“หนุ่มน้อยสองคนนั้นมาจากอาณาจักรหนานหลิง คนที่มีนามว่ามู่เฟิงมีกระดูกิญญา ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนที่ยังไม่ทราบชื่อมีร่างกายิญญาสินะ”
หนึ่งในคนสองคนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศเอ่ยขึ้น จากรูปลักษณ์อายุของเขาน่าจะราวๆ ห้าสิบกว่าปี เส้นผมเริ่มมีสีขาวแซมออกมาเล็กน้อย เขาสวมใส่ชุดคลุมสีขาวธรรมดา ดวงตาของเขาแวววาวและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวเขากลับทรงพลังเป็อย่างยิ่ง
ส่วนด้านข้างของเขาเป็ชายวัยกลางคนร่างท้วมในชุดคลุมสีน้ำเงิน คนผู้นี้คืออู๋อี้
“ถูกต้องแล้วขอรับท่านผู้อำนวยการ การเปิดรับศิษย์เมื่อครั้งก่อน มีคนบอกว่าเส้นลมปราณของมู่เฟิงถูกทำลายไปแล้ว แต่การเปิดรับศิษย์ในรุ่นนี้เขาก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับความแข็งแกร่ง ไม่เพียงแค่เส้นลมปราณไม่ได้ถูกทำลายไปเท่านั้น กระทั่งวรยุทธ์ของเขาก็ยังก้าวหน้ากว่าคนอื่นไปไกลมาก เหมือนว่าเื่ที่เส้นลมปราณของเขาถูกทำลายจะเป็ข่าวที่ทางตระกูลมู่จงใจกุขึ้นมาเพื่อปกปิดความสามารถของเขาขอรับ”
อู๋อี้พยักหน้า
“เป็เื่ที่เข้าใจได้ ตระกูลมู่แห่งอาณาจักรหนานหลิงกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทำเช่นนี้ก็นับเป็การปกป้องไม่ให้เด็กคนนั้นถูกหนานห่าวสังหาร”
ผู้าุโในชุดคลุมสีขาวกล่าวเสียงเรียบ
คนผู้นี้ก็คือผู้อำนวยการของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น นามว่าเฉินเฟย!
“เนื่องจากเดิมพันระหว่างมู่เฟิงและผู้าุโจ้าวเหิงในครั้งก่อน ทำให้ผู้าุโจ้าวเหิงต้องสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่งในระหว่างการเปิดรับศิษย์ในรุ่นนี้ ข้าเกรงว่าผู้าุโจ้าวเหิงคงไม่มีทางปล่อยวางความแค้นนี้ไปได้แน่ เมื่อเป็เช่นนี้ก็กลัวว่าต่อไปเด็กคนนั้นอาจจะตกที่นั่งลำบาก”
อู๋อี้กล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ใน่หลายปีที่ผ่านมาจ้าวเหิงและหนานห่าวนั้นมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก เหตุผลที่สำนักศึกษาเทียนอวิ่นของเรามีสถานะพิเศษได้อย่างทุกวันนี้ ก็เป็เพราะเราไม่เข้าไปแทรกแซงความขัดแย้งระหว่างกองกำลังในแต่ละอาณาจักร สำหรับจ้าวเหิงตราบใดที่เขายังไม่ทำตัวเกินเลยก็ปล่อยเขาไปก่อน"
ผู้อำนวยการเฉินเฟยเอ่ยอย่างราบเรียบ
“โอ้ แล้วถ้าหากเขาลงมือกับเ้าหนูน้อยสองคนนั้นเล่าขอรับ? เ้าหนูสองคนนั้นนับว่าเป็ต้นกล้าชั้นดีเลยทีเดียว อีกไม่นานจะมีการแข่งขันวรยุทธ์ครั้งใหญ่ของเป่ยหยวนจะเริ่มขึ้นแล้ว คาดว่าความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มสองคนนั้นคงจะสามารถสร้างชื่อเสียงในฐานะบัณฑิตใหม่ให้กับพวกเราได้”
อู๋อี้กล่าวขึ้นด้วยความเป็กังวล
“หึๆ กระบี่จะคมได้ก็ต้องผ่านการลับคม ดอกเหมยจะส่งกลิ่นหอมออกมาได้ก็ต้องผ่านความหนาวเหน็บของเหมันต์ฤดูเสียก่อน หากไม่ถูกลับคม ต่อให้เป็เหล็กกล้าชั้นดีที่สุดก็ไม่อาจกลายเป็กระบี่ที่มีคมได้ ในสำนักศึกษานี้หากพวกของจ้าวเหิงไม่ลงมือหนักจนเกินไปก็ไม่จำเป็ต้องสนใจพวกเขา”
ผู้อำนวยการเฉินเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ จริงสิ นอกจากนี้มู่เฟิงผู้นั้นยังเป็นักสลักลายเส้นด้วยขอรับ พร์ในการหลอมโอสถและการสร้างเครื่องรางของเขานั้นสูงมากทีเดียว กระทั่งที่โม่เหลียนและเซี่ยวเจิ้นปรมาจารย์ของวิหารสลักลายแห่งอาณาจักรหนานหลิงยังยอมรับเขาเป็ศิษย์”
อู๋อี้พลันนึกเื่นี้ขึ้นมาได้
“นักสลักลายเส้น...”
