สายฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย เฉียวเยว่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง ท่านลุงฟื้นั้แ่เมื่อวาน เคราะห์ดีที่ไม่เป็อะไรหนักหนา แต่พอได้ยินว่าหลี่เฉิงซูช่วยชีวิตเขาไว้ ฉีจือโจวก็เบ้ปากไม่พอใจอย่างยิ่ง
"ครานี้ไม่รู้ว่าต้องเอาสิ่งใดไปตอบแทน" เขารำพึงกับตัวเอง
ราวกับรู้อุปนิสัยของหลี่เฉิงซูเป็อย่างดี
เฉียวเยว่นึกถึงคำพูดรนหาที่ตายที่ว่า "ตอบแทนด้วยร่างกาย" ของบิดาประโยคนั้น แต่พอคิดว่าท่านลุงยังเป็คนป่วย จึงมิได้กล่าวส่งเดชให้คนเกิดโทสะจนเป็อะไรไป นางยังต้องใส่ใจเขาในฐานะของหลานสาว
"เฉียวเฉียว"
เฉียวเยว่เอี้ยวศีรษะไปมองไท่ไท่สาม "เหตุใดท่านแม่หน้านิ่วคิ้วขมวดเยี่ยงนั้นเล่า ท่านลุงดีขึ้นแล้ว เื่ของพี่สาวก็ได้รับการแก้ไข ท่านควรจะเบิกบานใจมากกว่ามิใช่หรือ?"
ท่าทางดูผิดปรกติ
ไท่ไท่สามย่อมเข้าใจเหตุผล นางนิ่งไปสักพักก็เอ่ยขึ้น "ในวังส่งราชโองการมา ไทเฮามีพระเสาวนีย์ให้เ้าเข้าวังพรุ่งนี้"
เฉียวเยว่ขมวดคิ้วอย่างงุนงง "พระเสาวนีย์เรียกข้าเข้าวัง? เพราะเหตุใดเล่า" หลังจากนั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า "ต้องเป็เพราะความน่ารักของข้าแน่เลย พระนางถึงทรงอยากพบข้า"
คำกล่าวนี้ย่อมไม่มีใครเชื่อ
แต่ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของเฉียวเยว่กลับทำให้ไท่ไท่สามรู้สึกว่าทุกอย่างจะต้องเป็ไปด้วยดี ในที่สุดสีหน้าก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย ไม่กลัดกลุ้มเหมือนเมื่อครู่
"ข้าเป็ห่วงว่าเ้าเข้าวังแล้วจะทำผิด ใน่เวลาสำคัญเยี่ยงนี้ ไม่รู้ว่าไทเฮาทรงคิดจะทำสิ่งใดกันแน่" แท้จริงแล้วในใจของไท่ไท่สามรู้สึกหวาดกลัวมาก พูดตามตรง ส่วนลึกในใจของนางไม่รู้สึกกลัวฮองเฮาเท่าไรนัก เหตุผลหลักคือพระนางหาใช่คนเฉลียวฉลาดมากมาย การกระทำหลายอย่างของพระนางก็ทำให้คนมองออกว่ามีปัญหา แต่ไทเฮาไม่เหมือนกัน
เื่ความคิดลึกซึ้งและละเอียดรอบคอบในการวางแผนต้องยกให้กับคนผู้นี้
เื่อื่นไท่ไท่สามกลับไม่กังวล สิ่งที่นางเป็ห่วงที่สุดก็คือเื่ของอิ้งเยว่
"เ้าเข้าวังครานี้ จำไว้ว่าต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว อย่าให้คนจับพิรุธจากวาจาได้เล่า"
เฉียวเยว่เลิกคิ้วอย่างน่ารักไร้เดียงสา อมยิ้มเอ่ยเสียงเบา "ท่านแม่พูดอะไรกัน ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลยเ้าค่ะ"
หลังเว้นจังหวะเล็กน้อย นางก็พูดขึ้นมาอีก "เดิมทีข้าก็ไม่รู้อะไรอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่อยู่เมืองหลวง ย่อมมิอาจนับว่ารู้อันใด"
ไท่ไท่สามนิ่งไปครู่หนึ่ง "คำอธิบายเช่นนี้ของเ้า..."
