“ดื่มแค่นี้เอง ข้าไม่มีทางร่วงง่ายๆหรอกน่าาา มาทุกท่าน… ชนจอก!!” จื่อต้าหลงกล่าว
หลังจากนั้นทั้งสี่หนุ่มก็ดื่มสุราเหมือนน้ำเปล่า สุราเริ่มหมดลงไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว
“สุราจะเลิศรส ต่อเมื่อดื่มด่ำกับสหายรู้ใจ มา!! ดื่ม!!” จื่อต้าหลงกล่าวพลางลุกขึ้นยืนแบบเซๆ
เขายกป้านสุราขึ้นมาดื่มอย่างเมามาย เสียงเครื่องเล่นดนตรี และหญิงงามร่ายร่ำคลุกเคล้า ทำให้เด็กหนุ่มเพลิดเพลินใจยิ่งนักกับบรรยากาศเช่นนี้ เขาวางแผนไว้ว่า แยกวงเมื่อไหร่จะเดินไปชมจันทร์ที่ศาลาเสียหน่อย วันนี้เขาพกน้ำเต้ามา เตรียมพร้อมที่จะไปชื่นชมบรรยากาศเงียบๆอย่างเต็มที่
หลังจากที่ทุกคนเมามายร่ำลากันเสร็จจื่อต้าหลงก็เดินทางไปยังศาลาชมจันทร์ เขาเดินชมบรรยากาศภายในเมืองที่มากไปด้วยผู้คน มันทำให้เขารู้สึกดีมาก ได้ออกมาเดินเล่นยามเมามาย ช่างสุขใจยิ่งนัก คืนนี้เขาเมาหนักมาก เขาเลือกที่จะไม่เดินลมปราณเพื่อขับความเมาออก เด็กหนุ่มชอบเวลาตัวเองเมามายแทบไร้สติ แม้เป็ความสุขเพียงชั่วครู่ มันก็นับว่าดีและผ่อนคลายสำหรับเขามากแล้ว
จื่อต้าหลงค่อยๆเดินอย่างช้าๆ ชื่นชมบรรยากาศรอบตัวไป เขาในตอนนี้รู้สึกว่าเมามากแทบจะคุมสติไม่อยู่แล้ว เดินไปจนถึงถนนที่ผู้คนบางตา ถนนเส้นนี้ไม่มีผู้ใดเลยนอกจากเขาที่เดินอยู่คนเดียว เด็กหนุ่มเดินเซไปเซมา หมายที่จะไปศาลาชมจันทร์ให้ได้ก่อนค่ำไปมากกว่านี้
ณ จวนตระกูลหลิว
หลิวสุยเยว่กำลังสนทนากับหลิวหานพ่อของนางอยู่
“เป็อย่างไรบ้าง? ความรู้สึกที่ได้เป็อันดับหนึ่งศิษย์หลักของสำนักปลาทอง” หลิวหานถาม
ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วัน หลิวสุ่ยเยว่ได้ท้าประลองแย่งชิงอันดับหนึ่งของสำนักมาได้ ทำให้ชื่อเสียงนางดังะเิไปทั่วเมือง อายุเพียงสิบเจ็ดปีกลับเก่งกาจถึงเพียงนี้ หญิงสาวเข้าสำนักปลาทองตอนอายุสิบห้าปี นางใช้เวลาเพียงสองปี ก็ขึ้นมาเป็อันดับหนึ่งของสิบยอดยุทธได้อย่างน่าเหลือเชื่อ นางได้รับการส่งเสริมจาก อาจารย์และตระกูลหลิว คอยสั่งสอนวิชาฝึกฝีมือให้ ทำให้พลังฝีมือของนางพัฒนาไปอย่างก้าวะโ ในตอนนี้พลังบ่มเพาะของนาง ไปถึงปราณจิตขั้นที่ห้า แล้ว นับว่ารวดเร็วอย่างน่ากลัว
สาเหตุที่ทำให้พลังบ่มเพาะของนางขึ้นอย่างรวดเร็วเป็เพราะว่านาง ได้รับโอสถสมุนไพร เข้าสมาธิฝึกพลังบ่มเพาะ และฝึกฝ่ามือหิมะ หญิงสาวเน้นฝึกไปทีละอย่าง หลักๆแล้วก็ฝึกอยู่แค่สองวิชาเท่านั้น ไม่เหมือนจื่อต้าหลง ที่เน้นฝึกวิชาทุกอย่างทุกกระบวนท่าให้อยู่ขั้นสูง พลังบ่มเพาะเขาจึงไม่ขยับไปไหนเสียที ซึ่งทำให้ในตอนนี้จื่อต้าหลงมีพลังบ่มเพาะเพียง ปราณจิตขั้นที่สองเท่านั้น…..
