พอเห็นความกล้าหาญของหลินเฟิง หานหมานก็ยิ้มกว้างออกมา “น้องชาย คนเช่นนี้ถูกฆ่าก็นับว่าเป็เื่ที่ไม่เกินเลยไปนัก ผลที่ตามมาหลังจากนี้พวกข้าจะร่วมรับผิดชอบ ข้า หานหมานไม่ได้เป็คนขี้ขลาด”
เขาเข้าใจเจตนาของหลินเฟิงที่ลงมือสังหารจิ่งเฟิงด้วยตัวเอง นี่ก็เพื่อกันพวกเขาให้ออกห่างจากเื่นี้ หานหมานรู้สึกชื่นชมหลินเฟิงอย่างแท้จริง แต่ถ้าเป็ลูกผู้ชายก็ต้องรับผิดชอบเื่นี้ด้วยกัน
“ถูกต้อง ผลที่ตามมาพวกเราจะรับผิดชอบร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้นนิกายหยุนไห่ก็ไม่อนุญาตให้ศิษย์ในนิกายเดียวกันฆ่ากันเอง ถึงแม้ว่าจิ่งฮ่าวจะรู้ว่าพวกเราฆ่าจิ่งเฟิง แต่ตราบที่พวกเราไม่ออกห่างจากนิกาย พวกเขาก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้” ชิงอีกล่าวอย่างมั่นใจ
“อย่าลืมนับข้าด้วยนะ” จิ้งหยุนยิ้มน้อยๆ ออกมา รอยยิ้มของนางดูสวยเป็พิเศษ
“ดี” หลินเฟิงรู้สึกมีความสุขที่มีสหายดีๆ เช่นนี้ และชิงอีก็พูดถูก ถึงแม้ว่านิกายหยุนไห่จะให้อิสระกับศิษย์สายนอก แต่ในนิกายก็มีกฎระเบียบข้อบังคับอยู่ มิฉะนั้นนิกายคงเกิดความวุ่นวายนานแล้ว
หลินเฟิงคุกเข่าลง ก่อนจะค้นตัวของจิ่งเฟิงและหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา หนังสือเล่มนี้เป็เคล็ดวิชาดาบ
“เคล็ดวิชาดาบอัสนีกัมปนาท”
หลินเฟิงพึมพำออกมา ขณะที่พลิกอ่านเคล็ดวิชาเล่มนี้
เคล็ดวิชาดาบอัสนีกัมปนาท เป็เคล็ดวิชาระดับเหลืองขั้นสูง เมื่อฝึกฝนจนถึงระดับสูง ตัวดาบจะเหมือนกับสายฟ้าฟาด ทุกดาบที่ปล่อยออกไปจะมีเสียงกึกก้องราวกับอัสนีกัมปนาท และวิถีดาบที่ปล่อยออกไปจะะเิพลังมหาศาลออกมา
“เคล็ดวิชาดาบอัสนีกัมปนาท เป็เคล็ดวิชาของหอซิงเฉิน ซึ่งสองพี่น้องจิ่งเฟิงล้วนฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ พลังโจมตีของมันแข็งแกร่งมาก แต่ก็ฝึกยากมากเช่นกัน โดยเฉพาะการที่จะฝึกฝนไปจนถึงขั้นที่ตัวดาบกลายเป็สายฟ้า” ชิงอีปรารถนาที่จะเป็นักดาบ ดังนั้นจึงมีความรู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาดาบพอสมควร “ข้าเคยฝึกฝนเคล็ดวิชาดาบอัสนีกัมปนาทมาแล้ว แต่ว่าไม่มีประโยชน์เพราะพลังของข้ามีจำกัด”
หลินเฟิงพยักหน้า ตอนนี้เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาไปแค่ 3 อย่าง หนึ่งคือคลื่น์เก้ากระแทก ที่สามารถโจมตีและป้องกันได้ สองคือเคลื่อนไหวดั่งเงา สามคือชักดาบ ซึ่งเป็เคล็ดวิชาสำหรับสังหารในครั้งเดียว ถ้าหากเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาดาบอัสนีกัมปนาทและนำมาผสานการโจมตีกับคลื่น์เก้ากระแทก จะต้องเพิ่มพลังในการโจมตีอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกันก็สามารถปกปิดเคล็ดวิชาชักดาบได้
