"ฉันเป็ช่างทาสี ทาดี๊ดีเก่งยิ่งกว่าใคร..." [1] นางร้องเพลงไปก็ทาสีไป สุดแสนจะมีความสุข
อาจารย์ฉีได้ยินเสียงนางร้องเพลงั้แ่ยังเดินมาไม่ถึงเรือน สายลมสารทโชยมา พัดเอาผมม้าของเด็กน้อยน่ารักลู่ไปด้านหลัง แต่นางก็ยังคงป้าย ป้าย ป้าย ทาสีต่อไป
เขาเข้ามาเพ่งพินิจสิ่งที่หลานสาวกำลังทำ พบว่าเป็กล่องเล็กๆ ใบหนึ่ง ้าแกะสลักเป็ลวดลายเรียบง่าย เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ "ไกวเยว่ [2] ทำอะไรอยู่หรือ?"
เ้าของหน้าตาอัปลักษณ์นี่คือสิ่งใด?
เฉียวเยว่เงยหน้าขึ้น ยิ้มยิงฟัน ก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง "อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดท่านย่าของข้าแล้ว ข้าจึงทำกล่องเครื่องประดับให้ท่านย่าหนึ่งใบ"
อาจารย์ฉีพยายามมองกล่องเล็กๆ ใบนั้นให้เป็กล่องเครื่องประดับ
"นี่ไกวเยว่ทำเองหมดเลยหรือ?" เขาเริ่มถามอย่างจริงจัง
เฉียวเยว่หัวเราะฮี่ๆ "ท่านพ่อกับข้าและฉีอันช่วยกันทำร่วมกันเ้าค่ะ ท่านพ่อทำโครงสร้างโดยรวม ข้ากับฉีอันช่วยกันขัดให้ขึ้นเงา ส่วนลวดลายที่งดงามฉีอันเป็คนแกะสลัก มันดูเหมือนดอกไม้ใช่หรือไม่ ตอนนี้ข้ารับผิดชอบขั้นตอนสุดท้ายคือการทาสีเ้าค่ะ"
ไม่รู้เพราะเหตุใด จากกล่องเครื่องประดับที่คิดว่าแสนจะธรรมดาในตอนแรก จู่ๆ ก็เต็มไปด้วยแสงสว่างเรืองรอง
อาจารย์ฉีรู้สึกว่ากล่องเครื่องประดับใบนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก มองซ้ายมองขวาก็ยิ่งรู้สึกวางไม่ลง
"ดีเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ" นัยตาเต็มไปด้วยความปรารถนา อยากเอากลับบ้านจนแทบอดใจไม่ไหว "ดอกไม้ดอกนี้... เป็ดอกโบตั๋นรึ? ช่างงามเพริศพริ้งเสียเหลือเกิน"
เฉียวเยว่หน้าแตกยับ เงยหน้าขึ้นตอบอย่างตรงไปตรงมา "มิใช่ดอกโบตั๋น เป็ดอกกล้วยไม้ ท่านย่าชอบดอกกล้วยไม้เ้าค่ะ"
อาจารย์ฉีทำสีหน้าตระหนักได้ แล้วก็กล่าวอีกว่า "ข้าก็ว่าไม่ค่อยเหมือนโบตั๋นเท่าไร เป็กล้วยไม้ที่มีสีสันแลดูสง่างามยิ่งนัก"
เฉียวเยว่ดีใจมาก "ท่านตาคิดเช่นนั้นหรือ? สีของดอกไม้ข้าเลือกเอง แต่ข้าวาดสู้ฉีอันไม่ได้ ฉีอันวาดสวยใช่หรือไม่? ยอดเยี่ยมไปเลย ท่านย่าต้องชอบแน่"
ถึงกล่าวว่าท่านตาของนางคือนักประเมินชั้นยอด ของอย่างอื่นแม้จะหรูหราราคาแพงอย่างไรก็ไม่ดีเท่าของสิ่งนี้ นี่คือขวัญที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ยิ่งไปกว่านั้นยังผสมผสานไปด้วยความรักเปี่ยมล้นของพวกเขา
เฉียวเยว่เชิดคางอย่างภาคภูมิใจ แล้วทาสีต่อไปอย่างมีความสุข "ท่านตาก็ชอบหรือ พวกเราจะทำให้ท่านด้วยหนึ่งใบ สำหรับใส่ตราประทับดีหรือไม่?"