“เรียนท่านพ่อ ข้ายินดีที่ทำให้ท่านพ่อภูมิใจในตัวข้าได้” หลิวสุ่ยเยว่กล่าว
“เ้าคิดยังไงบ้างกับงานประลองรุ่นเยาว์อาณาจักรลี่ อยากเข้าร่วมหรือไม่?” หลิวหานถาม
“ข้าคิดอยากเข้าร่วมเ้าค่ะ….” หลิวสุ่ยเยว่ตอบเสียงเรียบ นางเชิดใบหน้าขึ้นสูงเล็กน้อย หน้าตาสะสวยงดงามราวภาพวาดจ้องตรงไปที่ดวงตาของหลิวหาน
หลิวหานเห็นนางแล้วยังอดชื่นชมไม่ได้ว่าลูกสาวเขาคนนี้ ช่างงดงามและมากฝีมือถึงเพียงนี้ นางช่างทุ่มเทกับการฝึกยุทธมากในชีวิตนี้นางฝึกยุทธมาโดยตลอดั้แ่จำความได้นางก็ได้เรียนการฝึกยุทธแล้ว
จื่อต้าหลงแม้จะเป็อัจฉริยะ แต่เขาก็เพิ่งมาฝึกยุทธอย่างจริงจังก็ตอนอายุสิบสามปีตอนที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักปลาทอง ทำให้เขาล่าช้ากว่าคนในรุ่นเดียวกันไปบ้าง แต่ด้วยความมากพร์ ทำให้เขาตามทุกคนทันและนับเป็ยอดฝีมือในรุ่นเดียวกันได้แล้ว
หลังจากที่หลิวสุ่ยเยว่ร่ำลาหลิวหานแล้ว นางก็คิดว่าคืนนี้จะไปเดินชมจันทร์ที่ศาลาเสียหน่อย หญิงสาวออกจากจวนแล้วเดินไปอย่างช้าๆค่อยๆชื่นชมบรรยากาศยามค่ำคืน นางเดินไปสักพักผู้คนก็บางตาไปลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงถนนสายหนึ่งที่ไร้ซึ่งผู้คน ในซอยที่เงียบเหงาเช่นนี้ นางเห็นบุรุษผู้หนึ่ง นอนหงายอยู่ที่กองฟางข้างโรงเตี๊ยม นางแปลกใจมากทำไมถึงมีคนมานอนอยู่ตรงนี้? หรือจะเป็คนไร้บ้าน?
เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าบุรุษผู้นั้นก็คือจื่อต้าหลง ด้วยความที่รู้จักกันนางจึงเขย่าตัวปลุกเขา
จื่อต้าหลงในตอนนี้เมามายสติเลอะเลือน เด็กหนุ่มนอนจ้องดวงดาวบนท้องฟ้าผ่านกองฟางด้วยดวงตาครึ่งหลับครึ่งลืม
“คุณชายจื่อ…. ใยจึงมานอนอยู่ตรงนี้?” หลิวสุ่ยเยว่กล่าวพร้อมเขย่าตัวเด็กหนุ่มเบาๆ
“หืมม… นั่นใครน่ะ….เ้าเองหรือจิ้งจอกน้อย?” จื่อต้าหลงพึมพัม
“จิ้งจอกน้อยหรือ? ท่านหมายถึงใคร?” หลิวสุ่ยเยว่กล่าวถาม
“ก็เ้าไง หลิว…สุ่ย….เยว่ เ้างดงามราวจิ้งจอกน้อยแสนสวยเลย” จื่อต้าหลงกล่าวแบบไม่เขินอายเพราะกำลังเมาได้ที่ นี่ทำให้หลิวสุ่ยเยว่ถึงกับหน้าแดงที่โดนชมเชยแบบตรงๆ
“ทะ…ท่านเมาแล้ว ลุกขึ้นเถอะ” หญิงสาวกล่าวตะกุกตะกักเล็กน้อยสุ้มเสียงเบาหวิวราวกับสายลมอ่อน อากับกริยาช่างน่ารักยิ่ง ใบหน้าที่งามล่มเมืองของหญิงสาวได้ยื่นเข้ามามองเด็กหนุ่มใกล้ๆ จากนั้นจึงลงมือเขย่าจื่อต้าหลงอีกที จื่อต้าหลงได้กลิ่นหอมลอยมาตามสายลม กลิ่นนี้ช่างหอมหวนจรุงใจ ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา พบเห็นใบหน้าของหลิวสุ่ยเยว่ที่อยู่ในระยะประชิดไม่ห่างจากหน้าเขามากนัก หญิงสาวมองมาทางเขาด้วยดวงตากลมกว้างท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเป็อย่างยิ่ง เห็นดังนั้นจื่อต้าหลงก็เริ่มได้สติกลับคืน
หลิวสุ่ยเยว่?
‘บะ…บัดซบ! เมื่อครู่ข้าพูดอะไรออกไปกับสาวงามอันดับหนึ่งของเมืองอย่างนั้น ผีบ้าตัวไหนสิงข้ากัน’เด็กหนุ่มพลางคิดในใจว่าจะโดนอีกฝ่ายตบหรือไม่ที่กล่าววาจาไร้สาระ
หลังจากได้สติจื่อต้าหลงก็โคจรลมปราณขับไล่ความเมาออกไปอาการจึงเริ่มดีขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“แม่นางหลิว…. อภัยให้ด้วยที่ข้าพูดจาเพ้อเจ้อ” จื่อต้าหลงกล่าวแก้เขิน
หลิวสุ่ยเยว่นั้น งดงามอย่างมิอาจมีชายใดหาญกล้ามาแตะต้องหรือทำล้อเล่นด้วยได้ นี่จึงนับเป็ครั้งแรกที่มีบุรุษกล้าหยอกเย้าต่อหน้าแบบตรงๆ ทำให้หญิงสาวรู้สึกเก้อเขินเป็อย่างยิ่ง
“ท่านมานอนทำอะไรที่นี่หรือ?” หลิวสุ่ยเยว่กล่าวถามแก้เขินใบหน้าของนางยังคงแดงระเรื่อ
“พอดีว่าข้ากำลังจะไปเดินชมจันทร์ที่ศาลาแต่ดันเมามากไปหน่อยเลยนอนพักเอาแรงมันเสียตรงนี้เลย แล้วท่านล่ะมาทำอะไรดึกๆดื่นๆในซอยเปลี่ยวเช่นนี้” จื่อต้าหลงตอบพร้อมถามกลับ
“ข้าเองก็หมายที่จะชมจันทร์เช่นกัน” หลิวสุ่ยเยว่บอกจุดมุ่งหมายของนางในการมาที่นี่
“ถ้าเช่นนั้นเราไปเดินชมจันทร์พร้อมกันที่ศาลาดีหรือไม่?” จื่อต้าหลงเอ่ยชักชวน
“ย่อมได้….” หลิวสุ่ยเยว่กล่าวด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยนแ่เบา นี่… ทำให้จื่อต้าหลงถึงกับกระสับกระส่ายไปมาเพราะเสียงของนางช่างไพเราะเสนาะหูยิ่งนักเด็กหนุ่มราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ฝันที่ยากจะฟื้นตื่น
