“ลาก่อน ที่รักของฉัน ถึงฉันจะรักเธอมาก แต่ฉันก็จำเป็ที่จะต้องออกไปทำงาน ชีวิตคนช่างโหดร้ายเหลือเกิน ฉันตั้งเธอเป็สกรีนเซฟเวอร์ของฉันแล้ว ทุกวันต่อจากนี้ไป ฉันจะได้มองรูปเธอก่อนนอน เรียกชื่อของเธอในความฝัน Z4 น้อยของฉัน!” 6 โมงเช้า แบกกระเป๋าสัมภาระง่ายๆ เซี่ยวอี๋ยืนอยู่หน้าโรงรถในขณะที่กล่าวคำอำลากับ BMW Z4 ที่เพิ่งขับมาได้แค่เพียงวันเดียว ว่าแล้วเธอก็แทบจะร้องไห้
“คุณผู้หญิง อย่าเรียกมันแบบนั้นได้ไหม ทำไมได้ยินแล้วเหมือนเรียกคนแคระเลย...” เสิ่นิได้ยินแล้วรู้สึกขยะแขยง
“นายจะมาเข้าใจอะไร? ผู้ชายไม่มีอะไรดีเลย ไม่ละเอียดอ่อน หลายใจ ไม่นอกใจก็เป็เกย์! จะสู้ Z4 น้อยของฉันได้ยังไง นอนอยู่แต่ในโรงรถอย่างเชื่อฟัง รอให้ฉันไปสตาร์ทมันก็เท่านั้น” เซี่ยวอี๋หมกมุ่นอยู่กับการนอนบนกระโปรงหน้ารถ เธอพบว่ามีจุดขาวเล็กน้อยที่มุมของฝาครอบกระโปรงรถสีดำ “เวร! มีขี้นกได้ยังไง?! เสิ่นิ! พ่อมีดพันเล่ม ฉันบอกให้นายปิดประตูโรงรถเมื่อวานนี้ นายได้ปิดหรือเปล่า?”
“คุณผู้หญิง คุณเช็ดรถจนเช้าตรู่ ใครมันจะไปรอปิดประตูโรงรถให้คุณไหว?” เสิ่นิใช้นิ้วแคะขี้มูก
“นาย!” ในขณะที่เซี่ยวอี๋โกรธจนอยากจะทุบคน รถแท็กซี่คันหนึ่งก็หยุดเทียบที่ประตูวิลล่า
“ขึ้นมาสิ” เฝิงเฉวียนซึ่งนั่งอยู่บนเบาะผู้โดยสารข้างคนขับกวักมือเรียก
“อะไรจะขี้เหนียวขนาดนี้? แท็กซี่เหรอ?” จากที่เซี่ยวอี๋ฟังเสิ่นิอธิบาย ตระกูลเฝิงดูเหมือนจะเป็ครอบครัวขนาดใหญ่ แม้แต่ค่ายนิรวานของพวกเขาเองก็ไม่อยากจะพัวพันด้วย เด็กชายที่หน้าตาอายุไม่เกิน 16 ปีผู้นี้ เป็ถึงนายน้อยของตระกูลเฝิง แม้ว่าจะอยู่อันดับที่ 15 แต่เขาก็ช่างแมนเหลือเกิน ไม่ต้องถึงกับขับรถ Bugatti Vessel มาอวดหรอก แต่รถที่ใช้ในเชิงพาณิชย์นี่ก็น่าจะเป็ทางการกว่านี้หน่อยไหม?
