว
“ช้าก่อน ข้าขึ้นไม่ได้ เสื้อข้าบางมาก ยิ่งโดนน้ำ ยิ่ง เอ่อ.”
เมิ่งอ้ายเยว่ไม่รู้ว่าจะอธิบายเช่นไรดี นางกระอักกระอ่วนยิ่ง ซือหม่าอี้เฉินเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พอเข้าใจความทุกข์ของนางได้ จึงดึงตัวนางขึ้นจากน้ำด้วยมือเดียวจากนั้นก็รีบถอดเสื้อคลุมของตนมาคลุมตัวนางเอาไว้ เขาทำทุกอย่างรวดเร็วยิ่ง เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับรู้สึกทึ่งในใจ เขาดึงตัวนางขึ้นจากแม่น้ำด้วยมือเดียวได้ ต้องแข็งแรงปานใดกัน
"ขอบคุณมากนะอาอี้"
ซือหม่าอี้เฉินพยักหน้าอย่างไม่เห็นเป็เื่สำคัญ แล้วจึงเอ่ยถามนางด้วยความสงสัย
"หากข้าไม่บังเอิญผ่านมาทางนี้ พี่สาวจะทำเช่นไร?"
"กลั้นใจตายในน้ำ กลายเป็อาหารของปลา"
ซือหม่าอี้เฉิน "..."
อยู่ๆ เขาก็หัวเราะชอบอกชอบใจออกมาจนเมิ่งอ้ายเยว่พูดไม่ออก ตอนนี้นางเริ่มจะหนาวสั่นขึ้นมาเสียแล้ว เมื่อครู่ตอนแช่อยู่ในน้ำยังไม่รู้สึก พอขึ้นจากน้ำจึงพบว่าร่างกายสั่นเทาน้อยๆ ซือหม่าอี้เฉินมองนางหนหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถาม
“หนาวหรือ พี่สาว”
“นิดหน่อย ข้าว่าจะไปร้านผ้าแถวนี้ หาซื้อเสื้อผ้ามาเปลี่ยนสักชุดแล้วค่อยกลับจวน”
นางเอ่ยเสียงสั่น แล้วจึงเดินจากมาอย่างทุลักทุเล แต่เพิ่งจะเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกเหมือนร่างกายตนเองกำลังลอยหวืดขึ้นกลางอากาศ รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองกำลังถูกใครบางคนอุ้มขึ้นพาดบ่าเสียแล้ว
“พี่สาว ไปโรงหมอกันเถอะ”
“ช้าก่อน ให้ตายเถอะ เ้าแบกข้าเช่นนี้ไม่ได้ ชายหญิงไม่ควรชิดใกล้”
“อ้อ แต่พวกเราคือพี่สาวและน้องชาย ไม่นับๆ”
เมิ่งอ้ายเยว่หมดคำจะกล่าว น้องชาย พวกเราไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ ์! คอนเท้นต์พี่สาวน้องชายวิ่งเข้าใส่นางอีกแล้ว!
เมิ่งอ้ายเยว่หมดคำจะกล่าว นางยกมือขึ้นปิดหน้าตนเพื่อไม่ให้ผู้อื่นจำได้ แต่ไม่รู้ว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่
ซือหม่าอี้เฉินพานางมาที่โรงหมออย่างรวดเร็ว ซึ่งโรงหมอแห่งนี้คือที่เดียวกันกับที่นางเคยพาสองแม่ลูกมารักษา เขาสั่งให้คนหาชุดมาให้นางเปลี่ยน และยังเอาน้ำขิงร้อนๆ มาให้ดื่มอีกด้วย แล้วยังกำชับท่านหมอว่าให้ตรวจดูนางอย่างละเอียด
เมื่อเห็นว่านางไม่เป็อันใดมากแล้ว เขาก็วางใจได้ ชายหนุ่มพานางมานั่งผิงไฟที่ด้านหลังโรงหมอ ท่านหมอเองก็นำชาชั้นดีและขนมมาให้นางกินรองท้อง ก่อนจะกลับไปตรวจคนไข้ต่อ เมื่อท่านหมอไปแล้วยามนี้จึงเหลือนางและเขาเพียงสองคน
“เ้าคงคุ้นเคยกับโรงหมอแห่งนี้มากเลยนะ ถึงเข้าออกได้ตามใจชอบ”
“อืม ก็คุ้นเคยอยู่ไม่น้อย ว่าแต่ท่านเป็เช่นไรบ้าง ดีขึ้นหรือไม่?”
เขาเอ่ยถามพลางเทน้ำขิงร้อนส่งให้นางอีกถ้วย เมิ่งอ้ายเยว่รับมาดื่มและพยักหน้าเล็กน้อย
“อืม ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณมากนะ”
นางค่อยๆ ดื่มน้ำขิงอย่างไม่รีบไม่ร้อน เดิมทีนางอยากจะกลับจวนเลย แต่เร่งรีบไปก็เท่านั้น เอาเถอะ หากเถียนฮูหยินอยากด่าก็เชิญด่าไปเลย
“อาอี้ เ้าทำร้ายบุตรชายขุนนางเช่นนี้ จะไม่เป็อันใดจริงหรือ?”
