แต่ถ้าพูดว่าพ่อค้าหน้าเืที่ยากคาดเดาผู้นี้ไร้ความสามารถที่จะสืบหา ตีนางให้ตาย นางก็ไม่เชื่อ
เพลิงโทสะในใจมู่จื่อหลิงค่อยๆ ถูกข่มลงมา หันศีรษะไปมองเย่จื่อมู่
ต่อมา เมื่อนางปรับอารมณ์ได้แล้วก็มองเย่จื่อมู่ที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยราวกับไม่มีเื่อะไรอย่างไรอย่างนั้น มู่จื่อหลิงก็พลันรู้สึกอยากเทอาหารบนโต๊ะใส่ศีรษะเย่จื่อมู่ทีละจานยิ่งนัก!
แต่เวลานี้มิใช่เวลามาปะทะฝีปากกับเขา มู่จื่อหลิงพ่นลมหายใจออกมาช้าๆ
หลังจากที่สงบลงมาทั้งหมดแล้ว นางก็เริ่มขับเคลื่อนสมองวิเคราะห์อีกครั้ง
พ่อค้าหน้าเืผู้นี้ดูเหมือนจะมิค่อยปกติเสียหน่อย
เมื่อครู่เ้าหมอนี่ถูกนางยั่วโทสะจนทนไม่ไหว ั้แ่ที่นางให้เขาถอดหน้ากากเขาก็เปลี่ยนเป็คนที่ไม่มีเื่ราวอะไร ท่าทางมือไม่ขยับ ปากไม่กระดิก เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วเกินไปแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเื่ที่ให้เขาช่วยสืบเื่ของสกุลมู่ เพียงชั่วพริบตาก็แสร้งทำเป็โง่งมกับนาง
ไม่ปกติ ไม่ปกติเป็อย่างยิ่ง!
ดวงตามู่จื่อหลิงหรี่ลงน้อยๆ มองประเมินเย่จื่อมู่ผู้นี้อย่างสงสัย ในใจมีความคาดเดาอยู่หลายส่วน
ถ้าบอกว่าที่เขาไม่มีความสามารถที่จะค้นหานั้นเป็ไปไม่ได้ ดังนั้น สองอย่างหลังก็มีโอกาสเป็ไปได้อย่างมาก
มิใช่อยากปฏิเสธนาง ก็ไม่อยากช่วยนางสืบ
ส่วนจะใช่อยากปฏิเสธนางหรือไม่นั้น? นั่น...
มู่จื่อหลิงลูบคาง ดวงตางามเคลื่อนไหว ในใจมีความคิดบางประการ
หยั่งเชิงอีกครั้ง!
“เอ้า นี่ให้ท่าน เป็เงินมัดจำและเงินต้น ข้าให้ท่านพร้อมกันเลย” มู่จื่อหลิงล้วงป้ายหยกออกมา โยนไปด้านหน้าเย่จื่อมู่อย่างใจกว้าง
นางยกมุมปากขึ้นน้อยๆ สีหน้าเหนือกว่ายิ่งนัก “ไม่เคยเห็นคนว่าจ้างที่ดีเท่าข้าใช่หรือไม่? ท่านยังไม่สืบ ก็ให้เงินค่าจ้างไปพร้อมเลย”
ทว่าเย่จื่อมู่เหยียดหยามยิ่งนัก เขาชำเลืองมองป้ายหยกอย่างไม่ใส่ใจ น้ำเสียงเจือแววรังเกียจ “เหอะ! เถ้าแก่มู่ ท่านนำป้ายหยกแตกๆ มาก็คิดจะจ่ายเงินมัดจำกับเงินต้นแล้ว ให้ทานขอทานหรือ?”
บนหน้าผากมู่จื่อหลิงปรากฏเส้นดำขึ้นมาสามเส้น
ให้ทานขอทานคืออันใดกัน?
เ้าหมอนี่ช่างไม่รู้จักของดีจริงๆ
แต่นางไม่เชื่อว่าผู้ที่เรียกได้ว่ารอบรู้ทุกเื่ในยุทธภพจะไม่รู้จักป้ายหยกนี้
ในเมื่อยังไม่ได้มองให้ชัดเจน เช่นนั้นนางก็จะแสดงให้เห็นชัดๆ อีกครู่เดียวดูสิเขายังจะไม่ตาโตอีกหรือ
มู่จื่อหลิงสองมือกอดอก เชิดคางอย่างทระนง ยิ้มพลางเลิกคิ้ว “ใช่ป้ายหยกแตกๆ หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่ามัน...”
