“อือ” อ๋าวหรานตอบรับ
จิ่งฝาน “ไปกันเถอะ พาเ้าไปดูด้านในที่ลึกกว่านี้”
อ๋าวหราน “ได้”
ยิ่งอ๋าวหรานเดินลึกเข้าไปมากเท่าไรก็ยิ่งค้นพบว่าเ้าพืชน้อยๆ พวกนี้ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งงดงามทั้งแปลกประหลาด หลากหลายมากมายจริงๆ
“พืชพวกนี้ส่วนใหญ่มีพิษแต่ในขณะเดียวกันก็เป็สมุนไพรด้วย กลับไปกลับมาเช่นนี้ ดังนั้นเวลาใช้มันจึงต้องระมัดระวังเป็อย่างยิ่ง แค่ขาดความระวังแม้เพียงนิดเดียวไม่เพียงไม่อาจรักษาโรคได้ ยังสามารถทำร้ายผู้อื่นถึงชีวิตได้อีกด้วย”
ตอนที่จิ่งฝานพูดประโยคเหล่านี้ก็หันศีรษะมามองอ๋าวหราน ดวงตาคู่นั้นดูล้ำลึกห่างไกล มองมาจนทำให้อ๋าวหรานอึ้ง พยักหน้าอย่างจริงจัง
จิ่งฝานมองอ๋าวหรานที่มีสีหน้าอึ้งค้าง เขาหมุนตัว โค้งริมฝีปากยกยิ้มขึ้นในที่ที่อ๋าวหรานมองไม่เห็น
จิ่งฝาน “สมุนไพรพวกนี้โดยปกติจะใช้รักษาอาการป่วยของโรคที่ยากจะรักษาได้ โรคไม่รุนแรงทั่วๆ ไปเราจะใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์อ่อนกว่านี้”
อ๋าวหราน “อืม”
จิ่งฝาน “พวกนี้ตอนนี้เ้ายังใช้ไม่ได้ แค่จดจำไว้ให้มั่นก็พอ”
อ๋าวหรานพยักหน้า ตอนนี้ตัวเขาไม่มีพื้นฐาน เรียกได้ว่าเริ่มต้นจากศูนย์ การท่องจำสมุนไพรพวกนี้แค่อาศัยความขยันก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าอยากทำได้ถึงขนาดใช้สมุนไพรได้อย่างถูกต้องอย่างเป็ธรรมชาตินั้น ยังต้องอาศัยพร์และการฝึกฝนที่มากกว่านี้ อีกทั้งการปรุงยานั้นก็เพื่อนำไปรักษาโรค แต่การรู้ว่าต้องรักษาโรคอะไรก็เป็ความสามารถที่ต้องมีอย่างขาดไม่ได้ ดังนั้นตัวเขาตอนนี้สิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้ก็คือการตรวจชีพจร การดู การฟังและดม การถาม และการจับชีพจร [1] หลังจากนั้นถึงจะสามารถสั่งยาตามอาการ ถึงระดับที่ยาถึงโรคหายได้
ราวกับเห็นอ๋าวหรานขบคิด จิ่งฝานพูดว่า “เื่ตำรับยาพวกนี้นั้นบรรพบุรุษตระกูลจิ่งหลายรุ่นนับไม่ถ้วนได้เหลือทิ้งเอาไว้ให้และมีการปรับปรุงให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นแล้ว อาการป่วยส่วนใหญ่มีตำรับยาสำหรับรักษาอยู่แล้ว แน่นอนว่าแรกเริ่มเรียนจะยังไม่ให้ตำรับยากับเ้า โดยเฉพาะอาการของโรคส่วนใหญ่ที่พบเห็นได้บ่อยๆ ต้องคิดหาวิธีเอาเอง เพราะตำรับยาเป็แค่ตัวหนังสือทื่อๆ หลายครั้งเราต้องรู้จักพลิกแพลง ความรู้เหล่านี้ก็ต้องดูระดับความพยายามและพร์ของเ้าแล้ว”
คนทั้งสองเดินมาถึงตอนนี้ใช้เวลาไปค่อนข้างนานแล้ว สมุนไพรด้านหน้ายังนับได้ว่าค่อนข้างหนาแน่น แต่เมื่อถึงตรงนี้กลับน้อยเป็อย่างมาก สมุนไพรแต่ละชนิดถูกปลูกไว้แค่อย่างละไม่กี่ต้นเท่านั้น ถึงแม้จะบอกว่ามีแค่ไม่กี่ต้น แต่สรรพคุณการรักษาของมันนั้นชัดเจนว่ายอดเยี่ยมมาก สมุนไพรแต่ละต้นถูกปลูกไว้เดี่ยวๆ ฐานรองโดยรอบของแต่ละต้นนั้นล้วนทำมาจากหยกที่ถูกสลักเสลาอย่างประณีต คิดว่าพวกมันคงจะมีราคาที่สูงมาก
นอกจากนี้ อ๋าวหรานรู้สึกว่ายิ่งพวกเขาเดินเข้าไปด้านในมากขึ้นเท่าไร อุณหภูมิยิ่งต่ำลงเท่านั้น ที่สำคัญคือราวกับว่าพวกเขากำลังเดินไปตามทางที่ลาดลง
อ๋าวหรานอดถามความสงสัยที่อยู่ในใจออกมาไม่ได้ว่า “พวกเรากำลังเดินลงไปด้านล่างเรื่อยๆ หรือ?”