“เงินค่าขนมผมให้พวกคุณไปหมดแล้ว ไม่พาพวกคุณขึ้นรถเมล์ก็นับว่าให้เกียรติกันแล้วนะ!” เมื่อพูดถึงเื่นี้ สีหน้าของเฝิงเฉวียนก็เหมือนเพิ่งไปเหยียบอุจจาระมา เพื่อจะมีเงินค่าแท็กซี่ เขาถึงกับไม่ทานข้าวเช้าด้วยซ้ำ
“ไปกันเถอะ! ออกเดินทางได้!” เสิ่นิไม่เื่มาก เขาเข้าไปนั่งที่เบาะหลังของแท็กซี่ รถขับพาพวกเขาทั้งสามไปยังสถานีรถไฟเป๋ยไห่หนาน เพื่อขึ้นรถไฟมุ่งหน้าไปทางตะวันตก ใช้เวลาไม่เกิน 8 ชั่วโมง ที่นั่งแข็งทำเอาปวดก้นไปหมด...เซี่ยวอี๋นั่งอยู่กับกลุ่มชายหนุ่มซึ่งถอดรองเท้าั้แ่ขึ้นรถมา กลิ่นนี่ช่างเหมือนกับการนั่งอยู่ในกองปลาเค็มขึ้นรา
“ฉันทนไม่ไหวแล้ว!” เซี่ยวอี๋นั่งได้ไม่ถึง 20 นาที เธอลุกขึ้นและเดินออกไปหาพนักงานต้อนรับบนรถไฟ จ่ายเงินเพิ่มสำหรับตั๋วนอนราคาประหยัด เพื่อรักษาโพรงจมูกของตนเองไว้
เสิ่นิและเฝิงเฉวียนนั่งพิงกันอย่างกับเพื่อนรัก มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างพลางพูดคุยสนทนา
“ฉันอยากถามนายมาตลอดเลยว่านายน้อยหน้ากากทองของตาเฒ่าเฝิงนั้นเลื่องชื่อมาก แต่ทำไมนายถึงใส่หน้ากากแค่ครึ่งหน้าล่ะ มันคือเื่อะไรกัน?” เสิ่นิถามด้วยความสงสัย
“เพราะฉันถือว่าเป็นายน้อยแค่เพียงครึ่งเดียว” เฝิงเฉวียนไม่ได้ไม่เห็นด้วย “พ่อฉันเป็หัวหน้าตระกูล แต่แม่ฉันเป็เพียงแค่สาวใช้ในบ้าน ฉันเป็ผลผลิตของความเมาของพ่อ แม่ถูกไล่ออกจากตระกูลเฝิงหลังจากคลอดฉัน ฉันไม่รู้แม้แต่ชื่อแม่ ไม่รู้ว่าแม่มีรูปร่างหน้าตายังไงด้วยซ้ำ
ด้วยความที่ฉันเป็ลูกนอกสมรส ดังนั้นฉันจึงไม่มีสิทธิ์ใส่หน้ากากเต็มหน้าเหมือนกับพี่น้องคนอื่นๆ ฉันใส่ได้แค่เพียงครึ่งหน้า ในตระกูลเฝิงนั้น ในฐานะลูกนอกสมรส โตขึ้นก็ต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นๆ
โชคช่วยที่ฉันหัวดี ตอนสามขวบก็ท่อง ‘คัมภีร์ตรีอักษร’ ได้แล้ว พอห้าขวบก็ท่อง ‘ปกิณกคดี’ ได้อีก พ่อชอบฉันมาก และยิ่งเอ็นดูฉันมากขึ้น ในขณะที่พี่น้องคนอื่นๆ แกล้งทุบตีฉัน พ่อก็มักจะคอยให้ความช่วยเหลือ
แม้ว่านั่นจะทำให้ฉันรอดพ้นจากการถูกการลอบทำร้ายจนถึงตาย แต่มันก็ทำให้พี่น้องเ่าั้เกลียดฉันมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้คุณป้าทั้ง 8 ของพ่อก็อยากให้ลูกชายของตัวเองได้เป็หัวหน้าของตระกูล พวกคุณป้าจึงเห็นฉันเป็เหมือนเสี้ยนหนาม
ดังนั้นจึงมอบหมายงานให้ฉันมากมาย แค่เพียงเกิดความผิดพลาดขึ้น ฉันก็จะได้...” เฝิงเฉวียนยกนิ้วโป้งขึ้นทำท่าปาดไปที่ลำคอ
“ชีวิตนายช่างยากลำบาก สาหัสขนาดนี้ ทำไมไม่รีบตายแล้วไปเกิดใหม่ซะล่ะ?” เสิ่นิพูดจาดีๆ ไม่เป็
“ทำไมล่ะ? กว่าจะได้เกิดเป็คนสักครั้งนั้นแสนยากเย็น ชีวิตอาจจะทุกข์ทนไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลยนะ? ฉันอยากรู้ว่าด้วยสติปัญญาและความสามารถของฉันเอง จะทำให้ผ่านเกมชีวิตนี้ไปได้หรือไม่?” เฝิงเฉวียนทำปากจู๋ก่อนจะแสยะยิ้ม “จะว่าไป ขนาดคุณผู้ชายที่กินหญ้าเป็อาหารก็ยังมีชีวิตรอดและแข็งแรงดีอยู่ได้ ทำไมฉันถึงจะต้องตายด้วยล่ะ?”
