จวนองค์ชายเจ็ดตั้งอยู่ที่ถนนจูเชวี่ยทางทิศตะวันออกของเมือง
ถนนจูเชวี่ยกว้างขวางทางเรียบไม่ขรุขระ คฤหาสน์สองฝั่งล้วนใหญ่โตมโหฬาร ผู้อยู่อาศัยในนั้นส่วนใหญ่เป็ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์และขุนนางระดับสูง
จวนองค์ชายเจ็ดกับองค์ชายเก้าอยู่ถนนสายเดียวกัน แค่หลังหนึ่งอยู่หัวถนน อีกหลังอยู่ท้ายถนน แต่หาได้อยู่ติดกัน
อีกอย่าง ก่อนหน้านี้องค์ชายเจ็ดแทบจะไม่อยู่ในจวน ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับจวนที่แสนจะครึกครื้นมีชีวิตชีวาขององค์ชายเก้า จวนองค์ชายเจ็ดจึงเรียบง่ายและเงียบสงบกว่ามาก
เหลียนเซวียนกลับมาถึงจวนก็ดึกแล้ว
เขาถอดชุดหมั่งผาวสีแดงออก เปลี่ยนเป็อาภรณ์ตัวยาวสีน้ำเงิน แล้วเดินไปห้องหนังสือ
"องค์ชาย" เหลยลี่ยืนรออยู่หน้าห้อง
"อื้อ" เหลียนเซวียนตอบกลับมา ก่อนผลักประตูเข้าไป
"พวกเขาถึงไหนกันแล้ว?"
เหลียนเซวียนนั่งลง วางข้อศอกเท้าโต๊ะหนังสือไม้จื่อถานแกะสลักลายั ใช้ปลายนิ้วลูบคิ้วเบาๆ
เดินทางต่อเนื่องกันหลายวัน ทั้งยังต้องเข้าวังร่วมงานสังสรรค์ั้แ่่เย็น ทำให้เหลียนเซวียนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่บ้าง
"ทูลองค์ชาย พักค้างคืนอยู่ที่เมืองลี่อี้พ่ะย่ะค่ะ" เหลยลี่วางสารที่ฟางขุยส่งมาไว้บนโต๊ะหนังสือ
เหลียนเซวียนเปิดออกดู กวาดตาคราเดียวสิบบรรทัด หลังอ่านจบ สีหน้าก็ฉายแววประหลาดใจ
ไม่นึกว่าผูหยางชิงหลันกับหย่งเจียจะนั่งเล่นไพ่ด้วยกัน
ไพ่ชนิดนั้นเรียกว่าผู่เค่อ [1] เซวียเสี่ยวหรั่นใช้กระดาษเอามาตัดเป็แผ่นเล็กขนาดเท่าฝ่ามือ หลังจากนั้นก็วาดรูปสัญลักษณ์และเขียนหมายเลขบนหน้าไพ่ แล้วค่อยสอนวิธีการเล่นให้พวกเขา
คนกลุ่มหนึ่งเล่นไพ่ผู่เค่อบนรถม้าั้แ่เมื่อวาน
เพราะท่านหญิงหย่งเจียหาข้ออ้างไปอยู่บนรถของเซวียเสี่ยวหรั่นตลอดเวลา เดิมทีผูหยางชิงหลันยังคงอดทน แต่ผลก็คือสองวันมานี้ พวกนางก็เริ่มเล่นไพ่ผู่เค่อกันอย่างสนุกสนาน
ตอนแรกเขาขี่ม้าเข้าไปใกล้หน้าต่างแสร้งทำเป็ผ่านมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นก็แอบดูว่าพวกนางทำอะไรกัน
มองจากมุมหน้าต่างเห็นอูหลันฮวาถือไพ่อยู่ในมือพอดี หลังจากดูอยู่สองสามตา ก็เข้าใจวิธีการเล่น ตอนนั้นเห็นชัดอยู่ว่าอูหลันฮวาถือไพ่ดีๆ ในมือ แต่นางกลับทิ้งไพ่มั่วซั่วจนเขาอดไม่ไหวต้องเอ่ยปากชี้แนะ
สอนไปๆ ตัวเขาเองชักเริ่มคันมือ
ครั้นแล้วถึงเรียกอูหลันฮวาซึ่งมือไม้งุ่มง่าม ออกมานั่งนอกรถ ส่วนตนเองก็นั่งพิงฝั่งม่านไม้ไผ่แล้วเริ่มลงสนามประลองในฐานะมือที่สี่
ขณะที่ฟางขุยส่งข่าว พวกเขายังเล่นกันอยู่เลย
สตรีผู้นี้ทำของเล่นแปลกๆ อีกแล้ว
สีหน้าเ็าของเหลียนเซวียนเผยรอยยิ้มออกมา
เหลยลี่เห็นแล้วก็ตระหนกอยู่เงียบๆ
เห็นอยู่ว่า่สองสามวันมานี้องค์ชายอารมณ์ไม่ดี บางคราแค่ใช้สายตาเยียบเย็นกวาดมองก็หนาวไปถึงกระดูกแล้ว
มีแต่ยามฟางขุยส่งข่าวรายวันมา สีพระพักตร์ถึงอ่อนโยนลงบ้าง
คุณหนูเซวียมีน้ำหนักในใจขององค์ชายไม่เบาจริงๆ
"มีข่าวเหลิ่งอีบ้างหรือไม่?"