มู่จื่อหลิงยังพูดไม่จบก็ถูกเสียงร้องใของเย่จื่อมู่ขัดจังหวะเสียก่อน
เย่จื่อมู่ชำเลืองมองป้ายหยกเพิ่มอีก จู่ๆ ก็พบอะไรเข้า สั่นศีรษะร้องไม่หยุด “นี่! ถึงขั้นเอาป้ายหยกประจำตัวบุรุษของท่านมาให้ข้า ท่านนี่ไม่เอาไหน ไม่เอาไหนเลย”
มุมปากมู่จื่อหลิงกระตุกน้อยๆ เ้าพ่อค้าหน้าเืผู้นี้ตามีแววจริงๆ ด้วย ทว่าปฏิกิริยาช้าไปครึ่งจังหวะหรือไม่?
นางเมินคำว่า ‘บุรุษของท่าน’ ไปในทันที มองเขาด้วยความขบขัน “เมื่อครู่เป็ผู้ใดกันยังพูดว่าข้านำป้ายหยกแตกๆ มาทำทาน?”
“ถุยๆ ป้ายหยกแตกๆ อะไรกัน ท่านรู้หรือไม่ในป้ายนี้มีเงินมหาศาลจนประเมินมิได้” เย่จื่อมู่หยิบป้ายหยกขึ้นมาราวกับมองเห็นทองคำ ั์ตาสว่างวาบ แทบจะเอาป้ายหยกไปแปะไว้บนหน้า
ต้องพูดว่ายายหนูผู้นี้ร่ำรวยยิ่งนัก เขาอิจฉาตาร้อนเหลือเกิน
หลงเซี่ยวอวี่ถึงขั้นเอาของสิ่งนี้ให้นาง
แต่ ยายหนูนี่ก็ยังไม่หวงแหนแม้แต่น้อย โยนให้เขาตามใจชอบ
ในใจเย่จื่อมู่คิดคำนึงอย่างเงียบๆ ต่อไปถ้าไม่ขูดรีดนาง แม้แต่์ก็คงรับไม่ได้!
มู่จื่อหลิงในยามนี้ไม่รู้เลยว่าถุงเงินของตนเองมีคนหมายตาเอาไว้แล้ว
นางเหลือบมองเย่จื่อมู่อย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าไม่รู้ข้าคงไม่ให้เ้า รู้ว่ากระเพาะใหญ่โตของเ้าป้อนเท่าใดก็ไม่อิ่ม ดังนั้น ตอนนี้เงินให้ไปแล้วก็ทำงานได้แล้วกระมัง?”
เมื่อเห็นท่าทางตาโตของพ่อค้าหน้าเื มิต้องพูดเลยว่าในใจนางนั้นได้ใจเพียงใด
นางก็รู้ว่าพ่อค้าหน้าเืผู้นี้คิดขูดรีดนางอีกเท่าตัว ยังดีที่ ‘ทรัพย์สิน’ ของนางอุดมสมบูรณ์
ป้ายหยกนี้ในเมื่อหลงเซี่ยวอวี่ให้นาง และเขาก็พูดแล้วว่าจะไม่เอาคืน เช่นนั้นก็เป็ของนางแล้ว
ดังนั้น ตอนนี้นางอยากให้ผู้ใดก็ให้ผู้นั้น
แต่...นางอยากให้ ผู้อื่นกลับมิอยากรับน้ำใจไว้
“ไม่ได้ๆ...ต่อให้ท่านกล้าให้ข้า ข้าก็มิกล้ารับเอาไว้” เย่จื่อมู่รีบร้อนโบกมือ โยนกลับไปให้มู่จื่อหลิงราวกับโยนเผือกร้อนออกจากมือ
“ทำไมเล่า?” มู่จื่อหลิงถามอย่างไม่เข้าใจ
หรือว่าป้ายหยกนี่ยังไม่มีจุดพิเศษอะไรอีก?
