จ้าวอี๋เหนียงอารมณ์ดีขีดสุด การเสแสร้งเช่นนั้น เฉินจิ้งโหรวมิอาจทำได้เนื่องอายุยังน้อย ยังไม่เคยเรียนรู้การแสร้งแสดงเช่นนี้เลย
เท้าหน้าอย่างจ้าวอี๋เหนียงกลับเรือนมาแล้ว เท้าหลังอย่างนางจึงเร่งรีบวิ่งไปแสดงอำนาจข่มเฉินจิ้งเจียแทบไม่ทัน
“พี่หญิง! พี่หญิงเ้าคะ!”
เ้าตัวยังมาไม่ถึง แต่เสียงเรียกชิงถึงเรือนพักก่อนหนึ่งก้าว ยั่วโทสะหนานจือ จนต้องขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ “เวลาเช่นนี้คุณหนูรองไม่ไปคอยดูแลจ้าวอี๋เหนียงหรือ ไฉนถึงยังโผล่มาที่นี่อีก?”
โผล่มาทำไม? นอกเสียจากมาโอ้อวดนางแล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก?
เฉินจิ้งเจียไม่ตอบหนานจือ เพียงมองไปทางประตูด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ยามเฉินจิ้งโหรวเดินเข้ามา ก็เห็นเฉินจิ้งเจียยืนบนบันไดปราดมองนางลงมาก่อนแล้ว
มุมมองนี้ทำเอานางอึดอัดยิ่ง หากแต่เฉินจิ้งเจียมิได้เอ่ยปาก นางจึงมิอาจตรงดิ่งเข้าห้องทั้งอย่างนี้
“พี่หญิง ข้ามาหาท่านแล้ว” นางชิงเปิดปากก่อน
เตือนเช่นนี้ไป เฉินจิ้งเจียก็คงรู้บ้างใช่หรือไม่ว่าหมายถึงอะไร? นางคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
หากแต่เฉินจิ้งเจียกลับขมวดคิ้ว “ไฉนน้องหญิงถึงไม่คอยอยู่ปรนนิบัติอี๋เหนียงเล่า? ข้าได้ยินมาว่าอี๋เหนียงป่วยไข้เพราะตากลมเย็น ท่านพ่อยังเชิญหมอฝีมือดีหลายคนมารักษา มิทราบว่าอี๋เหนียงเป็อย่างไรแล้วบ้าง?”
ทุกคำของนางล้วนกำลังย้ำเตือนเฉินจิ้งโหรว ว่ามารดาของเ้าเพิ่งทำผิดมหันต์มา
เฉินจิ้งโหรวมิอาจหาคำโต้แย้งได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงถลึงตาเขม็งจ้องเฉินจิ้งเจีย
สมกับฉายาตาคมของหนานจือ ถลึงตาใส่คุณหนูใหญ่เช่นนี้ ไม่เล็ดลอดผ่านสายตานางได้
“คุณหนูรอง ท่านถลึงตาใส่คุณหนูของเราแบบนี้ หมายความเช่นไรเ้าคะ? ไม่พอใจหรือ?” หนานจือไม่เกรงใจเช่นกัน ต่อให้คนเบื้องหน้าจะเป็คุณหนูรองแห่งจวนป๋อชางโหวก็ตาม
เฉินจิ้งโหรวขมวดคิ้วเคร่ง ปราดมองหนานจืออย่างไม่พอใจ หากแต่หนานจือ กลับยืดอกเชิ่ด แม้นยืนอยู่หลังเฉินจิ้งเจีย กลับแสดงท่าทีประหนึ่งแม่ไก่หวงไข่อย่างไรอย่างนั้น
“แน่นอนว่าข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” นางเอ่ย ก่อนหันหน้าไปทางเฉินจิ้งเจีย “พี่หญิงเข้าใจข้าที่สุดแล้ว ข้าจะไม่พอใจท่านได้อย่างไรกัน”
หากเป็แต่ก่อน เฉินจิ้งเจียต้องแก้ต่างแทนนางแน่นอน ทว่าตอนนี้...
เฉินจิ้งเจียเลิกคิ้ว “คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าในใจน้องหญิงคิดเช่นไร”
ประโยคนี้ไม่ผิดแผกแม้แต่น้อย ในใจเฉินจิ้งโหรวนั้นไม่เคยคิดดีต่อเฉินจิ้งเจียตลอดมา
“เ้า!” เฉินจิ้งโหรวมิอาจควบคุมอารมณ์ของตนได้อีกต่อไป
ซีหร่านที่ยืนด้านหลังยกมือดึงเสื้อนางไว้ นั่นทำให้นางสงบสติอารมณ์ลงได้
ใช่แล้ว ยามนี้เฉินจิ้งเจียอยู่เบื้องบนเหนือกว่าแล้วอย่างไร รอกระทั่งมารดาของนางขึ้นเป็ฮูหยิน กลายเป็นายหญิงแห่งจวนป๋อชางโหวก่อนเถิด นางก็จะเป็ทายาทสายตรง ไม่ด้อยไปกว่าเฉินจิ้งเจียแม้แต่น้อย!