“อะ… เอาล่ะ ไปกันเถอะ” จื่อต้าหลงกล่าวตะกุกตะกักเล็กน้อย ทั้งสองต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กันตลอดทาง หลังจากที่เดินมาถึงศาลาชมจันทร์แล้วทั้งคู่ก็เหม่อมองดวงดาวและท้องฟ้ายามราตรีร่วมกัน
“ดวงจันทร์ยังคงสวยงามเช่นเคย….” เป็หลิวสุ่ยเยว่ที่พูดออกมาก่อน… คืนนี้หลิวสุ่ยเยว่สวมแต่งอาภรณ์มาอย่างดูดีมีสง่าราศี หญิงสาวมัดผมทรงหางม้ามีปิ่นปักผมที่แสนหรูหราปกอยู่บนมวยผมดูไปช่างงดงามเหนือคำบรรยาย ชายใดถ้าเห็นเข้าต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหลอย่างช่วยไม่ได้ แม้แต่จื่อต้าหลงก็ตกอยู่ในภวังค์แห่งความงดงามนี้เช่นกัน
“ใช่… ดวงจันทร์สวยอย่างที่ท่านว่าจริงๆ แต่… ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่งดงามกว่าดวงจันทร์” จื่อต้าหลงกล่าว
“สิ่งใดรึที่งดงามกว่าดวงจันทร์?” หลิวสุ่ยเยว่ถามอย่างใคร่รู้ นางมองจื่อต้าหลงด้วยใบหน้าไร้เดียงสา
“สิ่งนั้นก็คือ…. ท่านยังไงล่ะ” จื่อต้าหลงพอเมาแล้วถึงกับใจกล้าพูดต่อหน้านางตรงๆทั้งอย่างนั้น เสียงหัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัวดังเป็จังหวะ
“ทะ…ท่าน…” หลิวสุ่ยเยว่ที่โดนชื่นชมตรงๆถึงกับเก้อเขิน ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็แดงก่ำ มือไม้ขยับไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนไม่ทราบว่าควรวางไว้ตำแหน่งไหนถึงจะดี จื่อต้าหลงนับเป็ชายคนแรกที่กล้าเกี้ยวนางอย่างตรงๆเช่นนี้
“ทะ..ท่านคงเมาแล้วถึงได้พูดจาเพ้อเจ้อเช่นนี้” สุ้มเสียงของหลิวสุ่ยเยว่เบาหวิว นางก้มหน้าหลบสายตาของจื่อต้าหลงเล็กน้อยทำตัวราวกับเด็กมีความผิดก็มิปาน มองไปช่างน่าเอ็นดูเป็อย่างยิ่ง
“ฮ่าๆๆ ดื่มสุราพึงเมามาย…. วาจาหลังเมามาย ….ล้วนเป็วาจาจากใจจริง” จื่อต้าหลงกล่าวพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก ทำให้เด็กหนุ่มดูมีสเน่ห์มากเป็พิเศษ แม้ยามปกติเขาจะหล่อเหลาอยู่แล้ว แต่การที่เขากล้าพูดตรงๆเช่นนี้ นับว่าเป็ลูกผู้ชายคนหนึ่ง ทำให้ดูแล้วมีสเน่ห์แห่งบุรุษเพศขึ้นมาแล้ว ตอนนี้ตัวเขาอายุสิบห้าย่างสิบหกปี เด็กหนุ่มเริ่มสูงใหญ่และกำยำขึ้นเรื่อยๆ
‘วาจาหลังเมามายล้วนเป็วาจาจากใจจริง’ คำนี้แฝงความหมายลึกซึ้ง คำพูดชมเชยของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ที่เอ่ยต่อหญิงสาวล้วนมาจากใจจริง มิใช่คำพูดเลื่อนลอยเพ้อเจ้อไร้สาระอันใดอย่างแน่นอน
หลิวสุ่ยเยว่พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ไปก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก ด้วยความเขินอายนางจึงพยายามเปลี่ยนเื่คุย
“ท่านคิดที่จะเข้าร่วมงานประลองอาณาจักรลี่หรือไม่?” หลิวสุ่ยเยว่กล่าวถามด้วยสุ้มเสียงแ่เบา