บางทีนี่ก็เป็ตัวเลือกที่ไม่เลว
“ตอนนี้พวกเราจะกลับกันหรือยัง?” จิ้งหยุนเดินเข้ามาถามหลินเฟิง ตอนนี้พวกเขามองหลินเฟิงเหมือนเป็หัวหน้ากลุ่ม
“ไหนๆ ก็มาแล้วจะรีบกลับกันทำไม? พวกเราน่าจะล่าสัตว์อสูรปีศาจเพิ่ม เพื่อเก็บแกนอสูรให้มากขึ้นไม่ดีกว่าเหรอ?” หลินเฟิงยังไม่อยากกลับไปที่นิกายเร็วขนาดนี้ เพราะในหุบเขาเฮยเฟิงมีสัตว์อสูรปีศาจมากมายไว้ให้เขาใช้เก็บประสบการณ์ได้ และในขณะเดียวกันยังสามารถฝึกเคล็ดวิชาดาบอัสนีกัมปนาทได้ด้วย นี่ไม่ใช่เื่ดีหรอกหรือ
ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา ขอเพียงแค่หลินเฟิงยังอยู่ที่นี่ และพวกเขาไม่บังเอิญไปเจอสัตว์อสูรปีศาจระดับ 9 อีก ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ และไม่จำเป็ต้องรีบกลับ
“ถ้านำของพวกนี้กลับไปแลกเป็เม็ดยากุยหยวนได้ก็ดีน่ะสิ” จิ้งหยุนกล่าวอย่างคาดหวัง
เม็ดยากุยหยวน คือเม็ดยาที่สามารถช่วยยกระดับการบ่มเพาะของผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตนักรบลมปราณได้ มันเป็เม็ดยาที่มีประโยชน์ต่อผู้ฝึกยุทธ์เป็อย่างมาก แต่ทว่าต้องฆ่าสัตว์อสูรปีศาจหลายตัว เพื่อแลกกับเม็ดยากุยหยวนหนึ่งเม็ด และแกนอสูรที่จะนำไปแลกได้ก็ต้องเป็แกนอสูรระดับสูงเท่านั้น
แววตาของหลินเฟิงเปล่งประกายขึ้นมา จากความทรงจำของหลินเฟิงคนก่อน ทำให้เขาทราบถึงคุณประโยชน์ของเม็ดยากุยหยวนนี้ ถึงแม้ว่าวันนี้เขาจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ในระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 ได้อย่างง่ายดาย แต่การบ่มเพาะของเขาก็ยังอยู่ในระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 ซึ่งถ้าเขาบรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นต่อไปได้ บางทีแม้ไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาชักดาบก็สามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ได้เพียงกระบวนท่าเดียว
…
5 วันต่อมา ณ ใจกลางป่าอันหนาทึบ มีเสียงแหลมคมของคลื่นดาบดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่า มันเป็เสียงเหมือนสายฟ้าฟาดอย่างรุนแรง และที่ทำให้ทุกคนต้องใก็คือ เสียงดังกล่าวดังมาจากคลื่นดาบที่ปล่อยออกไป
“ตูม ตูม...” ต้นไม้ที่ดาบฟันออกไปล้วนะเิเป็จุณ ดาบในมือของเด็กหนุ่มกวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็ว ตัวดาบสง่างามและทรงพลัง
“เพียงแค่ 5 วันก็สามารถฝึกอัสนีกัมปนาทมาถึงขั้นนี้ได้ คนคนนี้เป็สัตว์ประหลาดจริงๆ” ชิงอีที่ยืนมองอยู่ด้านข้างก็เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา ตัวเขาเองก็เคยฝึกอัสนีกัมปนาทมาก่อน ดังนั้นจึงรู้ระดับความยากง่ายในการฝึกเป็อย่างดี แต่ทว่าเวลาแค่ 5 วัน หลินเฟิงกลับฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ไปจนถึงระดับสูงสุดได้ เห็นได้ชัดจากการที่ฟันดาบออกไปแล้วปรากฏสายฟ้าฟาดขึ้นมา เมื่อเห็นความสำเร็จนี้ ชิงอีก็รู้สึกรับไม่ได้
