เล่มที่ 4 บทที่ 95
หลังจากคิดฟุ้งซ่านอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก็ส่ายศีรษะและยิ้มให้กับตัวเองที่ชอบยุ่งในเื่ไม่เป็เื่ ในตอนนี้ นางยุ่งวุ่นวายมากอยู่แล้ว จะยังมีเวลาว่างไปคิดคำนึงถึงคนอื่นที่ไม่สำคัญเสียที่ไหนกัน?
หลังจากถอดถอนความคิด สายตาก็จ้องมองไปที่ตำราแพทย์ และอ่านมันอย่างจริงจัง
นางอ่านไปสองสามหน้า ปี้เอ๋อร์ก็เข้ามาพร้อมกับชามน้ำแกงยา “ดมแล้วก็หอมดี เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันใช้ได้หรือไม่?”
“วิธีนี้เป็วิธีที่ท่านอาจารย์คิดค้นขึ้นมาเอง หากไม่ได้ผล มันจะต้องไม่บันทึกไว้ในนี้อย่างแน่นอน” มู่หรงฉิงมองดูปี้เอ๋อร์ป้อนยาให้เป้ยหนิงพลางนับเวลาในใจ ผ่านไปไม่นาน คนที่เมาหัวราน้ำคนนั้นก็ขมวดคิ้ว พร้อมเปล่งเสียงฮึๆ และค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“คุณหนูใหญ่ ยานี้ได้ผลจริงๆ ด้วย ตำราแพทย์เขียนไว้ว่า ใช้เวลาราวจิบชาหนึ่งถ้วย[1] แล้วก็ตื่นขึ้น โดยที่เวลาไม่เกินหนึ่งเค่อ และไม่น้อยกว่าหนึ่งเค่อด้วย” ปี้เอ๋อร์รีบบิดผ้าเช็ดตัว แล้วเช็ดหน้าผากให้กับเป้ยหนิง ครั้นเห็นเป้ยหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น นางจึงพูดอย่างขบขันว่า “องค์หญิงช่างมีความสามารถจริงๆ บ่าวหาใบชาเป็เวลานาน แต่ก็ไม่พบเลย ทว่าองค์หญิงกลับพบสุราและนำมาดื่มเฉยเลย”
เป้ยหนิงรู้สึกสับสนและเวียนศีรษะ หลังจากได้ยินสิ่งที่ปี้เอ๋อร์พูด นางก็หลับตาลงอีกหน กระทั่งผ่านไปอีกพักใหญ่ นางถึงลืมตาขึ้นพร้อมพูดว่า “สุราขวดนั้นมันวางอยู่ที่ห้องด้านข้างไม่ใช่หรือ? ที่งานเลี้ยงราชวงศ์เมื่อสองวันก่อน เนื่องจากข้าให้ความสำคัญกับระเบียบมารยาท ข้าจึงไม่กล้าดื่มมาก ตอนนั้นข้าดื่มไปแค่สองจิบเอง ข้าอยากจะดื่มมาก แต่ไม่คิดว่าที่นี่จะมีอยู่ด้วย ข้าเลยควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว...”
“สุราในงานเลี้ยงราชวงศ์หรือ?” มู่หรงฉิงรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นนางก็เข้าใจอย่างกระจ่าง จวนเฉินทำการค้ากับราชวงศ์ซึ่งกิจการนั้นมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ มากมาย ั้แ่ของใช้ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเครื่องประดับทองคำและเงิน และสุรานั้นอาจจะเป็สุราที่จวนเฉินส่งเข้าไปในวังหลวงกระมัง?