อาจารย์ฉีถูมือ ก่อนถามอย่างระมัดระวัง "ได้หรือ? ได้จริงๆ หรือ? ไกวเยว่ของตาจะเหนื่อยหรือไม่?"
เฉียวเยว่สะบัดศีรษะ ทำท่าราวกับสั่นไหวไปตามสายลม "เหนื่อยอันใด เด็กน้อยต้องลงมือทำถึงจะยิ่งฉลาดเฉลียว"
อาจารย์ฉีหัวเราะ เขาย่อตัวลงข้างเฉียวเยว่ "ไกวเยว่ฉลาดที่สุดแล้ว เด็กบ้านอื่นล้วนเทียบไม่ติด"
"ท่านพ่อชมนางเช่นนี้ นางก็เหลิงหมดสิเ้าคะ" ไท่ไท่สามหิ้วตะกร้าเข้ามา มีรอยยิ้มประดับมุมปาก นางรีบเข้ามาประคองอาจารย์ฉีให้ลุกขึ้น "ท่านพ่อ อย่าลงไปคุกเข่าเช่นนี้ เดี๋ยวจะไม่สบายนะเ้าคะ"
อาจารย์ฉีกลอกตาใส่บุตรสาว รู้สึกว่านางตาไม่ถึงเอาเสียเลย
"หากเ้าไม่มีอะไรก็ไปหางานทำเถอะ อย่ามาเกะกะแถวนี้ ข้ากับไกวเยว่จะคุยกัน"
ั้แ่อาจารย์ฉีกลับมาเมืองหลวง เฉียวเยว่ก็เปลี่ยนจากเด็กซุกซนมาเป็เด็กว่านอนสอนง่าย จุดนี้ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดอย่างไรไท่ไท่สามก็ไม่เชื่อเด็ดขาด เฉียวเยว่ของนางว่านอนสอนง่ายั้แ่เมื่อไร โกหกหลอกลวงทั้งเพ
แต่พอนึกถึงความน่ารักและช่างประจบสอพลอของเด็กคนนี้ ก็พอจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดบิดาถึงรักนางนักหนา
ไท่ไท่สามอมยิ้มเดินเข้าไปในห้อง เก็บขนมไว้ให้ฉีอันก่อนกลับไปที่ห้องโถงใหญ่ เมื่อเห็นว่าอากาศเริ่มเย็นลงไท่ไท่สามก็กำชับกับผู้ดูแล "เด็กๆ มีพลังธาตุไฟเยอะ อย่าเผาถ่านจนห้องของพวกเขาร้อนเกินไป มิเช่นนั้นพวกเขาอาจไม่สบายกันได้"
ผู้ดูแลฟังแล้วก็ตอบ "เ้าค่ะ"
"นอกจากที่ในจวนจัดสรรปันส่วนมาให้ เรือนของพวกเรายังต้องซื้อเพิ่มอีกหน่อย แต่อย่าเยอะเกินไปจนผู้อื่นเกิดความรำคาญ"
ผู้ดูแลรับคำทันที
เรือนสามคนน้อยเื่น้อย ไท่ไท่สามจัดการธุระทุกอย่างเสร็จสรรพก็เริ่มทำปลอกแขนให้ซูซานหลาง
