ระหว่างอาหารเย็น พี่สะใภ้คนโตสุ่ยหยินซวงแอบมองเหรินเฟิงแล้วถามเขาบนโต๊ะอาหารว่า “น้องสาม่นี้ยุ่งอยู่กับอะไรนัก พาพี่ชายน้องชายหายออกไปจากบ้านทั้งวัน”
เหรินเฟิงเพียงเหลือบมองกลับ “ไม่ได้ทำอะไร”
“ทำไมจะไม่มี…”
“อยากรู้อะไรมากมาย! วันๆไม่มีอะไรทำก็เลยว่างมากนักอย่างนั้นเหรอ? ถ้าว่างมากนักก็รีบมีหลานชายเพิ่มให้ฉันเร็วๆเข้า มัวแต่กังวลบ้านแม่ตัวเองกับยุ่งเื่คนอื่นเพื่ออะไร!” จินจื่ออันต่อว่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ลูกสะใภ้คนนี้ถึงจะมีข้อดีแต่ก็มีข้อเสียมากกว่าสำหรับเธอ
เดิมทีตอนนั้นเธอหมายตาสาวบ้านอื่นไว้ให้ลูกชายคนโตแต่ไม่รู้ว่าเขาไปตกหลุมรักสุ่ยหยินซวงได้ยังไง สุดท้ายจินจื่ออันถึงต้องปล่อยตามความ้าของลูกชาย แต่นี่ก็ยังทำให้เธอปวดหัว มีลูกสะใภ้ที่เปลือกตาตื้นแถมชอบเอาของไปแจกจ่ายให้บ้านเดิมบ่อยครั้ง ขนาดว่าตอนนี้ยังไม่แยกบ้านและทุกสิ่งอยู่ในสายตาพ่อแม่สามีเธอยังทำแบบนี้ ไม่ต้องคิดถึงชีวิตในวันหน้าเลย
ลูกคนที่สามของเธอทำอะไรอยู่ในหลายวันที่ผ่านมา เธอรู้ดีและเธอก็ปล่อยให้เขาทำ และยังบอกให้พี่น้องช่วยเหลือให้เต็มที่ เ้าสามเป็คนหัวแข็ง แต่ไหนแต่ไรเขาชอบตัดสินใจด้วยตัวเองโดยใช้คำพูดของเธอเป็เพียงข้อพิจารณา เธอไม่มีคำพูดเด็ดขาดในใจของเขา
บ้านตระกูลเหรินมีธรรมเนียมให้ลูกคนโตแต่งงานก่อนเป็ลำดับ ลูกชายคนโตและคนรองแต่งงานแล้ว แต่หลายปีมานี้ติดค้างอยู่ตรงลูกชายคนที่สามมาเนิ่นนาน แม้แต่ลูกชายคนที่สี่ปีนี้ก็อายุ 18 แล้ว
ขณะที่สองสามีภรรยาตระกูลเหรินครุ่นคิดว่าจะยกเว้นธรรมเนียมนี้ไปก่อนดีหรือไม่ ในที่สุดลูกชายคนที่สามก็มีคนที่ชอบสักที…
เื่นี้ทำให้เธอทั้งมีความสุขและกังวลใจ อีกทั้งยังมีความระมัดระวังมากขึ้นไปอีก นางจะไม่ยอมให้พี่สะใภ้คนโตของครอบครัวเข้ามายุ่งวุ่นวายเด็ดขาด!
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ จินจื่ออันก็ถามลูกชายอย่างคาดหวัง “มีความคืบหน้าบ้างหรือเปล่า?” นี่เป็คำถามที่เธอแทบจะถามทุกครั้งเมื่อเจอหน้าเหรินเฟิงใน่นี้
“แม่อย่าพึ่งกังวลนักเลย เวลาแค่ไม่นานจะให้คนอื่นเขาปรับตัวได้ยังไง ผมจะยังไม่พูดกับเธอตอนนี้หรอก ถ้าเกิดเร่งรีบแล้วทำเธอกลัวขึ้นมาล่ะ?”
