บทที่ 12
ไม่ใช่แค่เถี่ยฮ่าวเท่านั้นที่โวยวายต่อการตัดจบนิยายของหลินห่าวซวน เพราะในเช้าวันถัดมาที่ลูกค้าที่ซื้อหนังสือพิมพ์เล่มเล็กของสำนักพิมพ์เป่ยจิงและได้อ่านนวนิยาย ‘ยุทธการวิหคกู้แผ่นดิน ’ ที่อยู่ในคอลัมน์หนึ่งพันเื่ราวแดนั ต่างก็บ่นและด่าทอต่อผู้เขียนนิยายเื่นี้ไม่ต่างจากเถี่ยฮ่าวและถานติงที่ได้อ่านนิยายเื่นี้ครั้งแรก
โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็ลูกค้าประจำของเล่มเล็กของสำนักพิมพ์เป่ยจิงที่รู้ล่วงหน้าแล้วว่า ในคอลัมน์หนึ่งพันเื่ราวแดนัในสุดสัปดาห์นี้จะนวนิยายเื่ใหม่มาแทน ‘โรงเตี๊ยมยุทธภพ ’ ที่เป็นวนิยายขายดีประจำเล่มเล็กของสำนักพิมพ์จะถูกงดเนื่องจากว่าผู้เขียนเกิดอาการาเ็เล็กน้อย ทำให้พวกเขาต่างไม่ได้คาดหวังต่อนวนิยายของคนที่มารับเผือกร้อนมากนัก
ยิ่งตอนที่เสียเงินซื้อมาแล้วพบว่านวนิยายที่มาแทน เป็นวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนที่อิงประวัติศาสตร์แทนที่จะเป็นวนิยายขายดียอดฮิตอย่างแนวยุทธภพ ยิ่งทำให้พวกเขาต่างไม่คาดหวังยิ่งขึ้นไปอีก
ในยุคสมัยที่วงการวรรณกรรมกำลังเฟื่องฟู สิ่งที่ครองตลาดใหญ่และขายได้อย่างนวนิยายยุทธภพ แต่นักเขียนหน้าใหม่คนนี้กลับเขียนนวนิยายสายลับในยุคสาธารณรัฐที่คนไม่ค่อยสนใจกัน
ดูแล้วถ้าสถานการณ์กลับมาเป็ปกติ นวนิยายของสหายฮองซูคนนี้ คงออกมาไม่กี่ตอนแล้วต้องลาจากหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว
แน่นอนว่านั่นคือความคิดก่อนหน้าที่จะได้อ่านของเหล่าขาประจำและแฟนพันธุ์แท้ของคอลัมน์หนึ่งพันเื่ราวแดนั ทำให้ส่วนใหญ่จึงคิดที่จะไม่อ่านและรอการกลับมาของ ‘โรงเตี๊ยมยุทธภพ ’ แต่ก็มีบางคนที่คิดจะลองของแปลกและคิดจะอ่านฆ่าเวลา ซึ่งทันทีที่คนกลุ่มนี้ได้อ่านนั้น พวกเขาก็พบว่าความคิดก่อนหน้านี้ของตัวเองตื้นเขินเกินไป
เนื้อเื่ที่เข้มข้น การชิงไหวชิงพริบของตัวเอกและผู้ร้าย การซ่อนตัวตนพร้อมทำภารกิจที่ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็มิตรหรือศัตรู ทั้งหมดทั้งมวลต่างดึงดูดให้พวกเขาเข้าสู่โลกของการต่อสู้ของขบวนของผู้รักชาติอย่างไม่ละสายตาและเอาใจช่วยพระเอกของเื่ในทุกสถานการณ์
สหาย ! ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเป็เพียงแค่คนที่เล็กจ้อย มองไม่เห็นเขาไท่ (1) ที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่านวนิยายสายลับที่ตกยุคก็สามารถสร้างเื่ราวที่ชวนวางไม่ลงได้เหมือนกัน
แต่ความสนุกและความน่าสนใจของเนื้อเื่นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่การตัดจบที่ค้างคาและทิ้งปมเอาไว้ก็ทำให้เหล่านักอ่านพวกนี้ต่างลอบพูดถึงบรรพบุรุษ 18 รุ่นของฮองซูและก่นด่าเหล่าบรรณาธิการของแผนกวัฒนธรรมสำนักพิมพ์เป่ยจิงว่าให้ผ่านมาตีพิมพ์ได้อย่างไร นิยายเื่นี้เป็เพียงแค่งานที่เข้ามาแทนนิยายเื่หลัก การทิ้งปมเอาไว้ข้ามสัปดาห์แบบนี้ พวกนาย้าให้นักอ่านอย่างฉันลงแดงตายใช่ไหม !?