ผู้อำนวยการเฉินเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย
สำหรับสำนักศึกษาเทียนอวิ่น สิ่งเดียวที่พวกเขายังขาดก็คือความสามารถด้านการสลักลายเส้น
“สำหรับเื่นี้พวกเราไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ แต่จากการที่เขาเลือกมาที่นี่นั่นแสดงว่าเขาให้ความสำคัญกับการฝึกฝนวรยุทธ์มากกว่า ส่วนเื่การสลักลายเส้นก็ปล่อยให้เขาพัฒนาความสามารถด้านนี้ด้วยตัวเองเถิด จริงสิ การประเมินบัณฑิตใหม่หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนเตรียมพร้อมดีแล้วใช่หรือไม่?”
ระหว่างนั้นคนทั้งคู่ซึ่งลอยอยู่กลางอากาศก็พูดคุยเื่อื่นกันอีกหลายเื่
หลังจากมู่เฟิงและไป๋จื่อเยว่กลับมาถึงเรือนพัก พวกเขาก็ตรงไปเยี่ยมมู่ขวงทันที เวลานี้เด็กหนุ่มยังคงเสียใจที่ไม่สามารถออกไปทำภารกิจพร้อมกับมู่เฟิงและไป๋จื่อเยว่ได้
เด็กหนุ่มทั้งสองต่างก็มอบคะแนนของตัวเองให้กับมู่ขวงคนละหนึ่งพันคะแนน
หลังจากกลับมาแล้ว มู่เฟิงก็ไปที่เขตเรือนพักของบัณฑิตหญิงด้วยตัวเองเพื่อไปหาอวิ๋นชิงว่าน ระหว่างเขตเรือนพักของบัณฑิตชายและบัณฑิตหญิงจะมีสวนป่าเฟิง*คั่นกลาง ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็สถานที่นัดพบของบรรดาคู่รักจำนวนมาก
(*ต้นเมเปิ้ล)
เนื่องจากยังอยู่ใน่วสันตฤดู ป่าเฟิงแห่งนี้จึงมีสีเขียวขจีให้ความรู้สึกสดชื่นเป็อย่างยิ่ง เมื่อเข้ามาในสวนแล้วก็จะสามารถเห็นบรรดาคู่รักเดินเล่นกันเป็ปกติ
มู่เฟิงกุมมือของว่านเอ๋อร์ขณะที่พวกเขากำลังเดินเคียงข้างกันไปตามถนน สองข้างทางมีต้นไม้ตั้งเรียงรายทำให้ระหว่างทางเต็มไปด้วยเงาของร่มไม้ เมื่อสายลมวสันฤดูพัดปะทะใบหน้าของพวกเขาก็ยิ่งทำให้รู้สึกเย็นสบาย
รอยยิ้มหวานผุดขึ้นที่มุมปากของว่านเอ๋อร์ นางเหลือบมองไปทางร่างสูงของคนที่อยู่ข้างๆ เงาร่างที่มั่นคงของเด็กหนุ่มทำให้นางรู้สึกสงบใจเป็อย่างมาก
“เ้ากำลังหัวเราะอะไร?"