“ก็ได้ๆ งั้นแม่จะรอดูต่อไปแล้วกัน”
อีกด้านหนึ่งลู่เสวียอีก็เคาะหน้าผากตัวเองอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทีแรกเธอตั้งใจจะฝากกับข้าวไปให้พี่ใหญ่เหริน
เอาเป็ว่าพรุ่งนี้ค่อยตื่นมาทำอาหารใส่กล่องไปเยี่ยมเพื่อนบ้านตระกูลเหรินสักหน่อยก็แล้วกัน!
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากตื่นนอนได้ไม่นานลู่เสวียอีก็เริ่มเข้าครัว เธอทำเกี๊ยวทอด โจ๊กเนื้อและผัดผัก พร้อมทั้งนำขนมอบอีกสองอย่างออกมาจากพื้นที่ว่างแล้วจัดใส่ตะกร้า
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จเธอก็หยิบตะกร้าไม้ไผ่ตรงไปที่บ้านตระกูลเหริน
เมื่อมาถึงหน้าประตูเธอก็ลองเรียก “คุณป้า มีใครอยู่บ้านไหมคะ?!”
ตอนนี้ทั้งครอบครัวกำลังกินข้าวเช้าอยู่ในบ้าน และทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงเรียกข้างนอก
พี่สะใภ้คนโตบ่น “ใครมาหาที่บ้านั้แ่เช้า จะมาหาเื่กินข้าวด้วยหรือเปล่าเนี่ย”
เหรินเฟิงได้ยินเสียงก็จำได้ทันที เขาหันไปพูดกับมารดาแล้วบอกว่า “เป็เสียงของลู่จื่อชิง”
ทันใดนั้นจินจื่ออันก็ตื่นเต้น เธอรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เมื่อเธอเดินออกไปข้างนอกก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ เพียงแต่ใบหน้าถูกคลุมด้วยหมวกและผ้าพันคอจึงไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ถ้าเหรินเฟิงไม่บอกว่าเธอเป็ใคร จินจื่ออันก็คงจะทักทายไม่ถูกจริงๆ
“เธอคือลู่จื่อชิงที่ย้ายมาใหม่ใช่ไหม? มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?”
“สวัสดีค่ะคุณป้า หนูเป็ยุวชนผู้มีการศึกษาที่เพิ่งย้ายมาใหม่ชื่อลู่เสวียอี หนูเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังถัดไป…”
“ข้างนอกมันหนาว รีบเข้ามาคุยกันข้างในเถอะ” จินจื่ออันรีบตัดบท
“…ค่ะ” ลู่เสวียอีไม่เคยชินกับสภาพอากาศหนาวจัดของพื้นที่อยู่ใหม่ เธอหนาวจนฟันแทบกระทบกันแม้จะสวมชุดหนาๆ
เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าพวกพี่น้องตระกูลเหรินกำลังกินข้าวเธอจึงทักทาย
“พี่จวิน พี่หยวน พี่เฟิง พี่ซุน ฉันมารบกวนเวลากินข้าวแล้ว”
“รู้ว่าจะมารบกวนเวลากินข้าวก็ยังจะมาเร็วขนาดนี้…” พี่สะใภ้ใหญ่พึมพำ
พ่อเหรินเหลือบมองลูกสะใภ้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จินจื่ออันก็จ้องมองเธอเช่นกัน
ใบหน้าของเหรินเฟิงคล้ายจะมืดลงหนึ่งระดับ
พี่ใหญ่เหรินจวินมองภรรยาที่กวนน้ำให้ขุ่นอย่างนึกฉุน “กินข้าว!”