ทันทีที่ไฟของความหงุดหงิดของการถูกตัดจบได้จุดติดขึ้นมา เหล่าคนอ่านกลุ่มนี้ก็ได้เริ่มการตอบโต้และกดดันให้คนเขียนเริ่มต้นขึ้น จดหมายหลายร้อยฉบับทั่วเมืองเป่ยได้ถูกเขียนขึ้นมาและปลายทางที่จะส่งไปคือสำนักพิมพ์เป่ยจิงในทันที
แน่นอนว่าการกระทำของคนกลุ่มคนอ่านพวกนี้ ในใจของพวกเขาต่าง้าให้นวนิยาย ‘ยุทธการวิหคกู้แผ่นดิน ’ ที่มาแทนนี้จบก่อนที่นวนิยาย ‘โรงเตี๊ยมยุทธภพ ’ จะกลับมาเขียนต่อ แต่สำหรับสำนักพิมพ์เป่ยจิงแล้ว กลุ่มจดหมายเหล่านี้คือพายุลูกใหญ่ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
...........................
2 วันหยุดสุดสัปดาห์ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันทำงานได้วนเวียนกลับมาถึงอีกครั้ง ภาพความวุ่นวายบนท้องถนนใหญ่พร้อมกับผู้คนที่เดินสวนทางกันไปมา แสดงให้ถึงวิถีชีวิตที่ต้องเร่งรีบของเมืองใหญ่ได้เป็อย่างดี
แม้ว่าภาพความวุ่นวายของผู้คนที่ออกมาทำงานทุกเช้าในอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะถูกมองว่าเป็เื่ปกติของเมืองใหญ่ ๆ ทั่วทั้งโลก แต่ในยุคสมัยทศวรรษที่ 80 การที่ทุกคนพร้อมใจออกจากบ้านเพื่อมาทำงานในตัวเมือง แทนที่จะใช้ชีวิตอยู่ตามชนบทแล้วประกอบอาชีพที่สืบทอดมาแต่ละครอบครัว มันย่อมสะท้อนให้ว่ายุคแห่งการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มขึ้นแล้ว
“เอาล่ะ ! ผมมาส่งคุณได้ทันเวลาพอดี แถมยังเหลือเวลาให้คุณได้กินข้าวเช้าก่อนเข้างานตั้ง 15 นาที ”
บริเวณด้านประตูทางทิศใต้ของพระราชวังเทียนเล่อ สถานที่นอกจากจะเป็แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเป่ยแล้ว ก็ยังเป็จุดสำคัญสำหรับการคมนาคมของเมืองที่ใช้ในการรับส่งคน ภาพของคนที่บ้านมาส่งใครสักคนหนึ่งเพื่อมาต่อรถ หรือครอบครัวมารอรับหรือส่งนักวิชาการที่มาทำงานในพระราชวังเทียนเล่อ เหตุการณ์พวกนี้เป็เื่ปกติที่เห็นได้ทั่วไป
แน่นอนว่า การที่หลินห่าวซวนมาส่งใครสักคนที่หน้าพระราชวังเทียนเล่อนั้นมันเป็เื่ปกติ เพียงแต่ว่าคนที่เขามาส่งนั้นได้ชื่อเป็นางฟ้าประจำกองโบราณคดี ทำให้สายตาของนักวิชาการที่ทำงานข้างในพระราชวังเทียนเล่อนั้น ต่างก็เต็มไปด้วยความใเป็อย่างมาก
“จริง ๆ แล้วคุณไม่ต้องมาส่งฉันถึงที่นี้ก็ได้ แค่ส่งฉันไว้ตรงป้ายหน้ามหาลัยก็พอแล้ว อย่างไรเสียก็มีรถเมล์วิ่งตรงอยู่แล้ว คุณเองก็ไม่ต้องอ้อมด้วย ”
ซ่งหยูเยียนที่ลงจากรถจักรยานกล่าวออกมาทันที พร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกถึงการวางตัวไม่ถูกที่โดนคนผ่านไปมาจับจ้องมาที่ตัวเอง
“จะทำแบบนั้นได้อย่างไรกัน ! ทั้งปู่กับย่าต่างก็กำชับให้ผมส่งคุณให้ถึงที่ทำงาน ถ้าผมทำตามที่คุณว่าจริง ๆ ตอนเย็นนี้ก็ต้องตอบคำถามพวกท่านกันอีกยกใหญ่แน่ ๆ ”