มือของมู่เฟิงหยิกลงบนใบหน้าเล็กที่ดูนุ่มนิ่มของว่านเอ๋อร์ขณะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้ากำลังมีความสุข และคิดว่าอยากให้เป็แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ”
ว่านเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม
มู่เฟิงหัวเราะร่าก่อนจะพูดขึ้นว่า “ต่อจากนี้ไปก็จะมี่เวลาแบบนี้บ่อยๆ แล้ว”
ว่านเอ๋อร์พยักหน้า
จากนั้นมู่เฟิงก็หันหลังให้นางและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ขึ้นมาสิ”
ว่านเอ๋อร์กวาดตามองไปโดยรอบ บริเวณนี้ยังมีคู่รักคู่อื่นอยู่ด้วย เด็กสาวจึงรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย แต่นางยังคงขึ้นไปบนหลังของมู่เฟิงด้วยความยินดี จากนั้นมือบางก็โอบรอบคอของมู่เฟิงเอาไว้
มู่เฟิงแบกร่างเล็กของว่านเอ๋อร์ไว้บนหลัง จากนั้นเขาก็เริ่มออกเดินอีกครั้งพร้อมกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เ้ายังจำ่เวลาในวัยเด็กได้หรือไม่ เ้าชอบให้ข้าแบกเ้าเช่นนี้เป็ที่สุด ตอนนั้นน้ำมูกของเ้าไหลออกมาทั้งวัน อีกทั้งร่างกายก็ยังอ้วนกลม ฮ่าๆ เมื่อข้านึกถึงมันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เวลาผ่านไปเพียงชั่วพริบตาว่านเอ๋อร์ของข้าจากเด็กน้ำมูกโป่งผู้นั้นก็เติบใหญ่กลายเป็หญิงงามไปเสียแล้ว”
“ช่างน่าชังนัก เื่นั้นมันผ่านมาตั้งนานเท่าไรแล้ว เ้ายังจะจดจำมันอยู่อีก ต่อไปห้ามมาล้อข้าว่าน้ำมูกโป่งอีกนะ”
ว่านเอ๋อร์กล่าวอย่าเขินอาย นิ้วมือเล็กของนางบิดหูของมู่เฟิงอย่างแรง แต่เมื่อนึกถึง่เวลาในวัยเด็กที่ทั้งไร้เดียงสาและไร้ความกังวลของนางแล้ว ว่านเอ๋อร์ก็รู้สึกคิดถึงมันอยู่มาก
“โอ๊ย เอาละ เอาละ ข้าไม่เรียกยายน้ำมูกแล้ว แต่จะเรียกยายอ้วนกลมแทน”
“เ้าอยากตายรึ”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ไปกันเถอะ”
เด็กชายเริ่มออกตัววิ่งไปตามทางในร่มไม้ของป่าเฟิง โดยมีเด็กสาวขี่อยู่บนหลัง เสียงหัวเราะของพวกเขาฟังดูมีความสุขยิ่งนัก
“เ้าดูนั่นสิ แฟนหนุ่มของนางช่างดีนัก ข้าเองก็อยากจะขี่หลังเ้าบ้าง!”
หญิงสาวผู้หนึ่งที่มีน้ำหนักราวสองร้อยจินรีบหันไปบอกกับแฟนหนุ่มของนางด้วยความไม่พอใจ
ชายหนุ่มผู้นั้นจ้องมองเรือนร่างอวบอ้วนของแฟนสาวด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ทนกัดฟันและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ที่รัก เ้าขึ้นมาสิ”
ร่างอ้วนกลมของหญิงสาวรีบะโขึ้นขี่หลังของแฟนหนุ่มทันที ฉับพลันนั้นก็มีเสียงโครมครามดังขึ้น พร้อมกับรอยยุบของเท้ามนุษย์ที่ปรากฏขึ้นบนพื้น
“ที่รัก...เ้าน้ำหนักลดแล้ว...เอ่อ...”