“แม้สุราจะหอม แต่ก็โลภดื่มไม่ได้ ดูเ้าเมาหัวราน้ำเช่นนั้น หากปล่อยให้เมาเป็เวลานานเกินไปจนไม่กลับไป มันจะส่งผลให้เกิดความวุ่นวายเอาได้” เดินไปที่เตียง เอื้อมมือไปตรวจอุณหภูมิของเป้ยหนิง “ร่างกายยังร้อนอยู่เล็กน้อย หลังจากเวลาผ่านไปอีกสักพัก ฤทธิ์น้ำเมาจะหมดไปอย่างสมบูรณ์ โชคดีที่มีตำราแพทย์ที่ท่านอาจารย์ให้มา ถ้าไม่เช่นนั้น คงทำได้แค่แบกเ้ากลับไปในขณะที่เมามายไม่รู้ตัว ถึงเวลานั้นฉายาของเ้าที่ว่าเป็องค์หญิงโลภดื่มสุราก็จะกลายเป็จริงขึ้นมา เมื่อคนที่รักของเ้ากลับมา เขาไม่ใกลัวเ้า คงจะเป็เื่ที่แปลกมาก”
“เขาไม่ใกลัวอย่างแน่นอน ด้วยอุปนิสัยของเขาอย่างมากก็แค่ไม่สนใจถึงการดำรงอยู่ของข้า” ครั้นนึกถึงบุคคลนั้น ในใจของเป้ยหนิงทั้งรักทั้งเกลียดเขา
ฟังจากคำพูดของเป้ยหนิง มู่หรงฉิงพลอยรู้สึกขบขันตามสัญชาตญาณ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเบะปาก มู่หรงฉิงก็คิดว่า เส้นทางรักของเป้ยหนิงอาจจะไม่ราบรื่นจริงๆ ก็เป็ไปได้
ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะทำให้เป้ยหนิงตื่นขึ้นมา และดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก มู่หรงฉิงรู้สึกวิตกกังวล นางจึงดึงเป้ยหนิงและพูดอย่างจริงจังว่า “เป้ยหนิง ช่วยข้าสักเล็กน้อยได้หรือไม่?”
“พูดไปตั้งหลายหนแล้วว่าให้เรียกข้าว่าศิษย์พี่หญิง เรียกว่าศิษย์พี่หญิง” ยกมือขึ้นและนวดใบหน้าเล็กกะทัดรัดของมู่หรงฉิง มือไม้ของเป้ยหนิงไม่อ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าถ้ามู่หรงฉิงไม่เปลี่ยนคำพูด นางจะไม่ยอมปล่อยอย่างไรอย่างนั้น
มู่หรงฉิงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องะโด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์พี่หญิงที่แสนดี ศิษย์พี่หญิงปล่อยข้าไปเถอะ ถ้ายังนวดเช่นนี้ต่อไป ใบหน้าของข้าจะต้องกลายเป็แป้งนวดอย่างแน่นอน”
“อืม เชื่อฟังก็ดีแล้ว พูดมาเถอะ จะให้ศิษย์พี่หญิงทำอะไร?” เป้ยหนิงปล่อยมืออย่างพึงพอใจ ดีจริงๆ ที่นางมีศิษย์น้องที่สามารถรังแกได้ด้วย
“เมื่อก่อนเคยบอกศิษย์พี่หญิงเกี่ยวกับอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท คืนนี้อยากจะขอให้ศิษย์พี่หญิงทำตามคำพูดของฉิงเอ๋อร์ด้วยการล่ออาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทให้ไปที่บ้านของจ้าวจื่อซิน” ความสงสัยปรากฏบนใบหน้าของเป้ยหนิงเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงรีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงวางใจได้ ข้าจะไม่ทำร้ายอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท ข้าแค่มีเื่จะถามเขาอีกมากเท่านั้น ข้ามีความสงสัยมากมายอยู่ในใจ และอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทคือคนเดียวที่รู้เื่ ได้โปรดช่วยฉิงเอ๋อร์ทำงานนี้ด้วยเถอะ”
มู่หรงฉิงพูดอย่างจริงจังและจริงใจมาก เป้ยหนิงคิดอยู่นานก่อนที่จะพยักหน้า จากนั้นจึงพูด “เ้าจงรู้ด้วยว่าสถานะของข้านั้นอ่อนไหวมาก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับขุนนางในเมืองหลวงด้วยสาเหตุมาจากข้า ข้าคงยากที่จะปัดความผิดได้”
“ฉิงเอ๋อร์เข้าใจ จึงขอเพียงศิษย์พี่หญิงล่ออาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทไปที่บ้านของจ้าวจื่อซินก็เพียงพอแล้ว ส่วนที่เหลือหลังจากนั้น ฉิงเอ๋อร์จะเป็คนจัดการด้วยตัวเอง และแม้ว่าอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทจะรู้ความจริง เขาจะไม่โทษศิษย์พี่หญิง” สังเกตเห็นเป้ยหนิงพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอก มู่หรงฉิงจึงกล่าวต่อ “เื่นี้เกี่ยวข้องกับความโง่งมของท่านพี่ของฉิงเอ๋อร์ ถ้าอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทมีเบาะแส จะสามารถช่วยท่านพี่ของข้าให้หายดีในเร็วๆ นี้ พูดตามความเป็จริง ชีวิตของท่านพี่ของข้า เหลือเวลาไม่มากแล้ว ...”