หลินห่าวซวนที่ได้ยินคำพูดของซ่งหยูเยียนก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ โดยไม่สนใจสายตารอบข้างที่มองมาก่อนที่จะกล่าวต่อไปอีกว่า
“ ตอนเย็นหลังจากที่คุณเลิกงานแล้ว คุณก็รอผมอยู่ที่หน้าประตูนี้แหละ ไม่ต้องขึ้นรถเมล์กลับหรอก ผมจะมารับคุณกลับบ้านพร้อมกัน ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินห่าวซวน ซ่งหยูเยียนก็คิดที่จะกล่าวบอกปัดปฏิเสธไป แต่ประโยคต่อมาของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้
“อย่าลืมสิ่งที่พวกเราตกลงกันเมื่อคืนสิ ต่อหน้าครอบครัวของเราสองคน พวกเราจะเป็สามีและภรรยา แม้ว่าจะเป็สามีภรรยาในนาม แต่หน้าที่ของคนเป็สามีผมก็ควรทำ และการรับส่งภรรยาก็เป็เื่ที่คนเป็สามีควรทำ ถ้าคุณกลับบ้านไปคนเดียว นี่ไม่เท่ากับว่าคุณทำผิดข้อตกลงแล้วสร้างความลำบากให้กับผมเหรอ? ”
แน่นอนว่าข้อตกลงการเป็สามีภรรยาในนามนั้น เป็คำพูดของซ่งหยูเยียนที่พูดออกมาเมื่อคืนหลังจากที่รู้ว่า ตัวของหลินห่าวซวนเองก็มีความคิดที่ไม่ยอมรับการแต่งงานนี้เหมือนกับเธอ แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและคำพูดของผู้ใหญ่ในตระกูล ดังนั้นเธอจึงเสนอข้อตกลงนี้ให้กับอีกฝ่าย โดยมีเส้นตายว่าถ้าเมื่อไรที่ความบริสุทธิ์ของหลินห่าวซวนถูกพิสูจน์หรือคนร้ายตัวจริงถูกจับ พวกเขาจะหย่ากันทันที
ส่วนทางด้านของหลินห่าวซวนเองที่ได้ยินข้อเสนอนี้จากซ่งหยูเยียน ตัวเขาก็ตอบตกลงโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้มันมากมาย อย่างไรเสียเป้าหมายของเขาคือการเป็โชคชะตาไม่ให้มีจุดจบเหมือนในที่นิยายต้นฉบับเขียนเอาไว้ ดังนั้นการร่วมมือกับคนที่กุมชะตาชีวิตของตัวเองไว้จึงเป็ทางเลือกที่ควรเลือกเป็อย่างยิ่ง
แม้ว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้เส้นเื่นิยายต้นฉบับผิดเพี้ยนไปหรือไม่ ตัวของหลินห่าวซวนก็ไม่สนใจ อย่างไรเสียตัวเขาก็เป็แค่ตัวประกอบของนิยายเื่นี้ หากหายไปก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเื่หลักอยู่แล้ว
“เอาล่ะ ! งั้นเอาตามที่คุณว่า ฉันเลิกงานประมาณ 5 โมง หลังเลิกงานแล้วฉันจะรอคุณอยู่แถวนี้ แต่ถ้าคุณมาถึงก่อนเวลาก็เดินเล่นในวังไปก่อนแล้วค่อยมาเจอกันที่นี้ ”
ซ่งหยูเยียนที่คืนความมั่นใจกลับมาก็กล่าวออกมาด้วยท่าทีเฉยเมยเช่นเคย จากนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมจับไปที่แฮนด์จักรยานแล้วกล่าวว่า
“งั้นฉันไปทำงานก่อนนะ คุณเองก็ไปทำงานได้แล้ว แล้วก็ขี่ระวัง ๆ ด้วย ”