"ไท่ไท่ คุณหนูรองสกุลหวังมาขอเข้าพบที่หน้าประตูเรือนเ้าค่ะ" สาวใช้เดินเข้ามารายงาน เนื่องจากก่อนหน้านี้ไท่ไท่รองก่อเื่ไร้เหตุผลเกินไป นายท่านสามจึงสั่งเอาไว้ว่า วันหลังหากไท่ไท่รองมาให้ไล่กลับไป คนเยี่ยงนี้เรือนสามต้อนรับไม่ไหว เดี๋ยวจะถูกผู้อื่นใส่ความอีก เมื่อเป็เช่นนี้จึงยากจะตัดสินใจได้ว่าควรเชิญคุณหนูรองสกุลหวังเข้ามาหรือไม่
ไท่ไท่สามนิ่งคิดอยู่สักพัก นี่ก็ไม่ได้ขัดความประสงค์ของสามี ผู้มาเป็แขก ยากจะปฏิเสธออกไปตรงๆ
"ไปเชิญคุณหนูรองสกุลหวังเข้ามาเถอะ" นางกล่าว
ไม่นานนัก ก็เห็นคุณหนูรองสกุลหวังสวมอาภรณ์สีม่วงอมแดงทั้งตัว ทับด้วยผ้าคลุมไหล่สีขาวที่เข้าชุดกันอย่างสมบูรณ์แบบ ขับเน้นให้สีผิวขาวกระจ่างยิ่งกว่าหิมะ
นางยอบกายเล็กน้อย รอยยิ้มสง่างาม "หรูเมิ่งคารวะสะใภ้สาม"
คำกล่าวนี้ค่อนข้างจะไม่ถูกต้อง ไม่ว่าอย่างไร นางไม่ควรเรียกว่าสะใภ้สาม แต่ไท่ไท่สามก็มิได้ทัดทาน เพียงกล่าวเรียบๆ "หรูเมิ่งนั่งก่อนสิ"
หวังหรูเมิ่งนั่งลง ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม "หรูเมิ่งมากะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าเป็การรบกวนสะใภ้สาม อันที่จริงอยากมาตั้งนานแล้ว แต่พี่สาวของข้ากำลังตั้งครรภ์ ่นี้อารมณ์ของนางขึ้นๆ ลงๆ ้าคนปลอบประโลมให้ใจสงบ ก็เลยต้องผัดวันเลื่อนมาถึงวันนี้ถึงมีเวลามาเยี่ยมเยียน"
ไท่ไท่สามอมยิ้ม "เ้าพูดเหมือนเห็นข้าเป็คนนอกไปได้ อย่างไรเสียร่างกายของพี่สะใภ้รองก็สำคัญที่สุด สุขภาพของนางเป็อย่างไรบ้าง ข้าถูกเ้าตัวเล็กสองคนตามตอแยทั้งวัน ไม่สะดวกไปเยี่ยมนาง เฉียวเยว่กับฉีอันคอยเดินตามอยู่ทุกฝีก้าว พวกเขายังเด็ก ซ้ำยังซุกซน กลัวว่าจะวิ่งไปชนพี่สะใภ้รอง ด้วยเหตุนี้ข้าถึงไม่กล้าไป"
แท้จริงแล้วทุกคนต่างรู้ว่านี่เป็เพียงข้ออ้าง แต่ไม่จำเป็ต้องคาดคั้นให้มากความเท่านั้นเอง
"สะใภ้สามกล่าวเช่นนี้ก็เกรงใจไปแล้ว คุณหนูเจ็ดกับนายน้อยสี่ล้วนน่ารักน่าเอ็นดู ข้าเห็นแล้วยังชอบเลย" หรูเมิ่งกล่าว ก่อนจะชะเง้อมองแล้วถามขึ้น "เหตุใดไม่เห็นคุณหนูเจ็ดเลยเล่า ปรกตินางมักจะอยู่ข้างกายท่านมิใช่หรือ?"