มู่หรงฉิงรู้สึกเศร้าใจ ยามนึกได้ว่าเฉินเทียนหยูจะมีชีวิตเหลืออยู่เพียงครึ่งปี นางก็ยิ่ง้าขวางเฉินเทียนหยูให้ปลอดจากประตูของยมบาลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนค่ำ ตามคำกล่าวของมู่หรงฉิง เป้ยหนิงวิ่งไปที่จวนของอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทเพื่อหาหมอเทวดา ขณะนั้นหมอเทวดากำลังจ้องมองไปที่กองสมุนไพรในสวนหลังเรือนของอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทและได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง
เมื่อเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของเป้ยหนิงที่เดินมาถึง หมอเทวดาจึงเลิกคิ้ว “เกิดอะไรขึ้นหรือ? หลังจากวิ่งออกไปไม่เห็นหัวเห็นเงาทั้งวัน ทำไมถึงเดินมาแล้วทำหน้าเช่นนี้ล่ะ?”
“วันนี้ข้าไปที่จวนเฉิน” เป้ยหนิงทิ้งประโยคก่อนจะนั่งด้านข้างอย่างไม่สบอารมณ์
“ไปเจอมู่หรงฉิงคนนั้นแล้วหรือ?” หมอเทวดาโยนยาในมือลงในถาด จากนั้นเดินไปยังตรงหน้าเป้ยหนิง เคราสีขาวสั่นไหวตามจังหวะคำพูดของเขา “เจอแล้วหรือ?”
“เจอแล้วก็ดีแล้ว” ถอนหายใจ จากนั้นเป้ยหนิงก็พูดอย่างหดหู่ว่า “ท่านอาจารย์ ท่านช่วยบอกข้าที ผู้เป็ย่าในจงหยวนต่างก็โหดร้ายมากถึงเพียงนั้นทุกคนหรือไม่? เทียบเชิญที่ข้าส่งไปที่จวนเฉิน อยากจะให้มู่หรงฉิงไปดูเทศกาลลอยโคมไฟเป็เพื่อนข้า ผลคือเทียบเชิญนั้นถูกฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเฉินเก็บไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเตรียมการไว้ก่อนและแอบดูจากบนกำแพง ข้าคงไม่รู้ว่ามู่หรงฉิงอยู่ในจวนเฉินด้วยสถานะต่ำต้อย”
พูดจบก็ถอนหายใจอีกหน “แอบมองนางอยู่นาน สามีโง่งมคนนั้นก็นับว่าไม่เลว เขารู้จักปฏิบัติต่อนางเป็อย่างดี แต่นางนี่สิ นางเหมือนคนไร้ิญญาอย่างไรอย่างนั้น นางซ่อนตัวอยู่ในห้อง ก่อนแอบเปิดกล่องออกมา และหยิบม้วนกระดาษภาพวาดในกล่องใบหนึ่ง ต่อมานางก็เหม่อลอยอยู่ตรงนั้น นางร้องไห้อยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะอีกชั่วครู่หนึ่ง นางดูเหมือนคนวิกลจริตไร้ิญญาอย่างไรอย่างนั้น”
“ม้วนกระดาษภาพวาดหรือ? ผู้หญิงในจงหยวนชอบการร่ายรำ ชอบอักษร ชอบใช้หมึก และชอบการวาดดอกไม้และหญ้าเป็งานอดิเรกในยามว่างซึ่งนับว่าเป็งานอดิเรกที่ดี มันเป็การฝึกฝนตนเองย่อมดีกว่าหญิงสาวในทุ่งหญ้า” หมอเทวดาพยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าหญิงสาวในจงหยวนจะอ่อนแอ ต้องลมไม่ได้ แต่ภาพลักษณ์นั้นทำให้คนรักและเวทนา