เมื่อเห็นว่าซ่งหยูเยียนกำลังจะจากไป หลินห่าวซวนก็เรียกรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าซ่งหยูเยียนหันกลับมา ตัวเขาก็ยื่นถุงที่มีโหย่วเถียว (1) กับเสียนโต้วเจียง (2) ให้แล้วกล่าวว่า
“เมื่อเช้าเห็นว่าคุณยังไม่ได้กินอะไร ผมเลยแบ่งจากที่ผมซื้อให้คุณครึ่งหนึ่ง คุณเองก็กินมันก่อนเข้างานด้วยนะ ”
ซ่งหยูเยียนที่เห็นการกระทำของหลินห่าวซวนก็รู้สึกแปลกใจและประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเธอเองก็นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใส่ใจถึงขนาดนี้ แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็คนที่ทนไม่ได้เมื่อมีคนกินข้าวไม่ครบ 3 มื้อ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขึ้นข้าวเช้ามา เขาจึงแบ่งของกินพวกนี้มาให้
“ขอบคุณนะคะ งั้นฉันไปก่อนนะ ”
แม้ว่าจะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย แต่ซ่งหยูเยียนก็ไม่คิดปฏิเสธน้ำใจนี้พร้อมกับยื่นมือไปรับของกินโดยดีแล้วค่อย ๆ เดินเข้าในพระราชเทียนเล่อ โดยที่มีหลินห่าวซวนมองอยู่ด้านนอก
และเมื่อเห็นว่าภรรยาในนามได้เดินหลุดพ้นจากสายตา ตัวของหลินห่าวซวนก็คิดที่จะออกเดินทางไปที่ทำงานเช่นกัน แต่กลับถูกเรียกด้วยเสียงที่คุ้นหูขึ้นมาเสียก่อน
“เหล่าหลิน ”
หลินห่าวซวนที่ได้ยินเสียงเรียกก็หันไปมองตามต้นทาง ก็พบว่าไม่ไกลกันนักมีชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาอายุไล่เลี่ยตนยืนอยู่ ซึ่งอีกฝ่ายที่เห็นหลินห่าวซวนหันมาตามที่เรียกก็เผยรอยยิ้มออกมาพร้อมก้าวเข้ามาหาแล้วพูดต่อว่า
“เหล่าหลิน เป็นายจริง ๆ ด้วย นายมาทำอะไรแถวนี้ แถมยังไม่ไปไนต์คลับเกือบอาทิตย์ ฉันคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายไปแล้ว ”
คำถามที่มากมายถาโถมมารวดเดียวทำเอาหลินห่าวซวนไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี แถมตัวเขาเองก็ไม่รู้ด้วยว่าผู้ชายคนนี้เป็ใคร เพราะด้วยลักษณะหน้าตานั้นเป็ตัวละครที่ไม่คุ้นเคยในนิยาย จึงต้องอาศัยความทรงจำของเ้าของร่างคนเก่าเพื่อหาคำตอบ ก็พบว่าอีกฝ่ายชื่อ ‘กู้อวี่ ’ เป็เพื่อนที่เรียกว่าเป็เพื่อนจริง ๆ ไม่กี่คนของเ้าของร่างเดิม
กู้อวี่ที่เห็นหลินห่าวซวนนิ่งเงียบไปก็ไม่นึกเอะใจอะไร แต่กลับตามต่อด้วยคำถามที่รัวเป็ชุดยิ่งกว่าเดิม
“เื่อื่นช่างมันเถอะ ! เมื่อกี้ฉันเห็นนายมาส่งสาวสวยคนหนึ่ง เธอเป็ใครงั้นเหรอ? ปกติแล้วมีผู้หญิงไม่น้อยที่อยากสานความสัมพันธ์กับนาย แต่ไม่เห็นนายคิดจะจริงจังกับใคร หรือเหตุผลที่แท้จริงแล้วเป็เพราะผู้หญิงคนเมื่อกี้? ”
เมื่อได้ยินคำถามที่มาเป็พายุของกู้อวี่ หลินห่าวซวนก็ยิ้มออกมาพร้อมยกมือเป็การห้ามปรามให้อีกฝ่ายหยุดพูดแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความระอาใจ
“เหล่ากู้ นายใจเย็น ๆ ก่อน ! นายเล่นถามมารัว ๆ แบบนี้ แล้วจะให้ฉันตอบนายได้ยังไง ”
กู้อวี่ที่ได้ยินคำกล่าวของเพื่อนคนสนิทก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อครู่นั้นตนตื่นเต้นเกินไปจริง ๆ จึงพูดไม่มีช่องว่างให้อีกฝ่ายได้ตอบเลย แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของหลินห่าวซวนความรู้สึกผิดถูกก็หายไปแล้วกล่าวออกมาว่า
“อย่ามาเปลี่ยนประเด็นไปหน่อยเลย ! นายไม่รู้หรอกว่าทุกวันนี้ที่ไนต์คลับ ฉันต้องตอบคำถามเื่ของนายไม่รู้กี่รอบ แถมนายเองยังเล่นหายตัวไปไม่บอกไม่กล่าว พูดมาเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ”
หลินห่าวซวนที่ได้ยินคำพูดของกู้อวี่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วตอบคำถามเพื่อนสนิท ซึ่งคำตอบที่หลินห่าวซวนตอบไปนั้น ทำให้กู้อวี่รู้สึกใและคาดไม่ถึงเป็อย่างยิ่ง
“เหล่ากู้ ไหน ๆ ก็เจอนายแล้วงั้นฉันขอบอกนายไว้ตรงนี้เลยว่า ั้แ่ตอนนี้เป็ต้นไปจะไม่มีคุณชายหลินแห่งตรอกโคมแดงอีกแล้ว ฉันจะไม่ไปไนต์คลับกับนายอีกแล้ว ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินห่าวซวน ในตอนแรกกู้อวี่คิดว่าอีกฝ่ายเพียงแค่กล่าวล้อเล่นและไม่คิดจริงจัง แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าที่จริงจังของหลินห่าวซวน กู้อวี่กทราบได้ทันทีว่าเพื่อนสนิทของเขาคนนี้ไม่ได้กล่าวออกมาอย่างเลื่อนลอย
แม้ว่าตัวของกู้อวี่คิดจะถามเหตุผลอย่างจริงจัง เพียงแต่ว่าคำพูดต่อไปของหลินห่าวซวนนั้น ทำให้กู้อวี่ใยิ่งกว่าประโยคก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่าตัว
“ส่วนผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็แฟนของฉัน ในวันข้างหน้านายอาจจะต้องเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ ไว้วันไหนว่าง ๆ เดี๋ยวฉันจะเล่ารายละเอียดให้ฟังอีกที ตอนนี้ฉันต้องไปที่ทำงานก่อนแล้ว ”
กู้อวี่ที่ยังคงใกับคำตอบของหลินห่าวซวนก็ตอบรับออกไปอย่างเลื่อนลอยพร้อมมองเพื่อนสนิทปั่นจักรยานออกไปที่ถนนใหญ่เพื่อไปสำนักพิมพ์ ตัวของเขาแทบจะร้องไห้ออกมาทันที
เหล่าหลิน สหายสุราเลิกทำตัวเสเพลแล้ว
แล้วจากนี้กู้อวี่คนนี้ต้องเที่ยวคนเดียวอย่างนั้นเหรอ !?
.................................................................................................................................................................
เชิงอรรถ
1. ปาท่องโก๋จีน ภาษาจีนเรียก 油条 [yóutiáo] (โหยว เถียว)
2. น้ำเต้าหู้แบบเค็มเรียก 咸豆浆 (เสียน โต้ว เจียง)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้