“เ้าอย่าเอาตัวเองไปเทียบกับหลินเฟิงเลย ไม่มีใครกล้าเท่าเขาอีกแล้ว ที่ใช้เสือดาวเมฆา สัตว์อสูรปีศาจระดับ 8 มาช่วยฝึกเคล็ดวิชา” หานหมานกล่าวขณะที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆ และมองดูการต่อสู้ระหว่างเสือดาวเมฆากับหลินเฟิง ความจริงแล้วหลินเฟิงสามารถฆ่าสัตว์อสูรปีศาจตัวนี้ได้ทุกเมื่อ แต่ทว่าหลินเฟิงกลับจงใจไม่สังหารมัน และใช้มันเป็ตัวฝึกฝนเคล็ดวิชาแทน ถึงแม้ว่าเสือดาวเมฆาจะโดดเด่นในเื่ของความเร็ว แต่ทว่ามันกลับไม่สามารถหลบหนีจากท่าดาบที่กระหน่ำโจมตีมาที่มันได้
“สวบ!” หลินเฟิงแทงดาบเข้าไปในหัวของเสือดาวเมฆา ก่อนที่หัวของมันจะะเิออกเป็เสี่ยงๆ
หลินเฟิงเก็บดาบเข้าฝักช้าๆ เขาพึงพอใจกับเคล็ดวิชาอัสนีกัมปนาทเป็อย่างมาก เคล็ดวิชานี้ทรงพลังมากกว่าคลื่น์เก้ากระแทก นับได้ว่าเป็เคล็ดวิชาที่มีพลังโจมตีที่แข็งแกร่ง
หลินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นมีใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและคมสัน ทั้งยังแข็งแกร่ง สง่างามและเด็ดเดี่ยวกว่าตอนที่อยู่โลกก่อนหลายเท่ามาก ราวกับว่านี่เป็นิสัยของเขาจริงๆ ั้แ่เกิด
หานหมานเดินออกไปชำแหละซากสัตว์อย่างคุ้นเคย และยังพึมพำกับตัวเองว่า ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อล่าสัตว์อสูรปีศาจและหาประสบการณ์ให้กับตัวเอง แต่ตอนนี้ได้กลายเป็คนชำแหละซากสัตว์เพื่อเก็บแกนอสูรแทน แต่ถึงจะเป็แบบนั้นก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่พอใจ เพราะสัตว์อสูรปีศาจที่หลินเฟิงสังหาร ล้วนเป็สัตว์อสูรปีศาจระดับ 7 และ 8 ทั้งนั้น อีกอย่างการยืนมองการต่อสู้ระหว่างหลินเฟิงกับสัตว์อสูรปีศาจก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน
“หานหมาน แกนอสูรที่พวกเรามีอยู่ในตอนนี้ สามารถนำไปแลกเป็เม็ดยากุยหยวนได้กี่เม็ด?” ทันใดนั้นหลินเฟิงก็หันมาถามหานหมาน
“อย่างน้อยก็ประมาณ 12 เม็ด” หานหมานกล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับแกนอสูรมากมายในครั้งนี้ ซึ่งทั้งหมดต้องขอบคุณหลินเฟิง เพราะถ้าไม่มีหลินเฟิง พวกเขาคงไม่สามารถสังหารสัตว์อสูรระดับ 7 ได้มากมายแบบนี้
“พอดีเลย แบบนี้ก็จะได้กันคนละ 3 เม็ด ส่วนแกนอสูรอันอื่นๆ ก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็อาวุธหรือเงินได้ และถ้าใครขาดเหลืออะไรก็สามารถนำไปแลกได้ ตอนนี้พวกเรากลับนิกายกันเถอะ”