จิ่งฝาน “อืม สมุนไพรบางชนิดค่อนข้างพิเศษ พวกนั้นนอกจากจะไม่้าแสงแดดแล้วยังไม่้าความอบอุ่นอีกด้วย ยิ่งหนาวเหน็บมากเท่าไรก็ยิ่งเหมาะแก่การเจริญเติบโตของพวกมัน แต่สมุนไพรพวกนี้เพาะยากมาก ปีหนึ่งหากเหลือรอดมาได้แค่ไม่กี่ต้นก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
ทั้งสองคนยังมุ่งหน้าเดินต่อไปด้านในต่ออีกหนึ่งก้านธูป [2] ตลอดระยะทางที่ผ่านมาล้วนปลูกสมุนไพรไว้แค่ชนิดละต้นเท่านั้น
มาถึงตรงนี้ทั้งสองคนก็เดินมาถึงสุดทางแล้ว ด้านหน้าเป็หินผาไม่อาจเดินต่อไปได้อีก
อ๋าวหราน “เดินจนสุดแล้วหรือ?”
จิ่งฝานไม่ตอบคำ แค่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าสมุนไพรต้นสุดท้าย คุกเข่าลง อ๋าวหรานอดสงสัยจนตามเข้าไปดูไม่ได้ กลับเห็นฐานหยกนั้นดูละเอียดแวววาวอย่างยิ่ง ไม่มีความผิดปกติใดๆ
กำลังสงสัยอยู่ก็เห็นจิ่งฝานยื่นมือออกไป กดลงไปบนหยกนั้นตรงบริเวณที่ค่อนไปทางด้านล่างหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นก็มีหยกลักษณะสีเหลี่ยมจัตุรัสอันหนึ่งยุบลงไป
ตอนที่จิ่งฝานกดลงไปนั้น หินผาที่อยู่ทางด้านหลังของทั้งสองก็ส่งเสียง “ครืน——ครืน——” ก่อนจะเลื่อนออก
อ๋าวหรานอดประหลาดใจไม่ได้ ฝีมือช่างประณีตเหนือธรรมชาติจริงๆ ไม่ว่าจะเป็ค่ายกลบนหยกนี้ หรือว่าหินผาที่อยู่ตรงสุดทาง ไม่มีร่องรอยใดแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่ตาเนื้อเห็นคือเนื้อแท้ดูเป็ธรรมชาติอย่างที่สุดไม่มีรอยต่ออะไรแม้แต่นิดเดียว ดูไม่ออกเลยสักนิดว่ามีกลลับอันแเีนี้ซ่อนอยู่
จิ่งฝานมองอ๋าวหรานที่หน้าตาตกตะลึงแล้วพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า ไปเถิด
อ๋าวหรานสั่นสะท้าน วันนี้เกรงว่าคำที่ได้ยินมากที่สุดคงเป็สองคำนี้นี่แหละ แต่ว่าตระกูลจิ่งนี่ช่างเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ ตระกูลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับถูกเผาเป็เถ้าถ่าน น่าเสียดายเหลือเกิน อ๋าวหรานอดไม่ได้อยากจะตัดมือทั้งสองข้างของคนเขียนทิ้งเสียจริง
--------------------------------------------------------------------------
[1] การดู การฟังและการดม การถาม และการจับชีพจร(望闻问切)การดูคือการดูลักษณะโดยรวมของคนไข้ การฟังเสียงพูดเสียงหายใจและการดมกลิ่น การสอบถามอาการเบื้อต้น และสุดท้ายคือการจับชีพจร
[2] หนึ่งก้านธูป(一炷香)คือหน่วยนับเสลาแบบโบราณของจีน เท่ากับเวล า60 นาที หรือ 1 ชั่วโมง