กู้เหยาสีหน้าขาวซีด นางใที่มารดาล่วงรู้ถึงความในใจ
กู้เจิงก็ประหลาดใจที่กู้เหยามีความรู้สึกดีๆ ต่อเซี่ยฉางชิง กู้อิ๋งมองน้องสาวคนเดียวอย่างกังวล
ทันใดนั้นทั้งสี่คนก็เงียบลง
“ดูนั่นสิ ใต้เท้าเสิ่นอีกคนมานั่นแล้ว” เสียงพูดคุยจากด้านหลังดังขึ้นอีกครั้ง “ใต้เท้าเสิ่นผู้นี้ก็เคยได้เป็ทั่นฮวา ใครจะคิดว่าจนถึงตอนนี้ยังคงเป็เพียงแค่หัวหน้าเสมียนกรมพิธีการเท่านั้น แต่ใต้เท้าเสิ่นอีกคนสิ เพิ่งจะมาไม่นานก็ได้นั่งตำแหน่งขุนนางขั้นสองเป็บัณฑิตประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว”
กู้เจิงเงยหน้าขึ้นก็เห็นเสิ่นมู่ชิง เขากำลังพูดอยู่กับขุนนางใหญ่หลายคน
เสิ่นมู่ชิงเหมือนจะสังเกตเห็นสายตาของกู้เจิง เขาก็มองนางกลับเช่นกัน มุมปากของเขามีรอยยิ้มเยาะ
กู้เจิง “...” นางจะไปมองเขาทำไมกัน หาความอะไรไม่ได้เลย ยังไม่ทันจะสลัดความคิดทิ้งไป เสิ่นมู่ชิงก็เดินตรงมาทางนี้ แต่เขาไม่ได้มาหานาง แต่กลับเดินไปหาเว่ยซื่อแทน
เมื่อเว่ยซื่อเห็นเสิ่นมู่ชิง สีหน้าก็แฝงไว้ด้วยความกระอักกระอ่วน นางทำทีเป็ลุกขึ้นมองเขาอย่างเฉยเมย เสิ่นมู่ชิงเมื่อเข้ามาถึงก็ประสานมือคารวะก่อนเอ่ยอย่างมีเลศนัยว่า “เสิ่นมู่ชิงคารวะฮูหยินกู้ ขอบคุณกู้ป๋อเจวี๋ยและฮูหยินกู้ที่คอยช่วยเหลือข้าในวันนั้น”
เว่ยซื่อไม่ได้ตอบอะไร นางเพียงพยักหน้าเบาๆ ด้วยฐานะของนาง การลุกขึ้นก็ถือว่าปฏิบัติอย่างมีมารยาทต่อเขาแล้ว หวังว่าเขาจะรีบจากไปโดยไว
“ฮูหยินน้อยเสิ่น” เสิ่นมู่ชิงเอ่ยทักทายกู้เจิง
“ใต้เท้าเสิ่น” กู้เจิงจำต้องลุกขึ้นทักทายกลับตามมารยาท
กู้อิ๋งกับกู้เหยามองใต้เท้าเสิ่นด้วยความสงสัย หน้าตาดูคุ้นๆ
“ฮูหยินน้อยเสิ่นเกรงใจเกินไปแล้ว เราไม่เพียงแต่เป็คนตระกูลเดียวกัน เมื่อก่อนยังเกือบจะได้ผูกสัมพันธ์กันอีกด้วย” เสิ่นมู่ชิงหัวเราะหึๆ อย่างยั่วเย้า เมื่อกวนโทสะกู้เจิงสำเร็จ เขาก็หันไปทำความเคารพกู้อิ๋งบ้าง “กระหม่อมคารวะพระชายาตวน ปีก่อนข้าน้อยเคยมีวาสนาได้พบพระชายาที่จวนป๋อเจวี๋ย อีกแค่นิดเดียว ไม่แน่ว่าตอนนี้กระหม่อมกับ...”