“เถ้าแก่มู่ ท่านคงไม่รู้กระมัง? ป้ายหยกนี้ทั้งใต้หล้ามีแค่อันเดียว คิดจะลอกเลียนแบบก็มิอาจลอกเลียนแบบได้ อีกอย่าง ข้ายังอยากใช้ศีรษะมีชีวิตไปอีกหลายปี”
ได้ยินคำพูดของเย่จื่อมู่ มู่จื่อหลิงก็วุ่นวายใจขึ้นมา
ทั้งใต้หล้ามีเพียงอันเดียว?
และเพียงหนึ่งเดียวนั้นยังอยู่ในมือนาง?
นางไม่เชื่อ จู่ๆ สมองของมู่จื่อหลิงก็ปรากฏใบหน้างดงามล่มเมืองใบนั้นขึ้นอย่างกะทันหัน
ผู้นั้นคือคนที่เขาห่วงใย ที่ตัวนางก็คงมีกระมัง
หรือ อาจจะมีเพียงหนึ่งเดียวจริง คงเป็เพราะมีสถานะเป็ฉีหวางเฟยจึงได้ บางทีวันใด...
ั์ตามู่จื่อหลิงปรากฏแววขมขื่น ไม่คิดให้มากอีก เก็บป้ายหยกกลับมาอย่างเงียบๆ
จู่ๆ ท่าทางของเย่จื่อมู่ก็จริงจังขึ้นมา “เถ้าแก่ ท่านรู้หรือไม่ว่าป้ายหยกนี้แสดงถึงสิ่งใด? ประโยชน์ของมันมิได้มีเพียงเงินที่ไม่มีทางใช้หมดง่ายๆ แค่นั้น แต่ยัง...”
มู่จื่อหลิงขมวดคิ้วน้อยๆ สุดท้ายก็ค้อนใส่เย่จื่อมู่อย่างไม่เห็นเป็สำคัญ ตัดบทคำพูดของเขา “พอแล้ว ที่ควรรู้ข้าก็รู้แล้ว สิ่งที่ไม่ควรรู้ ข้าก็ไม่อยากรู้”
จะรู้มากมายไปทำอันใดกัน เพียงแค่รู้ว่ามีป้ายหยกนี้ นางก็มีเงินที่ใช้ไม่หมดก็พอแล้ว
เื่อื่นนางไม่อยากสนใจ และไม่อยากรู้
เย่จื่อมู่ส่ายศีรษะอย่างปลงๆ ยายหนูนี่ไม่น่ารักเลยสักนิด...ช่างเถิด เขาเองก็มิอยากเข้าไปผสมโรงให้มาก
มู่จื่อหลิงกลับมาที่หัวข้อหลัก นางส่งเสียงหึอย่างอารมณ์เสีย “พ่อค้าหน้าเื ข้าว่าท่านมิได้คิดจะขูดรีดข้าโดยสิ้นเชิง ท่านไม่อยากช่วยข้าสืบมากกว่ากระมัง บางทีอาจจะมีเหตุผลอื่นอีกใช่หรือไม่?”
นางไม่ได้โง่ ั้แ่เริ่มพ่อค้าหน้าเืผู้นี้ก็ใช้เื่เงินมาตบตานางอยู่ตลอด นางจะไม่รู้ได้อย่างไร
นางเข้าใจแล้ว หมอนี่ไหนเลยจะไม่อยากขูดรีดนาง ไม่อยากช่วยนางสืบชัดๆ
เพียงแต่ นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้?
คำพูดของพ่อค้าหน้าเืผู้นี้มากก็ถือว่ามาก แต่ล้วนเป็คำพูดไร้สาระ คิดจะเอาความจริงจากปากเขา เกรงว่าคงยากยิ่งกว่าขึ้น์
ต้องพูดว่า คำพูดของมู่จื่อหลิงตรงประเด็นยิ่งนัก ทว่า เย่จื่อมู่ก็ยังคงเป็ผู้ที่ต่อใหู้เาไท่ซานถล่มตรงหน้าใบหน้าก็ยังไม่เปลี่ยนสี
เย่จื่อมู่เลิกคิ้วอย่างเกียจคร้าน หัวเราะ “ใครว่ากัน ถ้าเถ้าแก่มู่้าให้ข้าสืบ เช่นนั้นก็ยกหลิงซั่นถังให้ข้า”
มาไม้นี้อีกแล้ว?