ในระยะห่างที่ไกลออกไป มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งลอบมองตามหลังมู่เฟิงและว่านเอ๋อร์ ก่อนจะจากไปอย่างเงียบเชียบ
บริเวณลานบ้านในเรือนพักของหนานหลิง
“เ้าว่าอย่างไรนะ เ้าเด็กมู่เฟิงมีชีวิตกลับมาได้อย่างนั้นหรือ”
หลังจากได้ฟังคำรายงานจากลูกน้อง หนานหลิงก็ผุดกายลุกขึ้นทันที ก่อนจะถามย้ำด้วยสีหน้าน่าเกลียด
“พ่ะย่ะค่ะ วันนี้กระหม่อมเห็นเขาอยู่กับอวิ๋นชิงว่านในสวนเฟิงพ่ะย่ะค่ะ”
บัณฑิตจากจวนเป่ยอ๋องรีบกล่าวรายงานในทันที
“พวกเฉียนซินมัวทำอะไรกันอยู่? แม้แต่เด็กที่อยู่ในระดับจื่อฝู่แค่สองคนก็ยังจัดการไม่ได้”
หนานหลิงกำหมัดแน่น ขณะกล่าวขึ้นด้วยสีหน้ามือครึ้ม
“ฝ่าา มู่เฟิงสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย แต่พวกเฉียนซินยังไม่ใครกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ ในความเห็นของกระหม่อม คาดว่าพวกเขาคงจะประสบเคราะห์หนักไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มร่างผอมในชุดคลุมสีครามที่อยู่ด้านข้างหนานหลิงหรี่ตาลง ก่อนจะกล่าวออกมา
“เ้ากำลังจะบอกว่ามู่เฟิงมีพลังพอที่จะสามารถสังหารเฉียนซินได้อย่างนั้นหรือ? จะเป็ไปได้อย่างไร เฉียนซินผู้นั้นมีวรยุทธ์ระดับหนิงกังเลยไม่ใช่รึ?”
หนานหลิงเอ่ยแย้งอย่างเหลือเชื่อ
“มู่เฟิงอาจจะไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากขนาดนั้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามู่หลิงเอ๋อร์จะไม่มี หรือคนอื่นในตระกูลมู่จะไม่มี หากเขาออกไปยังโลกภายนอก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้รับการปกป้องอย่างลับๆ จากยอดฝีมือในตระกูลมู่ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวขึ้น หนานหลิงครุ่นคิดตาม และเหมือนว่ามันจะเป็ไปได้สูงมาก
“หากเป็ไปตามที่เ้ากล่าวมา เช่นนั้นก็หมายความว่าเราจะไม่สามารถสังหารมู่เฟิงได้เลยอย่างนั้นหรือ? ในสำนักศึกษาก็ไม่อาจแตะต้องเขาได้ นอกสำนักศึกษาก็ยังไม่สามารถสังหารเขาได้อีก”
หนานหลิงกล่าวด้วยสีหน้าไม่น่ามอง
“ฝ่าา การจะสังหารคนไม่จำเป็ต้องใช้เพียงกระบี่หรือดาบเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ แต่ยังสามารถใช้กลอุบายได้อีกด้วย หาก้าสังหารเขา เราก็ไม่จำเป็ต้องลงมือเองเสมอไปพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
“หื้ม เ้ามีวิธีอย่างนั้นรึ?”
ดวงตาของหนานหลิงเป็ประกายขึ้นมาทันที เขารีบถามขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มผู้นั้นขยับเข้าไปกระซิบข้างหูหนานหลิงทันที
หลังจากได้ฟังแผนการของอีกฝ่าย หนานหลิงก็ยิ้มเหยียดออกมา
“ตกลง วิธีนี้ไม่เลว ข้าจะทำตามแผนที่เ้าว่ามา แต่วิธีการนี้ จำเป็ต้องหาหน่วยกล้าตายที่เต็มใจภักดีต่อข้ามาสักคน”
“ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่ออกไปทำภารกิจครั้งก่อน ข้าบังเอิญได้พบพิษประหลาดชนิดหนึ่งเข้าพอดี...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้