ครั้นคิดได้เช่นนั้น เฉินจิ้งโหรวจึงเผยรอยยิ้มแต้มใบหน้า ราวกับกำลังประกาศตนเป็ผู้ชนะอย่างไรอย่างนั้น
นางอยากให้เฉินจิ้งเจียอิจฉาตาร้อน แต่กลับไม่รู้ว่าสิ่งที่เฉินจิ้งเจียมีอยู่ มีเพียงความเย้ยหยันสมเพชเท่านั้น
“ไฉนน้องหญิงทำสีหน้าเช่นนี้เล่า? อี๋เหนียงอาการดีแล้วหรือ?” เฉินจิ้งเจียจงใจทำเป็ไม่รู้ แสร้งแสดงท่าทีถามหา
จากนั้นนางจึงก้มหน้า พึมพำกับตัวเองก่อนเอ่ยอีกครั้ง “ใช่สิ อี๋เหนียงคงอาการดีขึ้นแล้ว มิเช่นนั้นน้องหญิงคงไม่มีเวลาโผล่มาที่นี่หรอก”
นางกล่าวจบ ก่อนยิ้มให้เฉินจิ้งโหรว “น้องหญิงคงมาแจ้งข่าวดีสินะ? ในเมื่ออี๋เหนียงอาการดีแล้ว เช่นนั้นข้าก็วางใจ!”
ทุกคำพูดของนาง ทำเอาสีหน้าเฉินจิ้งโหรวคร่ำเคร่งขึ้นเรื่อยๆ
เฉินจิ้งเจียรู้ดียิ่ง ต่อให้จ้าวอี๋เหนียงคิดจะแสดงละครตบตา แต่ละครเื่นี้จะต้องแเีให้ได้นับเจ็ดส่วนถึงจะหลอกป๋อชางโหวได้
แม้นนางจะไม่ได้นั่งคุกเข่าในโถงเล็กของอารามนานเกินไป แต่ถึงอย่างไรก็นับว่าหลายชั่วยาม ย่อมมิอาจหลีกเลี่ยงลมหนาวได้อยู่ดี
ทว่าเพิ่งผ่านมาได้เพียงครู่เดียวก็อาการดีขึ้นแล้ว เช่นนั้นจึงเริ่มน่าสงสัย
มิใช่ว่าเฉินจิ้งโหรวมาโอ้อวดตนกับนางหรือ?
เช่นนั้นนางจะตั้งใจฟัง ฟังว่าเฉินจิ้งโหรวจะอวดอ้างอย่างไรต่อ!
เป็อย่างที่คิด เพิ่งเอ่ยประโยคนี้ไปได้ไม่ทันไร เฉินจิ้งโหรวก็โพล่งขึ้นอย่างไร้น้ำอดน้ำทน “เฉินจิ้งเจีย! เ้าตั้งใจใช่หรือไม่!”
ใช่สิ มิใช่ว่านางเองก็ตั้งใจเหมือนกันหรือไร!
นางทำหน้าง้ำงอเล็กน้อย จากนั้นจึงเงยหน้าอีกครั้ง เฉินจิ้งเจียทำท่าทางลำบากใจเต็มประดา “น้องหญิง เ้าพูดอันใดกัน?”
นางชะงักทิ้ง่พักหนึ่งก่อนเอ่ยต่อ “ข้าพูดผิดตรงไหนกัน? หากอี๋เหนียงอาการไม่ดี ไหนเลยน้องหญิงจะมีเวลามาที่นี่ได้เล่า?”
พูดไปก็อธิบายแทนเฉินจิ้งโหรว “น้องหญิงมาบอกข่าวดีแก่ข้าใช่หรือไม่เล่า?”
ข่าวดีกับผีอะไร!
ความปรีดาของเฉินจิ้งโหรวอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย จดจ้องเฉินจิ้งเจียด้วยสายตาเคียดแค้น
สรุปแล้วเฉินจิ้งเจียโง่จริงหรือแสร้งโง่กันแน่?
“เอาละ ไหนๆ ที่นี่ก็ไม่มีคนนอก เ้ากับข้าไม่จำเป็ต้องเสแสร้งต่อกันแล้ว” เฉินจิ้งโหรวตัดสินใจเอ่ย ไม่ต้องให้เฉินจิ้งเจียเชื้อเชิญก็ก้าวขึ้นบันไดด้วยตัวเอง ยืนประจันหน้าเฉินจิ้งเจีย
“เ้าวางแผนให้แม่ข้าไปนั่งคุกเข่าคัดพระคัมภีร์ในโถงเล็ก แต่ตอนนี้แผนการของเ้าพังพินาศสิ้น แม่ข้ากลับมาแล้ว เ้าคงผิดหวังมากสินะ?”