ไท่ไท่สามยกยิ้มแฝงไปด้วยความจนใจอยู่บ้าง "นางยุ่งอยู่กับการทำของขวัญอยู่ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของท่านแม่แล้ว นางตั้งใจจะประดิษฐ์ของขวัญด้วยตนเอง"
หรูเมิ่งทอยิ้มเล็กน้อย "ไม่รู้ว่าคุณหนูเจ็ดเตรียมของขวัญอันใด ข้าชักอยากรู้เสียแล้วสิ"
แม้ว่าการแสดงออกของหวังหรูเมิ่งจะไม่แจ่มชัด แต่ไท่ไท่สามก็รู้สึกได้ว่านางอยากพบเฉียวเยว่มาก หรืออีกนัยหนึ่งคือมิได้อยากพบเฉียวเยว่ แต่อยากพบคนที่อยู่กับเฉียวเยว่มากกว่า
บิดาของนาง
แท้จริงแล้วที่นางเลือกมาวันนี้ก็พอจะมองออกอยู่บ้าง แม้ว่าไท่ไท่สามจะสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ ดูเหมือนไม่นำพาสิ่งใด และไม่ตัดสินใจอะไรด้วย แต่นางหาใช่สะใภ้ที่โง่งมไร้ซึ่งแผนการ
นางหัวเราะเบาๆ "นี่เป็ความลับ ไม่อาจบอกผู้อื่นได้เป็อันขาด มิเช่นนั้นจะสร้างความตื่นเต้นประหลาดใจได้อย่างไร"
"ท่านแม่ ท่านแม่..." เสียงวิ่งตึงตังดังขึ้น ไท่ไท่สามถอนหายใจเงียบๆ นางกลับมาหาเสียเอง
เฉียวเยว่เลิกม่านขึ้นเห็นหวังหรูเมิ่งก็ร้องทักเสียงดัง "คารวะท่านน้า"
หลังจากนั้นก็เข้ามาซบข้างกายไท่ไท่สาม เงยหน้าดวงน้อยขึ้นถาม "ท่านแม่ ขนมวันนี้อร่อยมาก ข้ารู้ ท่านทำเองใช่หรือไม่?"
ไท่ไท่สามบีบจมูกน้อยๆ ของนาง "เหตุใดฉลาดเยี่ยงนี้นะ"
เฉียวเยว่ะโโลดเต้นทันควัน "นั่นปะไร ข้าว่าแล้วต้องเป็ท่านทำแน่ๆ ฉีอันไม่ยอมเชื่อ"
ไท่ไท่สามอุ้มนางขึ้นมานั่งบนตักพลางอมยิ้ม "เป็เด็กผู้หญิง วันหลังอย่าะโอีกนะ" แล้วล้วงผ้าออกมาเช็ดฝุ่นบนใบหน้าให้นาง หลังจากนั้นก็พูดอีกว่า "ให้เ้าเห็นเื่ขบขันแล้ว"
หวังหรูเมิ่งส่ายหน้า
"คุณหนูเจ็ดน่ารักมากจริงๆ" นางเอ่ยเสียงเบา
"เพราะข้าเป็เทพธิดาตัวน้อย ย่อมจะน่ารักเป็พิเศษอยู่แล้ว" เฉียวเยว่ยอมรับอย่างมั่นใจ
หวังหรูเมิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะยิ้มออกมา แล้วเอ่ยว่า "เช่นนั้นวันหลังเทพธิดาน้อยก็มาเล่นกับข้าบ้างสิ ข้าก็เป็เทพธิดาเหมือนกันนะ"
"ท่านสวยสู้แม่ข้าไม่ได้ ท่านไม่ใช่เทพธิดาเสียหน่อย" เฉียวเยว่ค่อนขอด
"เด็กคนนี้ เหตุใดกล่าวเช่นนี้เล่า ท่านน้าแค่หยอกเ้าเล่นเท่านั้นเอง เ้ากลับพูดเหลวไหลอีกแล้ว หากไม่เชื่อฟัง แม่จะลงโทษให้คัดอักษรเลยนะ"
เฉียวเยว่ยกมือปิดหน้า พลางสั่นศีรษะอย่างแรง "ไม่เอา ไม่เอา เด็กถูกลงโทษจะเกิดการต่อต้านได้ง่าย ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ"
นางไถลตัวลงมาจากตักของไท่ไท่สาม "ท่านน้า เมื่อครู่ข้าเพียงล้อเล่นกับท่าน ท่านอย่าได้ถือสาเลยนะเ้าคะ" ทว่าสีหน้าดูจริงจังมาก
"เช่นนั้นข้ากลับห้องหนังสือก่อนล่ะ" นางพูดอย่างตรงไปตรงมา ยอบกายเล็กน้อย แล้ววิ่งตึงตังออกไปทันที
"เ้าเด็กคนนี้ ระวังหน่อย" ไท่ไท่สามร้องขึ้นด้วยความเป็ห่วง
เฉียวเยว่ะโตอบกลับมา "เ้าค่ะ"
่เย็นอาจารย์ฉีกลับไปแล้ว เฉียวเยว่บอกกับซูซานหลางด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ข้าบอกกับท่านตาว่าอีกสองสามวันจะไปค้างบ้านเขา"
ซูซานหลางไม่เงยหน้า เพียงถามเรียบๆ ดูไม่ออกว่าพึงพอใจหรือโมโห "ใครอนุญาตให้เ้าตอบตกลงเองหืม? ซูเฉียวเยว่ ตอนนี้เ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่หรือไม่?"