มู่จื่อหลิงหมดคำพูดแล้ว เขาไม่รำคาญ แต่นางฟังจนเอียนแล้ว
ช่างเป็เป็ดตายปากแข็งจริงๆ!
เห็นได้ชัดว่าครานี้มู่จื่อหลิงไม่หลงกลเย่จื่อมู่ พูดไปว่า “งั้นก็ช่างเถิด อย่างไรเสียข้ามีเงิน ไม่กังวลว่าจะหาคนสืบมิได้”
ป้ายหยกที่มีเงินราวกับไร้ขีดจำกัดไม่้า ้าหลิงซั่นถังเล็กกระจ้อยร่อย เห็นนางโง่หรือ?
อีกอย่าง หลิงซั่นถังเป็ร้านที่นางเปิดเอง พูดว่าให้ก็สามารถให้ได้เลยหรือ? ตลกแล้ว
คิ้วเข้มภายใต้หน้ากากของเย่จื่อมู่ยังขมวดอยู่เล็กน้อย ท่าทางจนปัญญา โบกมือส่งๆ “เอาล่ะๆ ดูท่าทางตระหนี่ของท่านแล้ว ไม่ต้องไปหาผู้อื่น ข้าช่วยท่านสืบโดยไม่รับเงิน”
มู่จื่อหลิงค้อนใส่เขาทันที เ้าน่ะสิขี้งก
แม้แต่หลิงซั่นถังก็้ายึดไป เขาก็ยังกล้าพูดเสียเหลือเกิน
แต่ ท่าทางขอไปทีเช่นนี้ของเย่จื่อมู่ เห็นได้ชัดนักว่าคงไม่ช่วยนางสืบดีๆ แน่
เมื่อครู่นี้ยังคิดขูดรีดนางอยู่เลย ยามนี้ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว สัญชาตญาณบอกนางว่า เย่จื่อมู่ผู้นี้ต้องมีปัญหาแน่
แต่ว่ากันว่า มีเงินก็สามารถปลุกผีขึ้นมาโม่แป้งได้ เย่จื่อมู่ไม่น่าเชื่อถือ นางไปหาผู้อื่นก็สิ้นเื่แล้ว
ราวกับรู้ว่ามู่จื่อหลิงกำลังคิดอะไรอยู่ เย่จื่อมู่ก็ยกขาขึ้นไขว่ห้าง น้ำเสียงตามอำเภอใจเหมือนกับกำลังเตือน “เถ้าแก่มู่ ความสามารถในการทำงานของข้าไม่มีผู้ใดเทียบได้ ต่อให้ท่านไปหาผู้อื่นก็คงมิอาจสืบเื่ราวสิบสี่ปีก่อนหน้านี้ได้ ดังนั้นท่านมิต้องไปให้สิ้นเปลือง”
มู่จื่อหลิงค้อนใส่เขาอย่างหมดวาจา เชิดคางขึ้นสูง “เหอะ ข้าสิ้นเปลือง ก็ไม่เกี่ยวกับท่าน”
เย่จื่อมู่ส่ายศีรษะอย่างหมดปัญญา ยายหนูนี่ช่างทำให้คนมิอาจวางใจได้เลยจริงๆ
มู่จื่อหลิงจึงหารือกับเย่จื่อมู่ต่อ เป็เื่การแอบเข้าไปในวังหลวงอย่างคร่าวๆ
ส่วนเหตุผลที่ว่าเหตุใดมู่จื่อหลิงจึงทำเช่นนี้ เย่จื่อมู่ไม่ถามแม้แต่ประโยคเดียว ทุกอย่างล้วนอ้างอิงตามความคิดของนาง
สุดท้ายเขาเพียงพูดกับนางด้วยประโยคที่ยากคาดเดาว่า “ข้าเพียงรับหน้าที่พาท่านไป สิ่งอื่นไม่เกี่ยวข้อง”
ส่วนจะพากลับมาหรือไม่นั้น...อาจจะไม่ใช่เื่ของเขาแล้ว
มู่จื่อหลิงไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้งของเย่จื่อมู่ นางย่อมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