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว การใช้เม็ดยากุยหยวน 3 เม็ดในครั้งแรกจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะความเป็ไปได้ที่จะทะลวงขอบเขตนั้นสูงมาก ส่วนครั้งที่สองและสามจะไม่ค่อยเกิดผลเท่าไร
“เม็ดยากุยหยวน 3 เม็ด” หานหมานและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกตื่นเต้น ถ้ามีเม็ดยากุยหยวนเข้ามาช่วย พวกเขาจะมีโอกาสยกระดับขึ้นเป็ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 ในระยะเวลาสั้นๆ
ในนิกายหยุนไห่ ระดับการบ่มเพาะที่ต่ำที่สุดคือ ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 5 ส่วนศิษย์สายนอกที่บรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 ถือว่าเป็มาตรฐาน มีเพียงแค่ผู้ที่บรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 ขึ้นไปถึงจะมีอำนาจสูงสุดในหมู่ศิษย์สายนอก
พวกเขาทั้งสามคนไม่มีท่าทีเกรงอกเกรงใจหลินเฟิงเหมือนวันแรกๆ ในระหว่าง 5 วันที่ผ่านมานี้ พวกเขาเข้าใจลักษณะนิสัยของหลินเฟิงว่า เป็คนกล้าได้กล้าเสียและมีความมุ่งมั่นในการบ่มเพาะสูงมาก
“ไป พวกเรากลับกันเถอะ” หลินเฟิงกล่าว
พวกเขาพากันเดินทางออกจากหุบเขาเฮยเฟิง
เมื่อกลับมาถึงนิกาย พวกเขาทั้งสี่คนก็นำแกนอสูรไปแลกและแบ่งเม็ดยากุยหยวนคนละ 3 เม็ด นอกจากนี้หลินเฟิงยังนำดาบของจิ่งเฟิงไปแลกเป็ขวานให้หานหมาน ชิงอีแลกเม็ดยากุยหยวนเป็เม็ดยาเพ่ยหยวน 2 เม็ด เนื่องจากเขา้าเพิ่มพูนหยวนชี่ของเขา เพื่อให้รากฐานของตนแข็งแกร่งขึ้น เนื่องจากชิงอีรู้ตัวว่ามีพร์ไม่มากและรากฐานก็ยังไม่เสถียรอีกด้วย
ส่วนของที่จิ้งหยุนแลกนั้น เกินความคาดหมายของหลินเฟิงมาก เพราะเม็ดยาจู้เหยียน เป็เม็ดยาที่จะทำให้ผู้หญิงมีเสน่ห์มากขึ้น ถ้าเป็ผู้หญิงที่ฝึกเคล็ดวิชายั่วยวน ก็นับว่าเป็เื่ปกติที่จะใช้เม็ดยานี้ แต่จิ้งหยุนดูไม่เหมือนผู้หญิงแบบนั้น กลับกันนางยังดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ดังนั้นหลินเฟิงจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงแลกเป็เม็ดยาจู้เหยียน
“ทำไมเ้ามองข้าเช่นนี้?” จิ้งหยุนถามหลินเฟิงที่มองนางไม่หยุด และอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงก่ำขึ้นมา
“ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้นเอง เพราะเ้าก็งดงามมากอยู่แล้ว” หลินเฟิงหัวเราะอย่างเก้อเขิน ในเมื่อจิ้งหยุนตัดสินใจเลือกเม็ดยาจู้เหยียน เขาก็ไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายความคิดนาง
“หลินเฟิง เ้ามีแผนจะทำอะไรต่อ?” หานหมานถามหลินเฟิง พวกเขาคิดว่าถ้าหากมีโอกาสจะชวนหลินเฟิงไปเที่ยวเล่นในหุบเขาเฮยเฟิงอีก
“ยกระดับการบ่มเพาะ เพราะข้ารู้ว่าขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 7 ยังต่ำเกินไป” หลินเฟิงตอบกลับ