นางเอ่ยถามเขาด้วยความเป็ห่วง นางไม่อยากให้เขาต้องมาเดือดร้อนเพราะนาง แต่ดูเหมือนชายหนุ่มตรงหน้าจะไม่ได้หวาดเกรงเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็อันใดหรอก ท่านต่างหากที่ต้องระวังให้มากกว่านี้ ต่อไปถ้าจะช่วยคน ควรต้องคำนึงถึงตนเองก่อน อย่าช่วยคนอื่นจนตนเองลำบาก คนบางคนน่ะ นอกจากจะไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งแล้ว กลับจะมองท่านเป็ตัวน่าขบขันเสียด้วยซ้ำ"
เมิ่งอ้ายเยว่มองซือหม่าอี้เฉินด้วยแววตาวูบไหว วันนี้เด็กนี่พูดจามีสาระดี บางคราก็เหมือนเด็กดื้อจอมเสเพล แต่มันกลับทำให้คนรู้สึกหลงใหลอย่างน่าประหลาด
“จะมองอีกนานหรือไม่ มองข้าด้วยสายตาลึกซึ้งปานนี้ อยากได้ข้าเป็สามีหรือ”
เมิ่งอ้ายเยว่แทบจะสำลักน้ำชาทันที
“เหลวไหล”
ซือหม่าอี้เฉินรู้สึกขบขันไม่น้อย เขาหมุนถ้วยชาในมือเล่นไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสนทนากับนาง
“ได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงพระราชทานของรางวัลให้ท่าน ชอบหรือไม่?”
เมิ่งอ้ายเยว่นิ่งงันไปชั่วครู่แล้วจึงเงยหน้ามามองเขา
“เ้ารู้ได้เช่นไร?”
“เมืองหลวงก็แคบออกปานนี้”
เมิ่งอ้ายเยว่ที่ได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าช้าๆ
“ชอบ”
“ชอบสิ่งใดที่สุด?”
“เตียงกับของกิน”
“อย่างอื่นไม่ชอบหรือ?”
“ก็ชอบ ว่าแต่เ้าจะถามซักไซ้ข้าไปทำไมกัน?”
นางเอ่ยถามเขากลับไปด้วยความสงสัย แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับมองนางด้วยสายตาที่ล้ำลึก
“ข้าเพียงอยากรู้ หากท่านชอบเหตุใดไม่ใช้ของพวกนั้นเล่า ข้าได้ยินว่ามีทั้งผ้าแพรชั้นดีที่สามารถเอาไปตัดชุดงามๆ ได้ แล้วยังมีเครื่องประดับสวยงามอีกมากมายเลยมิใช่หรือ?”
“เ้านี่รู้ดีไปเสียทุกอย่างเลยนะ เป็เทพเซียนหรือ เห้อ เดิมทีข้าก็ชอบทุกอย่างนั่นแหละ อาอี้ เ้าอย่าไปบอกผู้ใดเชียว ข้าเห็นว่าเ้าเป็สหายสนิทจึงยอมเล่าให้เ้าฟัง คือว่าท่านแม่ของข้าน่ะ นางบอกว่าจะเก็บของพวกนั้นเอาไว้ให้ข้า ข้าปฏิเสธไม่ได้ จึงยอมๆ นางไป แต่ข้าก็เลือกผ้าแพรและเครื่องประดับที่ข้าชอบมาเก็บเอาไว้ไม่น้อยเลยนะ ส่วนที่เหลือก็ช่างมัน หากนางอยากได้ก็เอาไปเถอะ ข้าไม่ได้โลภมากปานนั้น”
ซือหม่าอี้เฉินฟังจบก็ส่งเสียงหัวเราะหึหึในลำคอ
“อ้อ ท่านใจกว้างดีนี่”
“ไม่ใจกว้างได้หรือ ข้าว่าเ้าคงจะรู้เื่ราวของข้ามาไม่น้อยกระมัง ข้าเพียงอาศัยบ้านเขาอยู่ สิ่งใดยอมได้ข้าก็ไม่อยากมีปัญหา เอาล่ะ ข้าต้องกลับจวนแล้ว ไว้พบกันใหม่ วันนี้ขอบคุณเ้ามาก อ้อ เ้าอย่าเอาเื่นี้ไปเล่าต่อที่ใดเล่า เป็ความลับของเราสองคนนะน้องชาย”
“ได้สิ”
เมิ่งอ้ายเยว่ยิ้มให้เด็กหนุ่มอีกหน เมื่อหายหนาวแล้วนางจึงขอตัวจากไปทันที ซือหม่าอี้เฉินมองตามนางไปอย่างไม่ลดละ แววตาของชายหนุ่มฉายแววเ็าขึ้นมาเล็กน้อย