"ข้ามิได้อธิบาย แต่ข้าไม่รู้อะไรเลยจริงๆ" เฉียวเยว่ตบๆ มือของไท่ไท่สาม "ท่านแม่ทำใจให้สบายเถิด ไม่ว่าเื่ใดก็เหมือนกัน พวกเราเปิดเผยตรงไปตรงมาเข้าไว้ ไม่มีปัญหาแน่นอน มีปัญหาเฉพาะหน้าก็ค่อยๆ แก้ไปทีละเปลาะ ไม่มีปัญหาใหญ่โตหรอกเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่มองในแง่ดี นางไม่รู้สึกว่าเื่จะซับซ้อนมากมาย "ไม่แน่ว่าไทเฮาอาจจะเรียกข้าไปพบเพราะพี่จ้านก็เป็ได้ ท่านแม่ก็ทราบ ในเหล่าพระนัดดาไม่กี่พระองค์ พระนางทรงโปรดปรานพี่จ้านที่สุด"
เฉียวเยว่ประคองใบหน้า วางท่าประหนึ่งหญิงงามที่สุดในใต้หล้ากำลังทอดถอนใจ "ท่านแม่ว่าหรือไม่ คนหน้าตางดงามอะไรก็ดีไปหมด มักทำให้คนปล่อยวางไม่ได้เสมอ"
พอคำกล่าวนี้หลุดออกมา ไท่ไท่สามก็ขำพรืด หันไปทุบนางทีหนึ่ง "เ้าเล่นไม้นี้กับข้าอีกแล้ว"
หลังจากนั้นก็หมุนตัว... จากไป
พอเห็นมารดาไม่วิตกกังวลแล้ว เฉียวเยว่ค่อยพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก "เป็คนนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ"
ว่าแต่เหตุใดไทเฮาถึงอยากพบนางนะ
วันรุ่งขึ้น
เฉียวเยว่ลุกขึ้นมาแต่งตัวแต่เช้า ไปพบผู้าุโของผู้อื่นทั้งที ต้องสีแดงๆ เข้าไว้ถึงจะน่าเอ็นดู หากใส่สีขาวจืดชืดก็คงทำให้คนรู้สึกไม่ดีนัก
เฉียวเยว่สวมเสื้อสีแดงดอกกุ้ย [1] กระโปรงยาวสีชมพูดอกท้อ สีมีความต่างกันเล็กน้อยแต่ไม่มากนัก การไล่ลำดับสีไปทีละน้อย แต่กลับดูเป็สิริมงคล นางสวมห่วงทองบริสุทธิ์ฝังอัญมณีสีเขียวเม็ดใหญ่ บนศีรษะปักปิ่นปู้เหยาทองที่เป็ชุดเดียวกัน
ไท่ไท่สามคิดไว้ว่าจะมาส่งบุตรสาวออกจากจวน พอเห็นนางแต่งตัวเช่นนี้ก็มุมปากกระตุก ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
หลังนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก็เอ่ยปากอย่างช้าๆ "เ้าจะแต่งตัวราวกับเศรษฐีใหม่เยี่ยงนี้จริงหรือ?"