“จวนเฉินมีองครักษ์คอยเฝ้าอยู่ ข้ากลัวว่าจะถูกค้นพบ ดังนั้นข้าจึงได้แต่มองดูจากระยะไกล แม้ว่าจะไม่เห็นอย่างชัดเจนว่าภาพวาดนั้นคืออะไร แต่ข้าได้ยินบ่าวที่ยกกล่องคนนั้นพูดว่า กล่องนั้นคือกล่องสินสอดทองหมั้นแต่งเข้าในจวนเฉิน และดูเหมือนว่า มู่หรงฉิงยังไม่มีกุญแจเสียด้วย คิดว่าม้วนภาพวาดนั้น ไม่ใช่ภาพที่นางวาด สังเกตโครงร่างจากระยะไกล ในภาพวาดดูเหมือนว่าจะเป็ภาพผู้ชายคนหนึ่ง”
เป้ยหนิงรินน้ำชาหนึ่งถ้วยพลางดื่มให้ชุ่มคอ ความจริงแล้วสิ่งที่มู่หรงฉิงขอให้นางพูดมีเพียงคำไม่กี่คำ แต่นางรู้สึกว่าการแสดงในคราวนี้นางจะต้องทำให้ดี ถ้าไม่พูดเกินจริง อาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทจะติดกับดักได้อย่างไร?
นางคิดในใจก่อนเหลือบมองอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทอย่างลับๆ ในจังหวะที่วางถ้วยชา จึงเห็นว่าคิ้วของเขาถูกห่อแน่นและลดสายตาต่ำลงอย่างครุ่นคิด
ครั้นเห็นอากัปกิริยาของอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท เป้ยหนิงพลอยชื่นชมมู่หรงฉิงเป็อย่างมาก นางไม่คาดคิดเลยว่า ตาเฒ่าผู้มีความคิดลึกซึ้งคนนี้จะสนใจเื่ของมู่หรงฉิงมากกว่าที่คิด นางเคยพบเจอเขาสองสามหน และเขาก็ดูสงบสุขุมคล้ายหมื่นเื่ไม่อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ ทว่าตอนนี้คิ้วของเขาได้ถูกห่อเข้าหากัน กระนั้นมันกลับสวยมากจริงๆ
เมื่อคิดเช่นนั้น เป้ยหนิงจึงไม่สนใจคำพูดของมู่หรงฉิง นางยังคงพูดต่อไปโดยที่น้ำเสียงและสีหน้าของนางนั้นแสดงได้ดีเยี่ยม “ท่านอาจารย์ไม่รู้ ในขณะที่มู่หรงฉิงดูที่ม้วนภาพวาด มันเรียกว่าความเศร้า ข้าไม่รู้ว่านางพูดพึมพำอะไร? แต่มันทำให้เฉินเทียนหยูกระวนกระวายเดินวนไปวนมา จับใบหูและเกาหัวเหมือนลิงอย่างไรอย่างนั้น”
เป้ยหนิงกลับไปพูดตามความ้าของมู่หรงฉิงอีกหน จากนั้นจึงหยุดบทสนทนา และในขณะที่กำลังจะดึงหมอเทวดากลับไปที่จวนของฮูหยินชั้นที่หนึ่ง
“องค์หญิง ช้าก่อน ล่าวฟู*ได้จัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว และได้ส่งคนไปแจ้งฮูหยินชั้นที่หนึ่งแล้วว่า คืนนี้องค์หญิงและหมอเทวดาจะพักอยู่ที่จวนของล่าวฟู”
(*ล่าวฟู ชายชราใช้เรียกแทนตนเอง)
เป้ยหนิงเหลือบมองหลิงชิงป๋ออย่างสงสัย “ท่านอาจารย์องค์ชายรัชทายาท ด้วยความรู้สึกและด้วยเหตุผล อาศัยอยู่ในจวนของท่านคงจะไม่สะดวกกระมัง?”