“ใต้เท้าเสิ่นมาหาข้าหรือ?” เสียงของเสิ่นเยี่ยนดังขึ้นขัดคำพูดต่อมาของเสิ่นมู่ชิง
เสิ่นมู่ชิงหน้าบึ้ง เขาหันกลับมามองเสิ่นเยี่ยนอย่างเ็าก่อนจะปั้นยิ้มบางๆ “ใช่ขอรับ ข้าตั้งใจมาหาใต้เท้าเสิ่นเพื่อถามวิธีเอาอกเอาใจองค์ฮ่องเต้ ไม่ทราบว่าใต้เท้าเสิ่นจะพอชี้แนะได้หรือไม่?”
“ท่านตั้งใจทำหน้าที่ตำแหน่งหัวหน้าเสมียนกรมพิธีการให้ดีจะดีกว่า” คำตอบของเสิ่นเยี่ยนไร้ซึ่งน้ำใจ “เพราะหากท่านทำไม่ได้ แม้แต่ตำแหน่งหัวหน้าเสมียนกรมพิธีการก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้”
สีหน้าเสิ่นมู่ชิงยิ่งทะมึนมากขึ้น คนรอบข้างเริ่มมองมาทางนี้เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ดวงตาเย้ยหยันจับจ้องไปที่ใบหน้างดงามปนขุ่นเคืองของกู้เจิง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
“พี่สาม ใต้เท้าคนนั้นน่ารังเกียจนัก” กู้เหยาว่าพลางกระตุกแขนเสื้อของกู้อิ๋ง
กู้อิ๋งจำชายคนนี้ได้ เขาคือผู้ชายที่ท่านพ่อท่านแม่้าจะให้หมั้นหมายกับพี่ใหญ่ ตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็บุรุษที่ดีคนหนึ่ง ท่านพ่อชื่นชมเขามาตลอด แต่ตอนนี้เหมือนจะเปลี่ยนไปเป็คนละคนแล้ว
“บุตรเขยใหญ่ไม่ต้องไปถือสา” เว่ยซื่อเห็นสีหน้าของเสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิง
“ท่านแม่วางใจเถอะ ข้าไม่เคยใส่ใจเื่ในอดีต” เสิ่นเยี่ยนยิ้มบางๆ
กู้เจิงกลอกตา เสิ่นมู่ชิงคนนี้ช่างบ้าเสียจริง นางไปทำอะไรให้เขากันนะ
ตกค่ำ กู้เจิงก็ได้พบกับองค์รัชทายาทและพระชายารัชทายาทพร้อมกับเว่ยซื่อและเสิ่นเยี่ยน ถึงแม้งานเลี้ยงในวันนี้จะเป็งานเลี้ยงต้อนรับแม่ทัพเซี่ย แต่การพูดคุยกับเทพาผู้นี้จริงๆ นั้นแทบจะไม่มีเลย
ฮูหยินเซี่ยผู้นั้นไม่มาปรากฏตัวในงานอีกเลย นางคงจะกำลังดูแลบุตรชายของนางอยู่
เมื่อออกจากวังก็เป็เวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว
พอขึ้นรถม้า กู้เจิงก็เอนศีรษะพิงไหล่สามีตามความเคยชิน ขณะที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ เสียงเ็าของเสิ่นเยี่ยนก็ถามขึ้น “เ้าเคยไปเจอฝ่าาที่ไหนมา”
กู้เจิงรีบนั่งตัวตรง ก่อนจะรู้สึกว่าปฏิกิริยานี้ของตัวเองออกจะชัดไปหน่อย นางสงบสติลงแล้วกล่าวว่า “ข้าจะเคยพบฝ่าาได้ยังไงเ้าคะ?” ทำไมเขาถึงรู้กันนะ นางลืมตัวเสียกิริยาไปเพียงครู่เดียว เขาก็เดาได้ว่านางเคยพบฝ่าาแล้ว
“ใช่ตอนที่เ้าถูกจับไปตำหนักร้างไหม?" เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาที่มีสีหน้าแปลกๆ ดวงตาเ็าเปลี่ยนเป็อ่อนโยน