เมื่อเห็นว่าทั้งครอบครัวมองเธอเป็ตาเดียว สุ่ยหยินซวงจึงได้แต่หุบปากและก้มหน้ากินข้าวพลางบ่นพึมพำทำให้ทุกคนหมดอารมณ์และพูดไม่ออก
จินจื่ออันรู้สึกเสียใจเป็ที่สุดที่ยอมให้ผู้หญิงคนนี้แต่งเข้ามาในบ้าน พี่สะใภ้ใหญ่ที่ปากมากและมีวิสัยทัศน์คับแคบจะทำให้ครอบครัวอยู่อย่างมีความสุขได้ยังไงกัน
เหรินเฟิงหยิบผ้าขี้ริ้วเช็ดบนเก้าอี้ว่างให้สะอาดแล้วเชิญลู่เสวียอีนั่งลง
จินจื่ออันมองเธอแล้วยิ้มอย่างใจดี “ป้าเห็นว่าแม่หนูเตรียมบ้านกันมาสักพักแล้ว แต่่นี้ป้าไม่ว่าง ไม่มีเวลาได้ออกไปไหน เลยไม่ได้เข้าไปช่วยอะไรแม่หนู แต่ตอนนี้เราเป็เพื่อนบ้านกันแล้ว ถ้ามีอะไรให้ลุงกับป้าช่วยเหลือก็แค่บอกมาได้เลย สิ่งที่บ้านนี้ไม่ขาดก็คือแรงงานนี่แหละ” เธอพูดติดตลกแล้วชี้ไปที่ลูกชายทั้งสี่ของเธอ
“ขอบคุณค่ะคุณป้า เพียงแต่วันนี้หนูตั้งใจมาเยี่ยมเพื่อทำความรู้จัก แล้วก็อยากตอบแทนน้ำใจของพวกพี่เหรินด้วยของเล็กๆน้อยๆ”
ลู่เสวียอีพูดบอก เธอรู้สึกว่าเสียงของเธออู้อี้เล็กน้อยภายใต้ผ้าพันคอ จึงถือโอกาสคลายผ้าและหมวกออกเผยให้เห็นใบหน้าสวยงามชัดเจน
ทันทีที่ได้เห็นรูปลักษณ์ของหญิงสาว จินจื่ออันก็แอบคิดทันทีว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่ลูกชายคนที่สามจะตกหลุมรักเธอได้ เด็กผู้หญิงที่สวยละมุนพร้อมด้วยการวางตัวที่ดูดีและดึงดูดทุกระเบียบนิ้ว นางแอบคิดว่าหากพลาดจากคนตรงหน้าไปก็คงจะไม่มีหญิงสาวที่เข้าตาลูกชายของเธออีกแล้วในชีวิตนี้
จินจื่ออันไม่รู้ว่าเหรินเฟิงลูกชายของเธอมีความหลังอะไรอย่างอื่นกับลู่เสวียอี เธอเพียงอนุมานจากรูปลักษณ์และท่าทางของอีกฝ่ายเท่านั้น ลูกชายคนโตถูกดึงดูดด้วยใบหน้าของสุ่ยหยินซวงถึงได้ดึงดันแต่งเธอเข้ามาในบ้านให้นางได้ปวดหัวอยู่ทุกวัน
เดิมทีลูกชายคนที่สองก็ไม่ได้มีท่าทีพอใจกับสถานการณ์ทางบ้านที่วุ่นวายของลูกสะใภ้คนรองมากนัก แต่เมื่อเขาได้ไปดูตัวก็กลับเปลี่ยนความคิดไปทันที จินจื่ออันมีความคิดอยู่ลึกๆในใจว่าลูกชายของเธอเป็พวกคลั่งไคล้คนหน้าตาดี…
หันมองไปทางเหรินซูเจี้ยนผู้เป็หัวหน้าครอบครัว อะแฮ่ม! ตอนนั้นสามีก็เป็ฝ่ายตกหลุมรักเธอก่อนเหมือนกัน ดูได้ไม่ยากว่ายีนนี้สืบทอดมาจากใคร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้