“จะว่าไปมันก็จริง...มาพูดถึงลูกน้องผีของนายดีกว่า ทำไมถึงได้ตายไปล่ะ?” บทสนทนาอันแสนขมขื่นจบลงไปแล้ว ต่อไปคือการวิเคราะห์ภารกิจ
เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน เฝิงเฉวียนได้รับคำสั่งให้พาจตุปีศาจแห่งพสุธาไปยังสถานที่ที่เรียกว่าหมู่บ้านเบเลอร์ หัวหน้าหมู่บ้านมีนามว่าอ้ายซินเจียหลัวซื่อ เจิ้นถิง ซึ่งบรรพบุรุษเป็ญาติของจักรพรรดิในราชวงศ์ชิง สนิทสนมกับตระกูลของตาเฒ่าเฝิงเป็อย่างมาก ตัวเขาเองก็ยังเป็เพื่อนกับพ่อของเฝิงเฉวียนด้วย พูดถึงความาุโของเฝิงเฉวียน เขาสมควรเรียกเขาว่าคุณลุง
คุณลุงท่านนี้บอกว่ามีคน้าฆ่าเขา จึงเชิญตระกูลเฝิงให้มาช่วยเหลือ
ตอนที่เฝิงเฉวียนมาถึงหมู่บ้านชนบทนี้เป็ครั้งแรก เด็กหนุ่มก็ยังสงสัยว่า มันช่างเป็สถานที่อันเรียบง่ายสำหรับคนทั่วไป คุณลุงได้รับความเคารพมากที่นี่ ใครกันที่เดือดร้อนเพราะชายชราคนนี้? เขาคิดว่าน่าจะเป็ชายชราเองต่างหากที่น่าสงสัย คุณลุงอาจจะแค่อยากหาคนไว้คุยด้วยเท่านั้น
แต่พอวันรุ่งขึ้น พวกเขาก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ชายชราถูกลอบยิงในขณะที่กำลังปลูกดอกไม้อยู่ในสวน โชคดีที่ลมแรง ะุทำให้กระเบื้องที่ข้างเท้าของคุณลุงแตกกระจาย
เฝิงเฉวียนจึงเริ่มจริงจัง เขาสั่งให้พรายและห่าออกสำรวจูเาและป่าโดยรอบหมู่บ้านเบเลอร์ หลังจากตรวจค้นอยู่สามวันสามคืน พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่พบเงาของสไนเปอร์ แต่ห่าติดกับดักของมือปืนและตายอย่างอนาถอยู่ท่ามกลางหุบเขา ในขณะที่พรายนำร่างของห่ากลับมายังหมู่บ้านของคุณลุง เขาก็ถูกเป่าหัวจนะเิ ต่อหน้าคุณลุงและเฝิงเฉวียน มันไม่ใช่คำเปรียบเทียบที่เกินจริง แต่มันเป็คำอธิบายที่เที่ยงแท้
และเช่นนั้นเอง เฝิงเฉวียนถึงได้รู้ว่า สไนเปอร์...เป็หายนะของตระกูลเฝิง คนโบราณว่าไว้ว่า “เป็กังฟู ไหนจะสู้มีดทำครัว” ในตระกูลเฝิง ั้แ่หัวหน้าไปจนถึงคุณป้ากวาดพื้น พวกเขาต้องฝึกฝนวิธีการฆ่าคนแบบโบราณั้แ่เด็ก แขนเหล็กทั้งคู่สามารถหยุดรถได้ ขาเหล็กทั้งสองข้างสามารถบดหินได้ เชี่ยวชาญในกลุ่มอาวุธทั้งสิบแปดชนิด แต่มันเป็ไปไม่ได้ที่จะโจมตีจากระยะไกลดังเช่นสไนเปอร์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสไนเปอร์ระดับพระกาฬอย่างเช่นผู้ก่อการนี้ ระยะซุ่มยิงมากกว่า 1.5 กิโลเมตร ต่อให้บินข้ามกำแพงได้ แต่เมื่อตามไปถึง มือปืนก็เผ่นหนีไปแล้ว
เฝิงเฉวียนหมดสิ้นหนทาง หากรายงานต่อตระกูลตามความเป็จริง เขาก็จะโดนข้อหาไร้ความสามารถ ครั้งหน้าก็อย่าได้คิดที่จะออกโรง หากภารกิจล้มเหลว...เหอๆ คงทำได้แค่เพียงกลับชาติมาเกิดและเล่นเกมแห่งชีวิตอีกครั้ง
เขาถูกความเป็จริงบีบบังคับให้อับจนหนทาง เขาจึงได้แต่มาขอความช่วยเหลือจากเสิ่นิ เฝิงเฉวียนไม่รู้จักปรมาจารย์คนอื่นที่พอจะพึ่งพาได้ เขาแค่ชื่นชมที่เสิ่นิฝีมือไม่เลว ราคาก็...เอาล่ะ เอาเปรียบกันนิดหน่อย
บนโลกใบนี้ คนที่จะสามารถจัดการกับพลซุ่มยิงในป่าได้ นอกจากขีปนาวุธที่แม่นยำแล้ว ก็คงมีแต่สไนเปอร์ด้วยกันเท่านั้น...