“จริงของเ้า พวกเราจำเป็ต้องยกระดับการบ่มเพาะของตัวเอง หลินเฟิง ด้วยความแข็งแกร่งของเ้าในตอนนี้ ข้าคิดว่าเ้าน่าจะสามารถไปฝึกฝนที่นั่นได้” หานหมานพยักหน้า จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังหุบเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป ที่นั่นเป็หุบเขาลึกขนาดใหญ่และยังเป็สถานที่ที่โด่งดังที่สุดในนิกายหยุนไห่
หุบเขาเมฆพายุ
นิกายหยุนไห่ล้อมรอบไปด้วยูเาทั้ง 8 ลูก และหุบเขาเมฆพายุก็อยู่ใจกลางของนิกายหยุนไห่ พื้นที่บริเวณนั้นจะมีส่วนหนึ่งที่ยุบเป็หลุมหลายร้อยเมตร และกินพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็หลายๆ เขต ดูคล้ายกับเมืองใต้ดิน
พื้นที่ด้านในซับซ้อนมาก ถ้ามองจากมุมสูงจะสามารถเห็นพื้นที่ภายในทั้งหมดของหุบเขาได้ แต่ถ้าเข้าไปในหุบเขาแล้วจะเห็นเป็ภาพอีกอย่างหนึ่ง บางทีอาจจะไปโผล่อยู่ในป่าใหญ่ หรือไม่ก็ูเาเล็กๆ สักแห่ง
นิกายหยุนไห่สนับสนุนให้ศิษย์ในนิกายแสวงหาประสบการณ์ในการต่อสู้ด้วยตัวเอง ซึ่งนอกจากจะมีหุบเขาเฮยเฟิงแล้ว ทางนิกายก็ยังก่อตั้งหุบเขาเมฆพายุขึ้นมา เพียงแค่เหยียบย่างเข้าไปในหุบเขาเมฆพายุ ไม่ว่าเ้าจะมีสถานะอะไรหรือว่ามีความสัมพันธ์กับใคร จะไม่มีใครสนใจ เพราะทุกคน้าแค่หาคู่ต่อสู้เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ของตัวเอง
สถานที่แห่งนี้เป็เวทีสำหรับผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น ถ้าหากคนที่อ่อนแอเข้าไป จะมีเพียงสิ่งเดียวที่รออยู่ นั่นก็คือความตาย
ดังนั้นทางนิกายหยุนไห่จึงไม่อนุญาตให้คนที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่าขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 เข้าไป
นอกจากนี้หุบเขาเมฆพายุยังมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ‘ลานประลองเป็ตาย’ ถ้าหากยินยอมเข้าไปในลานประลองเป็ตาย และแข็งแกร่งไม่พอที่จะปกป้องชีวิตของตัวเอง ต่อให้ถูกฆ่าทิ้ง ทางนิกายก็จะไม่รับผิดชอบใดๆ แน่นอนว่าเ้าต้องแข็งแกร่งเท่านั้น ถึงจะสามารถฆ่าคนได้
ถ้าหากในนิกายมีใครสักคนที่มีความแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับอีกฝ่ายได้ และไม่สามารถรอมชอมกันได้ ก็สามารถเข้าไปตัดสินเป็ตายได้ที่ลานประลองเป็ตาย
“ที่นั่น ข้าจะไปแน่นอน” หลินเฟิงมองไปยังฝูงชนที่อยู่รอบๆ หุบเขาเมฆพายุ ด้วยสายตามาดหมาย หลินเฟิงคนก่อนเป็เพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 5 ดังนั้นจึงถูกคนอื่นๆ เรียกว่า ‘ไอ้ขยะ’ ถ้าหากเขาสามารถพิชิตผู้แข็งแกร่งในหุบเขาเมฆพายุได้ คนพวกนั้นคงอิจฉาริษยาเขาจนกระอักเืตายก็เป็ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้