วังหลวงมีการอารักขาอย่างเข้มงวด เดิมมู่จื่อหลิงยังคงกังวลอยู่เล็กน้อย ทว่าเย่จื่อมู่มีท่าทางกระจ่างแจ้ง ไม่ใส่ใจ
เมื่อเห็นเขาเช่นนี้ มู่จื่อหลิงจึงไม่กังวลใจไปเปล่าประโยชน์อีก
สีท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ
ทั้งสองเตรียมการอย่างละเอียดรอบคอบ
มู่จื่อหลิงสวมชุดพรางกายสีดำขลับ ทั่วทั้งร่างกายล่างบนถูกห่อหุ้มด้วยสีดำสนิทอย่างแ่า เผยให้เห็นดวงตาใสกระจ่างดำขลับคู่หนึ่ง
นอกจากใบหน้าที่สวมหน้ากากแล้ว เย่จื่อมู่เองก็เปลี่ยนจากเสื้อผ้าสีแดงเย้ายวน ทั้งตัวถูกปกคลุมด้วยชุดสีดำสนิท
มู่จื่อหลิงมองเย่จื่อมู่ที่ดูเหมือนจะจริงจังขึ้นมา ในคราแรกนางก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง
ดังนั้น นางจึงเอ่ยหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม “พ่อค้าหน้าเื ดูสิ นี่ถึงเหมือนสุภาพบุรุษ! ไม่มีเื่อันใดแต่ใส่เสื้อผ้าสีแดง ช่างโอ้อวดนัก”
เย่จื่อมู่เลียนแบบน้ำเสียงของมู่จื่อหลิง “ข้าชอบสวมเสื้อผ้าสีแดง นั่นเป็เอกลักษณ์เฉพาะตัวข้า ไม่เกี่ยวกับท่าน”
ยายหนูผู้นี้ยังไม่เลิกไม่ราอีก เขาไม่หลงกลหรอก
มู่จื่อหลิงขบริมฝีปากอย่างอึดอัดใจ สุดท้ายก็ไม่อยากคุย ลดเื่ราวที่จะหาใส่ตัวเอง
-
ยามราตรีอันมืดมิด ราวกับสีน้ำเงินเข้มที่ไร้จุดสิ้นสุดถูกทาลงไปบนผืนฟ้า ดวงจันทร์พร่าเลือน ดวงดาวเลือนราง สรรพสัตว์ในโลกตกลงสู่ความเงียบสงบอันลึกลับ
ยามราตรี เงียบสงัดและมืดมิดจนน่าประหลาดใจ!
กล่าวได้ในประโยคเดียวประมาณว่า: ค่ำคืนเดือนดับเป็ใจแก่การลอบสังหาร เป็ยามกลางดึกที่ไม่มีแสงไฟ!
เย่จื่อมู่พามู่จื่อหลิงะโขึ้นลงวับแวมในท้องฟ้ายามราตรีไม่กี่ครั้ง ก็มาถึงวังหลวงอย่างเงียบเชียบ
ระหว่างทาง เย่จื่อมู่คุ้นเคยหนทางนัก เดี๋ยวก็หลบตรงพุ่มไม้ เดี๋ยวก็ซ่อนตัวในเงาดำที่แสงจันทร์สาดส่องไม่ถึง ลอบผ่านเข้าไปในวังหลวงที่มีการอารักขาอย่างเข้มงวดได้อย่างสบายๆ
มู่จื่อหลิงนั้นกำลังคิดว่า นางควรไปเรียนรู้ทักษะนี้หรือไม่ ต่อให้ไม่มีประโยชน์ ป้องกันตัวเองได้ก็ยังดี
ก่อนหน้านี้นางก็พอเข้าใจมาบ้างว่า วรยุทธ์ในสมัยนี้นั้นรอบด้านและลึกซึ้ง หากไม่เรียนรู้ไว้เสียหน่อย ที่์ให้นางทะลุมิติมาในครั้งนี้คงเสียเปล่า
ไม่นาน เงาดำสองสายก็ร่อนลงบนชายคาของตำหนักคุนหนิงอย่างเงียบเชียบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้