"น่าจะยังไม่กลับเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ เขาาเ็สาหัส คิดว่าคงไม่เลือกกลับเมืองหลวงเวลานี้" เหลยลี่ตอบกลับ เขาเดินทางตามหลังมาตลอดทาง เผชิญหน้ากับศัตรูหลายครา แต่อีกฝ่ายก็หนีรอดไปได้
เหลยลี่นึกแล้วก็รู้สึกเข่นเขี้ยว กว่าจะหาตัวเหลิ่งอีพบไม่ง่าย แต่กลับปล่อยให้เขาหนีไปได้
สมกับเป็ยอดฝีมือด้านการสะกดรอยและพรางตัว แม้เหลยลี่จะขุ่นเคือง แต่ขณะเดียวกันก็มิอาจไม่เลื่อมใส
"นั่นก็ต้องดูว่าคนที่อยู่เื้ัมีจุดประสงค์อย่างไร" เหลียนเซวียนนวดจุดไท่หยางที่ขมับเบาๆ "ให้คนจับตาจวนองค์ชายหกกับจวนลี่อ๋อง"
"พ่ะย่ะค่ะ"
"เื่อันหย่วนโหวตรวจสอบได้ว่าอย่างไรบ้าง" ยามนึกถึงหน้าหญิงงามสะคราญผู้เย่อหยิ่งในงานเลี้ยงดวงนั้น ประกายเยียบเย็นก็วาบผ่านดวงตาของเหลียนเซวียน
"สายลับรายงานกลับมาว่าอันหย่วนโหวซ่งป๋อเหลียงกับหวงกุ้ยเฟยรู้จักกันมาแต่เล็ก ก่อนที่หวงกุ้ยเฟยจะเข้าวัง ตอนนั้นดูเหมือนว่าฮ่องเต้ซีฉีจะทรงมีพระประสงค์แต่งตั้งซ่งป๋อเหลียงเป็ราชบุตรเขย" เหลยลี่มองนายตนเองอย่างระมัดระวัง พอเห็นสีหน้าไม่เปลี่ยนถึงพูดต่อ
"สายลับยังสืบได้ว่าตอนนั้นฝ่าาทรงนำทัพโจมตีชายแดน แล้วบุกตะลุยไปจนถึงนอกเมืองหลวง หลังจากฮ่องเต้ซีฉียกหวงกุ้ยเฟยให้เป็บรรณาการแด่ฝ่าา ซ่งป๋อเหลียงได้ยินข่าวก็กระอักเืสลบไปทันที ตอนนั้นเป็เื่ราวใหญ่โตทีเดียว"
เหลียนเซวียนยกมุมปาก เปล่งเสียงหัวเราะเยาะออกมา นิ้วมือที่วางอยู่บนโต๊ะเริ่มเคาะเบาๆ นี่หรือเหตุผลของนาง?
"พวกเขาติดต่อกันตลอดหลายปีเลยหรือ"
"เื่นี้... ยังมิได้ตรวจสอบพ่ะย่ะค่ะ" เหลยลี่ลอบกลืนน้ำลาย
"ไปจัดการซะ ตรวจสอบคนตำหนักถิงหวาที่มาจากซีฉีทั้งหมดโดยละเอียด" ทั่วร่างของเหลียนเซวียนกำจายไปด้วยความเกลียดชัง
"พ่ะย่ะค่ะ" เหลยลี่รับปากด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก "แต่ว่า องค์ชาย คนตำหนักถิงหวาต่างระมัดระวังตนทุกกระเบียดมาแต่ไหนแต่ไร ตรวจสอบได้ยากยิ่ง"
"ทุกคนย่อมมีจุดอ่อน ยังต้องให้ข้าสอนอีกรึ" เหลียนเซวียนเงยหน้าขึ้น ประกายเย็นะเืวาบผ่านดวงตา
"พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อย... ข้าน้อยจำได้แล้ว" เหลยลี่รีบก้มหน้าทันควัน
"ไปตามเหลิ่งซานมา" เหลียนเซวียนมองเอกสารราชการกองโตที่มุมโต๊ะ พลันรู้สึกหงุดหงิดโดยไม่มีสาเหตุ
เหลยลี่รับคำแล้วรีบออกไป
บุรุษชุดเทารูปร่างผอมคนหนึ่งสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปในห้องหนังสือ เครื่องเคราใบหน้าไม่โดดเด่น รูปโฉมธรรมดา ใบหน้าเ็าราวกับมีพลังอินไหลซึมออกมา
เขาหยุดอยู่ห่างออกไปห้าก้าวแล้วย่อคุกเข่าข้างเดียว "องค์ชาย"
เหลียนเซวียนไม่เปล่งเสียง แต่มองเขาอย่างเ็า
เหลิ่งซานหลุบสายตา ยังคงรักษากิริยาไม่ขยับเขยื้อน