“ไม่ใช่เ้าค่ะ ข้าไม่เคยพบฝ่าามาก่อน” กู้เจิงยังโกหกหน้าตาย นางเคยสัญญากับผู้ชายคนนั้นว่าจะไม่บอกใคร หากนางพูดออกไปมีหวังชีวิตน้อยๆ ของนางคงรักษาไว้ไม่ได้
“ได้ ไม่เคยพบก็ไม่เคยพบ” เสิ่นเยี่ยนมองกู้เจิงที่แสร้งทำหน้าตายขบขัน เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “แต่คืนถัดมาหลังจากเ้าเกิดเื่ ข้าไปที่นั่นอีกครั้ง และได้ต่อสู้กับชายสวมหน้ากากคนหนึ่ง”
“ท่านเอาชนะเขาได้หรือเ้าคะ?” กู้เจิงตาโต
“เขาแพ้ ดังนั้นเขาจึงบอกเื่ที่เกิดขึ้นกับข้า”
กู้เจิงอ้าปากค้าง ก่อนจะนึกโมโหขึ้นมา เขาคนนั้นบอกไม่ให้นางบอกใคร แต่เขากลับบอกคนอื่นเสียเอง
เสิ่นเยี่ยนจับมือกู้เจิงก่อนเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าไม่ได้ปกป้องเ้าให้ดี อาเจิง เชื่อข้าอีกสักครั้ง ต่อไปข้าจะไม่ให้เ้าตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นอีก”
“ข้าเชื่อท่านเ้าค่ะ” กู้เจิงสบสายตาของเสิ่นเยี่ยนที่เปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา นางเชื่อว่าเสิ่นเยี่ยนอยากปกป้องนาง และเชื่อว่าตราบใดที่เขาอยู่เคียงข้างนาง เขาจะยอมให้ตัวเองาเ็แต่จะไม่มีทางทำให้นางเป็อะไร ทว่าความเป็จริงกลับยากจะคาดเดา เช่นเดียวกับคราวก่อนที่เขาเชื่อว่าองครักษ์เงาของตวนอ๋องจะปกป้องนางไว้ได้ แต่กลับยังมีข้อบกพร่องเกิดขึ้น ดังนั้น นางจึงอยากจะเก่งขึ้น ไม่เป็ตัวถ่วงของเขา
ยามเมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลเสิ่น ไฟในห้องของสองสามีภรรยาเสิ่นยังคงเปิดอยู่
เสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิงต้องะโบอกอยู่หน้าห้องว่ากลับมาแล้ว ไฟถึงได้ดับลง
“ต่อไปถ้าเรากลับมาช้าขนาดนี้ น่าจะให้คนกลับมาแจ้งท่านพ่อกับท่านแม่สักหน่อย พวกเขาจะได้ไม่ต้องเป็ห่วง” กู้เจิงบอกกับเสิ่นเยี่ยน
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้าเห็นดีด้วย
“คุณหนู ท่านบุตรเขย พวกท่านกลับมาแล้วหรือเ้าคะ?” ชุนหงก็รอกู้เจิงกลับมาอยู่ นางรีบไปตักน้ำมาให้กู้เจิงล้างหน้า
“ทำไมเ้ายังไม่นอนอีก? บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ? ต่อไปเื่แบบนี้เ้าไม่ต้องทำแล้ว รีบไปนอนเถอะ” กู้เจิงรับน้ำมาจากชุนหง
ชุนหงรีบขัด “นี่เป็หน้าที่ของบ่าวเ้าค่ะ”
“เ้านี่นะ ช่วยข้าดูแลหอสมุดกับร้านหนังสือก็พอ” กู้เจิงจิ้มหน้าผากนาง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตั้งใจเรียนเื่การค้ากับลุงหม่าให้ดีด้วยล่ะ”