เฉียวเยว่ยิ้มตาหยี ตอบอย่างจริงจัง "อีกสองสามวัน แต่ยังไม่ได้บอกว่าวันไหน ต้องรอให้ท่านพ่อเป็ผู้ตัดสินใจ เพราะข้าเป็เด็กดีที่สุด" พูดมาถึงประโยคสุดท้ายก็ไม่แคล้วชมตัวเอง
มืออวบน้อยๆ พลิกหนังสือภาพตรงหน้า ครุ่นคิดไปด้วย แต่ไม่เสียเวลาพูดคุยแม้แต่น้อย
"เด็กดีหรือ? ข้าว่าเ้าเป็เด็กดื้อมากกว่า" ซูซานหลางกล่าว
พูดถึงเื่นี้เฉียวเยว่ไม่อาจยอมรับได้ นางแค่นเสียงฮึดฮัด "ท่านพ่อจะว่าข้าเช่นนี้ไม่ได้ วันนี้ข้าอุตส่าห์ไปช่วยท่านแม่ แต่ดูเหมือนว่าท่านแม่จะไม่้าความช่วยเหลือจากข้า"
ซูซานหลางรู้เื่การมาเยือนของหวังหรูเมิ่งวันนี้แล้ว ดูท่าหวังหรูเมิ่งคงจะสนใจพี่ชายภรรยา มิเช่นนั้นคงจะไม่ถือโอกาสมาวันนี้ หากวันนี้นางได้พบกับอาจารย์ สร้างความประทับใจที่ดี ก็จะเป็ต่อมากขึ้นอีกก้าว นางมาเวลานี้เห็นชัดว่าต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าไว้แล้ว นึกถึงตรงนี้มุมปากของซูซานหลางก็โค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนี้กลับเต็มไปด้วยการเหยียดหยัน
เมื่อตรองดูอย่างถี่ถ้วน หวังหรูเมิ่งมิเคยพบพี่ชายภรรยามาก่อน เป็ไปไม่ได้ที่จะเกิดความรักอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่หมายตาคงมีเพียงอำนาจ เื่อื่นๆ อย่างไรก็ได้ เมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกัน ชีวิตก็แตกต่างกันแล้ว เริ่มต้นมาก็มุ่งหวังอำนาจและผลประโยชน์ ช่างน่าดูแคลนเสียนี่กระไร
แม้ว่าซูซานหลางจะเฉลียวฉลาด แต่คนที่ไม่เคยรับราชการจะไม่รู้สึกว่าตนเองขาดแคลนสิ่งใด ปรกติคนเช่นนี้จะมีอุดมคติสูงมาก ซูซานหลางก็เช่นเดียวกัน
"วันหลังเ้าจงอยู่ให้ห่างจากคุณหนูรองสกุลหวังผู้นี้หน่อย จะได้ไม่ติดนิสัยเสียจากนางมา"
พอคำกล่าวนี้เอ่ยออกมา อิ้งเยว่ซึ่งนั่งอ่านตำราเงียบๆ อยู่ด้านข้างก็หัวเราะ เงยหน้าขึ้นมอง "ท่านพ่อ ท่านแน่ใจหรือว่ามิใช่เฉียวเยว่เป็คนพาให้ผู้อื่นเสียคน"
เฉียวเยว่ปิดหน้า ร้องลั่นว่า "พี่สาวล้อเลียนข้า"
...
[1] เนื้อเพลง ช่างทาสี เป็เพลงสำหรับเด็กเพลงหนึ่งของจีน
[2] ไกวเยว่เป็ชื่อที่อาจารย์ฉีตั้งให้เฉียวเยว่ สื่อความหมายว่าเป็เด็กที่ว่านอนสอนง่าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้