"เื่เหลิ่งอี เ้าพูดมาซิ"
"องค์ชาย วันที่พระองค์เกิดเื่ เหลิ่งอีสั่งย้ายองครักษ์เงาติดตามอีกคนไปไว้ที่อื่น ตอนนั้นจึงมีเพียงเขาคนเดียวที่ติดตามพระองค์ หลังเกิดเื่ ทั้งหน่วยองครักษ์เงาออกค้นหาแทบจะพลิกเมืองหลวง แต่ก็ไม่พบเบาะแสของเหลิ่งอีกับพระองค์"
เสียงของเหลิ่งซานเหมือนกับชื่อของเขา มีแต่ความเ็า
"ต่อมาพอย้อนนึกดู เหลิ่งอีน่าจะมีความผิดปรกติั้แ่ก่อนพระองค์เกิดเื่ครึ่งปี ่ที่ไม่ได้เข้าเวร เขาเริ่มออกไปข้างนอกถี่ขึ้น
ไม่เพียงแต่ออกไปบ่อยๆ แต่พฤติกรรมก็แปลกไป มีการเปลี่ยนแปลงลำดับองครักษ์เงาที่เข้าเวรหลายต่อหลายครั้ง แต่ตอนนั้นพวกเขามิได้สังเกต ใครเล่าจะคิดว่าผู้ติดตามข้างกายองค์ชายมาหลายปีอย่างเหลิ่งอีจะคิดคดทรยศ
"สาเหตุ?" หนังตาของเหลียนเซวียนมิได้เลิกขึ้น
"ข้าน้อยไร้ความสามารถ ยังตรวจสอบไม่พบ เหลิ่งอีซ่อนเบาะแสของตนเองแเียิ่ง" เหลิ่งซานก้มศีรษะลงต่ำ
"ครานี้เขาไปซุ่มโจมตีข้า ถูกข้าทำร้ายาเ็สาหัส เ้าไปตรวจสอบสถานที่ที่เขาอาจจะซ่อนตัวอยู่ให้ดีอีกรอบ" เหลียนเซวียนสีหน้าไร้ความรู้สึก
"พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทราบแล้ว" เหลิ่งซานรับคำ
เหลิ่งซานถอยออกไปจากห้องหนังสือ ก็เป็ยามไฮ่หนึ่งเค่อ [1] แล้ว
ราตรีเงียบสงัดปราศจากผู้คน เสียงจักจั่นร้องดังระงมลานสวน
เหลียนเซวียนนวดคิ้ว ความเงียบของราตรีนี้ทำให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยว
ทันใดนั้นก็นึกถึงสตรีชอบจู้จี้ขี้บ่น และมักมีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอบางคน
อีกสีห้าวันพวกนางก็คงมาถึงเมืองหลวงกันแล้ว
แหงนหน้าขึ้นมองจันทร์กระจ่างนอกหน้าต่าง ดวงเนตรคมกริบฉายแววอ่อนโยนทีละน้อย
ทุกคราที่กลับมาเมืองหลวงอันรุ่งเรืองแห่งนี้ มักทำให้เขารู้สึกกดดันและเปล่าเปลี่ยว หากมีทางเลือก เขายินดีเฝ้าอยู่ชายแดนต่อไปมากกว่าที่จะกลับมาเมืองหลวง และต้องคบค้าสมาคมกับพวกสวมหน้ากากเ่าั้
เขามองดวงจันทร์เงียบๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนเอื้อมมือไปหยิบเอกสารราชการที่มุมโต๊ะ ค่อยๆ พลิกอ่านภายใต้แสงตะเกียงแก้ว ไม่ได้กลับมาหนึ่งปี มีงานที่ต้องสะสางสะสมไว้มากมายเหลือเกิน
เขาต้องสะสางเื่เหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนที่พวกนางจะกลับมาถึงเมืองหลวง ถึงจะพอจัดสรรเวลาได้บ้าง
...
[1] ไพ่ผู่เค่อ คือ โป๊กเกอร์ เป็ชื่อการพนันชนิดหนึ่ง ใช้ไพ่ป๊อก มักเล่นเป็กลุ่ม ๔ คน เ้ามือแจกไพ่ควํ่าคนละ ๕ ใบ ทุกคนมีสิทธิ์ขอเปลี่ยนไพ่ครั้งเดียว ผู้ใดถือไพ่รวมได้แต้มหรือศักดิ์สูงกว่าตามกติกาผู้นั้นชนะ
[2] ยามไฮ่หมายถึง่เวลาระหว่าง 21.00-22.59 เวลาหนึ่งชั่วยามมี 8 เค่อ ดังนั้น ยามไฮ่หนึ่งเค่อ จึงหมายถึงเวลา 21.15 น.