คุณหนูพูดประโยคนี้มาหลายครั้งแล้ว ชุนหงได้แต่พยักหน้า
วันเวลาผ่านไป จบมาถึงวันดีของญาติผู้พี่เสิ่นกุ้ย
ในวันเดียวกันนั้นก็เป็ฤกษ์เปิดหอสมุดขึ้นเช่นกัน ั้แ่เช้าตรู่เสียงฆ้องทองแดงดังกึกก้องไปทั่วทั้งถนนใหญ่และตรอกซอกซอยของประตูทิศใต้ ลุงหม่าจ้างคนมาทำการป่าวประกาศมากมาย
เดิมทีกู้เจิงอยากจะเขียนกระดาษโฆษณากองโตเหมือนตามในทีวีในโลกของนางแล้วส่งออกไปให้ชาวบ้าน แต่ลุงหม่าได้ขัดขึ้นก่อน “คุณหนูใหญ่ หลายคนไม่รู้หนังสือขอรับ”
เวลานี้ กู้เจิงกำลังมองคนวัยเยาว์มากมายที่รายล้อมอยู่ตรงประตูใหญ่ชั้นล่าง ชั้นหนึ่งในตอนนี้แออัดเต็มไปด้วยผู้คนแล้ว ส่วนชั้นสองนอกจากห้องหนังสือเล็กๆ ที่นางยืนอยู่ตรงนี้ ข้างนอกยังมีคนเข้าชมอยู่ไม่น้อย
เสียงสนทนาจากชั้นล่างดังแว่วขึ้นมาจนถึง้า
“คนที่ได้อันดับหนึ่งให้หนึ่งตำลึงเงิน สามอันดับแรกล้วนให้อีกครึ่งตำลึงเงิน”
“มีเื่ดีๆ แบบนี้ด้วยหรือ?”
คนเหล่านี้พูดถึงการยื่นแบบข้อเขียนขึ้นติดบนผนังติดประกาศ นี่เป็กิจกรรมส่งผลงานที่กู้เจิงคิดขึ้นมา เทียบเท่ากับรางวัลวรรณกรรมในโลกเดิมของนาง บนผนังติดประกาศก็จะติดเกี่ยวกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน และเื่ที่เกิดขึ้นระหว่างบ้านใกล้เรือนเคียง และยังมีที่สำหรับให้คนได้เขียนถกเถียงอภิปรายปัญหากันอีกด้วย
กู้เจิงเชื่อว่าผนังทั้งสองด้านนี้ ทุกวันจะมีคนมาดูมากมาย
“คุณหนู เพิ่งแค่ชั่วโมงเดียวเอง มีคนมาจ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือนยี่สิบกว่าคนแล้วเ้าค่ะ” ชุนหงเข้ามาบอกอย่างมีความสุข
กู้เจิงมองผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านหน้าต่างพร้อมพยักหน้า “ทั้งต้าเยว่ ไม่มีหอสมุดที่เหมือนอย่างของพวกเราเลย พวกที่คนชอบอ่านหนังสือย่อมไม่ปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปแน่ เอากระดาษนี้ไปแปะไว้กับผนังติดประกาศ” กู้เจิงส่งกระดาษแผ่นหนึ่งในมือให้ชุนหง
ชุนหงรู้หนังสือไม่น้อย นางเห็นเนื้อหาบนกระดาษก็อุทานออกมา “นักพรตซาง้ามาเป็อาจารย์ที่หอสมุดของพวกเราหรือเ้าคะ?”
“ถูกต้อง ทุกๆ สามวัน นักพรตซางจะมาที่หอสมุดเพื่อตอบคำถามของเหล่าผู้สนใจ”
“ได้เลยเ้าค่ะ” ชุนหงเดินลงบันไดไปแปะกระดาษอย่างสุขใจ
เพียงพริบตาเดียว ก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นดังมาจากชั้นล่าง
กู้เจิงหรี่ตาลงยิ้ม นี่ก็สายมากแล้ว ได้เวลาไปดื่มสุรามงคลของญาติผู้พี่เสิ่นกุ้ยแล้ว