“จะพักที่นี่หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความปรารถนาขององค์หญิงทั้งหมด เพียงแต่ทางจวนได้เตรียมอาหารเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว ขอให้องค์หญิงและหมอเทวดาทานอาหารเย็นที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับไปที่จวนฮูหยินชั้นที่หนึ่ง ก็ยังไม่สายเกินไป” พูดจบ อาจารย์องค์ชายรัชทายาทก็หันไปสั่งกำชับบ่าว “เวลาเย็นมากแล้ว ดูสิว่าอาหารเย็นได้เตรียมพร้อมแล้วหรือไม่?”
“ไม่อาจรับได้” ด้วยความกระตือรือร้นของหลิงชิงป๋อ เป้ยหนิง ‘จำต้อง’ รับประทานอาหารค่ำที่จวนอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท อาหารมื้อนี้ก็ไม่เลวเลย หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย เป้ยหนิงอ้างว่าเย็นย่ำมากแล้ว จึงพาหมอเทวดากลับไปที่จวนของฮูหยินชั้นที่หนึ่ง
“อย่างไรหรือ?” หลังจากที่ทั้งสองคนจากไป หลิงชิงป๋อได้ยืนร้องไห้อยู่ใต้ต้นหลิวในสวนหลังเรือน ก่อนจะมีเงาหนึ่งปรากฏตัวและยืนอยู่ด้านข้าง เขาได้เอ่ยถามด้วยเสียงแ่เบาว่า “สิ่งที่องค์หญิงพูดนั้นเป็ความจริงหรือไม่?”
“เรียนเ้านาย มู่หรงฉิงอยู่ในจวนเฉินและมีปัญหาเื่ความปลอดภัยของชีวิต ส่วนเทียบเชิญที่องค์หญิงส่งไปในวันนี้ก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าเฉินควบคุมไว้เอง กรณีกล่องนั้น ข้าได้ยินมาว่ามันเกิดขึ้นจริงใน่เวลาสองวันที่ผ่านมา”
“อืม ไปเถอะ คอยสังเกตองค์หญิง คืนนี้นางจะต้องทำอะไรสักอย่างเป็แน่” หลังจากเงาหนึ่งจากไป หลิงชิงป๋อก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดสลัว
องค์หญิงบอกว่าถือกล่องนั้นในวันนี้ แต่จริงๆ แล้วน่าจะเกิดขึ้นใน่สองวันก่อน บางทีองค์หญิงคงได้ไปเห็นมาและเพิ่งพูดขึ้น บางทีองค์หญิงอาจจะจงใจพูดถึง
ถ้าพูดเช่นนั้นอย่างจงใจ เขากลับคิดว่ามันไม่น่าจะเป็ไปได้ องค์หญิงและมู่หรงฉิงเพิ่งพบกันเมื่อวาน ย่อมไม่มีเหตุผลและไม่มีโอกาสที่จะทำเช่นนั้นด้วยสาเหตุจากการร่วมมือกับมู่หรงฉิง
ถ้าไม่ใช่กับดักที่วางไว้ นั่นก็คงจะหมายความว่า องค์หญิงลอบไปที่จวนเฉินหลังจากนางมาถึงเมืองหลวง แต่ความคิดนั้นกลับไม่สมเหตุสมผลเลย เดิมองค์หญิงอยู่ด้านนอกแคว้น ย่อมไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวง อีกประการองค์หญิงก็ไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของมู่หรงฉิง นางจะแอบไปที่จวนเฉินได้อย่างไรหรือ?