"ท่านแม่ก็... จริงๆ เลย ผู้อื่นมิใช่เศรษฐีใหม่เสียหน่อย ท่านกล่าวเช่นนี้ ผู้อื่นเสียใจนะเ้าคะ" เฉียวเยว่แย้ง
ปากน้อยๆ มุ่ยยื่นออกมา ราวกับประท้วงว่าข้าไม่เห็นด้วย
นางรั้งชายกระโปรงเดินไปหมุนตัวหน้าคันฉ่อง "ท่านแม่ไม่รู้สึกว่างามมากหรอกหรือ? ดูเป็มงคลดีนะเ้าคะ ยิ่งไปกว่านั้นทองคำเหลืองอร่าม ยิ่งดูหรูหรามั่งคั่งเป็พิเศษ"
ชั่วพริบตานั้น ไท่ไท่สามก็เกิดความสงสัยในทัศนะเื่ความงามของบุตรสาวตนเองเป็อย่างมาก ทว่าดูจากเวลาแล้ว หากเปลี่ยนอาภรณ์ยามนี้น่าจะไม่ทันแล้ว จึงได้แต่เอ่ยว่า "เอาล่ะ เอาล่ะ เ้าแต่งแบบนี้แหละ"
ทำได้แต่ยอมรับชะตา ปล่อยไปตามยถากรรม
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า "ข้ารู้สึกว่าดีมาก"
หลังจากนึกดูแล้ว ก็เสริมอีกประโยค "ไทเฮาทอดพระเนตรเห็นข้าดูมีราศีจับเปล่งประกายระยิบระยับไปทั้งตัวเช่นนี้ ต้องทรงโปรดปรานมากแน่นอน"
เฉียวเยว่เชิดคางน้อยๆ วางท่าประหนึ่งว่าข้าพูดไม่ผิด
แต่ในความเป็จริง...
เมื่อไทเฮาทอดพระเนตรซูเฉียวเยว่ที่อยู่เบื้องหน้า สีพระพักตร์ของพระนางแทบจะไม่ต่างกับไท่ไท่สาม ทว่าทรงสงวนทีท่าได้ดีกว่า เพียงแค่พิจาณาเสื้อผ้าอาภรณ์ของเฉียวเยว่ แต่ไม่แสดงออกชัดเจนนัก
"ลุกขึ้นเถิด"
เฉียวเยว่หยัดกายขึ้นทันที หลังจากนั้นก็ประสานมือไว้ด้านหน้าแล้วยิ้มหวาน
แม้หลายปีมานี้ไทเฮาจะทรงอ่อนโยนขึ้นมากแล้ว แต่คนตำแหน่งสูงแม้จะอ่อนโยนเพียงใดก็ใช่ว่าจะคบหาง่ายนัก ยิ่งพระนางอัธยาศัยดีเท่าไร กลับยิ่งทำให้คนหวาดระแวงเท่านั้น
ไทเฮาชี้ไปที่ตำแหน่งด้านล่าง "เอาล่ะ นั่งเถอะ"
เฉียวเยว่รับคำอย่างเชื่อฟัง พลางมองนิ้วพระหัตถ์ของไทเฮา พระนขาซึ่งได้รับการบำรุงอย่างดีเคลือบด้วยโค่วตาน [2] แดงสด แลดูสูงศักดิ์อย่างเห็นได้ชัด แต่ในความรู้สึกของเฉียวเยว่ การใช้โค่วตานเยี่ยงนี้ดูคล้ายกับนางปิศาจในนิยายเื่ไซอิ๋ว ที่กำลังจะกินคนในอีกไม่ช้า
แม้ว่าจะมีที่นั่งไม่น้อย แต่เฉียวเยว่กลับเลือกตำแหน่งกลางๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไปนัก ไทเฮาแย้มพระสรวลน้อยๆ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เฉียวเยว่วางมือทั้งสองบนหัวเข่า เงยดวงหน้าน้อยมองไทเฮา
ไทเฮาทอดพระเนตรเฉียวเยว่อย่างพิจารณา แล้วค่อยๆ ตรัส "ได้ยินว่าท่านลุงเ้าถูกคนลอบทำร้าย"
เฉียวเยว่พยักหน้า โทสะสายหนึ่งวาบผ่านแววตา แต่ไม่ช้าก็กลับมายิ้มอย่างเป็ธรรมชาติ แล้วเอ่ยเสียงเบา "ไม่เป็อะไรมากเพคะ ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงห่วงใย"
"คนซีเหลียงเหิมเกริมเยี่ยงนี้จะปล่อยไปไม่ได้เป็อันขาด แต่เชื่อว่าเสนาบดีฉีน่าจะมีวิธีรับมือแล้ว" ไทเฮาทอดพระเนตรเฉียวเยว่ด้วยรอยยิ้ม "ได้ยินว่าครานี้ได้แม่นางหลี่ในจวนของจ้านเอ๋อร์มาช่วยรักษา?"