เฉินจิ้งโหรวมาดหมายจะได้เห็นสีหน้าสิ้นหวังของเฉินจิ้งเจีย ทว่าเฉินจิ้งเจียกลับปรายตามองนางอย่างเ็าประหนึ่งนางเป็เพียงฝุ่นไร้ค่าในอากาศเท่านั้น
นางกัดปาก ไม่ได้การ นางต้องแสดงอำนาจให้เห็น!
“เ้าผิดหวังก็คงเป็เื่ปกติ อย่างไรเสียแม่เ้าก็ตายไปแล้ว ถึงเช่นนั้น แม่ข้ายังใช้ชีวิตอย่างปกติสุขนี่นา?”
ครั้นได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยปากถึงมารดาของตน สีหน้าเฉินจิ้งเจียเยือกเย็นลงทันใด
เฉินจิ้งโหรวรู้ว่าตนจับจุดอ่อนเฉินจิ้งเจียสำเร็จ รอยยิ้มเหี้ยมจึงปรากฏขึ้น
“เมื่อคนจากไป น้ำชาก็เย็น[1] เหตุผลนี้เ้าคงเข้าใจดี แม่เ้าตายก็คือตาย ยิ่งเ้าเอ่ยถึงนาง ความรู้สึกที่ท่านพ่อมีต่อนางก็ยิ่งเหือดหายเร็วขึ้น แต่แม่ข้าต่างไป แม่ข้าจะกลายเป็ฮูหยินของป๋อชางโหว เป็นายหญิงใหญ่ของจวนป๋อชางโหว และข้าจะกลายเป็คุณหนูทายาทสายตรงแห่งป๋อชางโหว...”
ขณะนางกำลังพูดด้วยอารมณ์เต็มเปี่ยม เฉินจิ้งเจียที่ทนไม่ได้อีกต่อไปพลันง้างมือตบนางทันใด
ครั้นได้ยินเสียงกระทบดังฟังชัด ความปวดแสบปวดร้อนลามไล้ใบหน้า เมื่อนั้นเฉินจิ้งโหรวจึงได้สติกลับมา หันมองเฉินจิ้งเจียอย่างไม่เชื่อสายตา “เ้ากล้าตบข้าหรือ?”
เฉินจิ้งเจียปรายตามองต่ำเฉินจิ้งโหรว “เื่อื่นข้ายังทนได้ แต่เ้าเอ่ยปากเื่แม่ข้า”
นางหยุดก่อนโน้มตัวลง สายตาเยือกเย็นประดุจลมหนาวเหมันตฤดูเดือนสามจดจ้องเฉินจิ้งโหรว
“เ้าไม่มีค่าพอเอ่ยถึงนาง”
เสียงเฉินจิ้งเจียแ่เบายิ่ง เบากระทั่งว่าหากไม่ตั้งใจฟังให้ดีไม่มีทางรู้ได้ว่านางพูดอะไร
หากแต่คำพูดของนางกลับดังชัดเจน ดังเสียจนทำเอาเฉินจิ้งโหรวตัวสั่นระริกอย่างอดไม่ได้ ราวกับว่าคนตรงหน้ามิใช่คุณหนูผู้อ่อนโยนจากสกุลมั่งมี แต่เป็อสุรกายจากขุมนรก
เฉินจิ้งโหรวลูบหน้าตรงที่ถูกตบ นอกจากความร้อนผ่าวแล้วก็ไม่รู้สึกอื่นใดอีก เพราะใบหน้าชาไปแล้ว
หนานจือที่ยืนข้างเฉินจิ้งเจียนับว่าสายตามีแววยิ่ง รีบดึงมือเฉินจิ้งเจียขึ้นทันที “คุณหนู มือท่านาเ็หรือไม่เ้าคะ? ในห้องมียาขี้ผึ้งแก้ปวดบวมที่คุณชายใหญ่เอามาให้ ให้บ่าวเอามาให้หรือไม่เ้าคะ?”
ประโยคดังกล่าวทำเอาเฉินจิ้งโหรวทั้งร้อนรนและกริ้วโกรธ นางเป็ถึงคุณหนูรองแห่งจวนป๋อชางโหว ั้แ่เมื่อไรที่ยัยเด็กรับใช้ชักสีหน้าใส่นาง มาบอกว่านางผิดได้?
-----------------------
[1] สำนวนจีน หมายถึงเมื่อคนคนหนึ่งจากไป กาลเวลาผันผ่านไปข้างหน้า คนผู้นั้นย่อมถูกลืม เสมือนการรินชาให้แขก เมื่อแขกกลับไปไม่ได้ดื่มชาถ้วยนั้น ชาร้อนย่อมค่อยๆ เย็นลงตามเวลา