เหตุผลต่างๆ ถูกล้มล้าง หลิงชิงป๋อนั่งอยู่ใต้ต้นหลิวและมองดูสระบัวอันเงียบสงบ แท้ที่จริง สถานการณ์เป็อย่างไรนั้น เขาจะต้องรอให้ข่าวคราวมาก่อนถึงจะตัดสินใจอีกหน
รอคอยด้วยวิธีนี้ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เงาร่างก็ปรากฏตัวอีกหน “เ้านาย องค์หญิงลอบออกจากจวนของฮูหยินชั้นที่หนึ่ง และกำลังมุ่งหน้าไปยังเขตที่อยู่อาศัยแล้ว”
“โอ้? องค์หญิงไปคนเดียวหรือ? หมอเทวดาล่ะ?”
“อาจเป็เพราะหมอเทวดาดื่มมากเกินไป หลังจากกลับไปที่จวนของฮูหยินชั้นที่หนึ่ง ก็ผล็อยหลับไป และเมื่อเห็นว่าหมอเทวดาหลับไปแล้ว องค์หญิงจึงลอบออกมา”
หลิงชิงป๋อมองดูกระแสน้ำที่กระเพื่อมเล็กน้อยเพราะกระทบกับสายลม เขาฉงนใจเป็อย่างมาก องค์หญิงเพิ่งมาถึงเมืองหลวงไม่นาน แต่ทำไมถึงไปยังเขตที่อยู่อาศัยแถวนั้นเพียงคนเดียว? มีคนเชิญไปหรือไม่? แต่ในหลายวันนี้ มีคนลอบสังเกตองค์หญิง ก็ไม่เห็นว่านางจะใกล้ชิดสนิทสนมกับใคร วันนี้องค์หญิงแอบเข้าไปในจวนเฉิน และคนของเขาได้รู้เื่นี้ด้วย รับรองว่าไม่มีอะไรผิดพลาด
ความคิดดังกล่าวส่งผลให้ดวงตาของหลิงชิงป๋อถึงกับเป็ประกาย วันนี้องค์หญิงอยู่ในจวนเฉินนานเกินไป ตามที่สายของเขาได้กลับมารายงาน มู่หรงฉิงถูกเลี้ยงให้อยู่ในห้องทั้งวัน องค์หญิงแค่ลอบเฝ้าดูอยู่ในที่มืดโดยไม่ได้พบเจอกับมู่หรงฉิง ฉะนั้นองค์หญิงอาจรู้ว่า มู่หรงฉิงจะต้องมีการเคลื่อนไหวในคืนนี้อย่างแน่นอน นั่นจึงเป็เหตุผลที่นางลอบออกจากจวนเพื่อไปพบกับมู่หรงฉิง
ทว่ามู่หรงฉิงเป็สตรีอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน การที่นางไปย่านที่พักอาศัย้าทำอะไรหรือ?
“ข้าจะไปสักพักแล้วก็จะกลับมา เ้าอยู่ในจวน ควรให้ความสนใจและระมัดระวังให้มาก อย่าให้คนเ่าั้รู้เื่นี้อย่างเด็ดขาด” ครั้นเอ่ยถึง 'คนเ่าั้' ดวงตาของหลิงชิงป๋อก็เต็มไปด้วยความหนาวเย็น
“รับทราบ”
-----------------------
[1] เวลาจิบชาหนึ่งถ้วย เป็วิธีบอกเวลาสมัยโบราณของจีน โดยทั่วไปหมายถึงเวลาราวสิบห้านาที