เฉียวเยว่พยักหน้ารับ "ใช่เพคะ ต้องขอบคุณในความช่วยเหลือของพี่จ้านแท้ๆ หากไม่มีเขา พวกเราก็คงจะทำอะไรไม่ถูก"
"จ้านเอ๋อร์ปฏิบัติต่อเ้าไม่เลวเลย" ไทเฮาคล้ายเปรยขึ้นมาลอยๆ
เฉียวเยว่ตอบอย่างแข็งขัน "แท้จริงแล้วพี่จ้านปฏิบัติต่อทุกคนอย่างดีเพคะ เพียงแต่อุปนิสัยของเขามักพูดจาไม่ค่อยรื่นหูนัก และไม่ชอบบอกสถานการณ์ที่แท้จริงของตนเอง เขาดูเหมือนเ็ามาก แต่หากเกิดเื่กับคนข้างกาย ไม่ว่าจะเป็หม่อมฉันหรือคนอื่น พี่จ้านก็จะออกมาเป็คนแรกเสมอ มีน้ำใจและความจริงใจเป็อย่างยิ่ง"
แววตาของเฉียวเยว่เปี่ยมไปด้วยความเคารพเลื่อมใส เปล่งประกายดุจดารา มุมปากโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มน่ารัก
อาจเป็เพราะคนที่เฉียวเยว่ชื่นชมคือหรงจ้าน ไทเฮาจึงแย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยน พระเนตรดำขลับทอประกายละมุนละไม ชวนให้คนอยากเข้าใกล้มากขึ้น ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนเมื่อครู่นี้อีก
"กลับเป็เ้าที่เข้าใจจ้านเอ๋อร์" พระนางตรัส
เฉียวเยว่พยักหน้าอย่างจริงจัง "แน่นอนเพคะ หม่อมฉันรู้จักพี่จ้านมาั้แ่เล็ก กี่ปีแล้วล่ะ" เฉียวเยว่ยกนิ้วขึ้นมานับราวกับเด็กๆ แล้วพูดอีกว่า "พวกเรารู้จักกันมาแปดปี แปดปีเชียวนะเพคะ จะมีสิ่งใดไม่ทะลุปรุโปร่งอีกเล่า"
ไทเฮาเลิกพระขนง ตรัสอย่างมีความนัย "บางคราการเข้าใจใครสักคนก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลากี่ปี แต่ต้องดูว่าเข้ากันได้หรือไม่ ดูจากตรงนี้ นับว่าเ้ากับจ้านเอ๋อร์เข้ากันได้ดี"
เฉียวเยว่พยักหน้ายิ้มร่า "หม่อมฉันกับพี่จ้านเข้ากันได้ดีั้แ่เด็กแล้วเพคะ เพียงแต่ตอนนั้นหม่อมฉันเห็นแก่กินไปหน่อย ผู้ใดให้ของอร่อย หม่อมฉันก็จะตามไปเล่นด้วย"
พูดมาถึงตรงนี้ เฉียวเยว่ก็หาได้มีความประหม่าแม้แต่ส่วนเสี้ยว
เด็กที่ใกล้ชิดกับไทเฮาไม่ว่าเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง แม้แต่เล็กยิ่งกว่านี้ก็มีอยู่ แต่ไม่เคยมีใครแสดงออกเช่นนี้มาก่อน ส่วนมากมักจะสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่กล้าพูดมาก ด้วยเกรงว่าจะพลั้งปากทำให้พระนางไม่พอพระทัย แต่ซูเฉียวเยว่กลับไม่เป็เช่นนั้น นางตรงไปตรงมา มีความมั่นใจในตนเองอย่างยิ่ง
เมื่อพินิจอย่างละเอียด เด็กคนนี้นับว่าไม่ทำตัวต่ำต้อยหรือกระด้างกระเดื่องจนเกินไป
ไทเฮาทรงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็ตรัส "แม้จ้านเอ๋อร์จะรักเ้ามาก แต่อย่างไรเสียก็เป็ชายหนุ่ม ข้ามักคิดอยู่เสมอว่าควรให้แม่นางหลี่ผู้นั้นย้ายออกไปจากจวนเขาดีหรือไม่ ถึงอย่างไรฝ่าาก็ทรงคิดจะพระราชทานสมรสให้กับพวกเ้า หากยังไม่ทันแต่งงานก็มีข่าวลือไม่ดีเสียแล้ว นั่นจะไม่เป็ผลดีต่อเ้า"
พระสุรเสียงของไทเฮาปราศจากอารมณ์ ทว่าเฉียวเยว่กลับรู้สึกได้ถึงการหยั่งเชิงของพระนาง
เฉียวเยว่ทำตาปริบๆ เอ่ยเสียงเบา "ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงมีหม่อมฉันอยู่ในพระทัยเพคะ ทว่าหม่อมฉันเองหาได้ใส่ใจเื่เหล่านี้มากมายนัก ของของหม่อมฉันใครก็่ชิงไปไม่ได้ แต่หากไม่ใช่ของหม่อมฉัน ไม่ว่า่ชิงเท่าไรก็คงไม่ได้กลับมา พี่จ้านรู้จักกับพี่หญิงหลี่มาเนิ่นนาน นานกว่าหม่อมฉันเสียอีก แต่พวกเขาก็มิได้ครองคู่กัน ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่าหากพวกเขาคิดจะใช้ชีวิตร่วมกัน ก็คงอยู่ด้วยกันไปนานแล้ว ไม่ต้องรอเวลานี้หรอกเพคะ"
เฉียวเยว่กลับแสดงความคิดทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา เห็นนางดูไม่เหมือนเสแสร้ง จึงตรัสว่า "เมื่อเ้าเองยังไม่ใส่ใจ ข้าก็ไม่ต้องกังวลแทนเ้าแล้ว"
มือน้อยๆ ของเฉียวเยว่ยังอยู่บนตัก จัดกระโปรงของตนเอง หลังจากนั้นก็ยิ้มหวาน
ไทเฮาถอนพระปัสสาสะอย่างงามสง่า ก่อนตรัสขึ้นว่า "ลุงของเ้าอยู่โดดเดี่ยวมานานเกินไปแล้ว"
"จริงเพคะ แต่ท่านลุงน่าจะมีความคิดเป็ของตนเอง แม้แต่ท่านตายังชาชินเสียแล้ว ท่านตามักกล่าวอยู่บ่อยครั้ง ท่านลุงไม่ยอมแต่งภรรยาใหม่ สกุลฉีไร้ทายาทสืบทอดไม่สำคัญ ความสุขของท่านลุงสำคัญกว่า ท่านลุงทำงานราชการก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว คนในครอบครัวไม่ควรออกความคิดส่งเดช สร้างความลำบากใจให้เขา"
ไทเฮาทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ แล้วตรัสอย่างเนิบช้า "ซูเฉียวเยว่... น่าสนใจจริงๆ"
เฉียวเยว่ทำสีหน้างุนงง
ไทเฮามองดวงหน้ายิ้มแย้มของนาง หลังจากนั้นก็ตรัส "เ้าเป็เด็กฉลาด ไร้ที่ติ"
"ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงชมเชยเพคะ" เฉียวเยว่กล่าวขึ้นทันที
...
[1] สีแดงดอกกุ้ย หมายถึงสีแดงดอกกุหลาบ เป็สีที่อยู่ตรงกลางระหว่างสีแดงกับสีม่วง
[2] โค่วตานคือสีเคลือบเล็บสมัยโบราณ ทำมาจากกลีบดอกไม้ที่มีสีสันงดงาม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้