“นายรู้ไหม? ฉันเคยฆ่าสไนเปอร์หลายคนรอบตัวเป้าหมายมาก่อน ตอนนั้นฉันคิดว่าพวกเขาโง่มาก เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่อันตรายเพื่อเงิน…” เสิ่นิเอนหลังพิงเก้าอี้แข็งและหัวเราะเบาๆ “ลมเปลี่ยนทิศ ตอนนี้ฉันกลายมาเป็คนโง่ซะเอง”
“โง่เหรอ? นายไม่เพียงแต่จะทำเงินได้มากกว่าหนึ่งล้าน แล้วยังได้ฉันเป็เพื่อนอีกหนึ่งคน วันหนึ่ง นายจะรู้ว่าสิ่งที่นายเลือกนั้นถูกต้องแล้ว” เฝิงเฉวียนช่างมั่นใจในตัวเอง
“เหอๆ รอไว้ฉันรอดถึงตอนนั้นก่อนค่อยมาพูดกัน...” เสิ่นิหลับตาลง
การเดินทาง 8 ชั่วโมง กลิ่นปลาเค็มค่อยๆ เลือนหายไป ่บ่าย ภายใต้การนำของเฝิงเฉวียน เสิ่นิและเซี่ยวอี๋ได้ลงจากรถไฟที่สถานีเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งไม่สามารถระบุชื่อสถานีได้
จากนั้นทั้งสามก็นั่งรถบัสต่อไปเป็เวลาหนึ่งชั่วโมง ก่อนจะขับรถแทรกเตอร์ไปอีก 2 ชั่วโมง จากนั้นก็นั่งเกวียนวัวอีกหนึ่งชั่วโมง จนในที่สุดก็เห็นป้ายถนนทางเข้าหมู่บ้านเบเลอร์
ในเวลานี้ ดวงอาทิตย์ได้กลับลับหุบเขาไปแล้ว เวลา 19:00 น. บ้านเมืองมืดมิดสนิทเสียจนต้องอาศัยแสงจากดวงดาวคอยนำทาง
เซี่ยวอี๋นั่งรถมานานเกินไป หญิงสาวคิดว่าก้นน้อยๆ ของเธอกำลังจะแบ่งออกเป็สี่ซีก ทางสุดท้ายที่จะเข้าหมู่บ้านไปได้คือการเดินเท่านั้น เป็การดีที่จะได้ขยับเขยื้อนกล้ามเนื้อและกระดูกเสียบ้าง
นี่นับเป็ครั้งแรกที่เซี่ยวอี๋ได้มาเยือนภูมิประเทศที่เป็ชนบทเช่นนี้ มันห้อมล้อมไปด้วยูเาสูงตั้งตระหง่านราวกับป่าอันบริสุทธิ์ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นแสงไฟจากถนน แต่อากาศนั้นดีจนน่าทึ่ง ได้กลิ่นของหญ้าและน้ำค้างในทุกลมหายใจ เหมือนกับการได้ฟอกปอด
ไม่มีเสียงคำรามของรถ ได้ยินแต่เพียงเสียงแมลง ไม่มีอาคารสูงรอบเมือง มีเพียงป่าทึบ ได้กลิ่นของการมีชีวิตโดยที่ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับโลก
“คาดไม่ถึงว่าถนนในที่ห่างไกลเช่นนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก มันแตกต่างจากที่เห็นในทีวีโดยสิ้นเชิง!” เซี่ยวอี๋แบกเป้ขึ้นหลังและเดินไปบนถนนยางมะตอยเรียบ 4 เลน อารมณ์เหมือนกับกำลังจะออกไปเที่ยวนอกบ้าน
“คนในหมู่บ้านเบเลอร์ออกค่าใช้จ่ายซ่อมแซมถนนเหล่านี้เองทั้งหมด แม้ว่าสิบไมล์แปดเมืองโดยรอบจะเป็มณฑลที่ยากจน แต่หมู่บ้านเบเลอร์กลับไม่มีคนยากจน เป็หมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์ราวกับสรวง์
ชาวบ้านผู้อยู่อาศัยล้วนเป็ชาวพื้นเมือง ไม่ชอบให้คนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว พวกเขาจึงสร้างถนนจนสวยงาม แต่ไม่ซ่อมไฟถนน เพราะเกรงว่าคนขับรถหรือนักเดินทางที่ผ่านมาเห็นเข้าแล้วจะเข้ามารบกวน” เฝิงเฉวียนไพล่มือไว้ด้านหลังศีรษะและย่างเท้าไปข้างหน้า
“แล้วพวกเขาทำมาหากินอะไร?” เสิ่นิถามด้วยความสงสัย
“ขายของเก่า ลืมไปแล้วเหรอ ที่ฉันบอกว่าคุณลุงเป็ญาติกับจักรพรรดิมาก่อน ก่อนราชวงศ์ชิงจะล่มสลายตำนานเล่าว่าบรรพบุรุษของพวกเขาได้นำผู้ติดตามและสมบัติจำนวนมากมายังสถานที่แห่งนี้และสร้างหมู่บ้านนี้ขึ้น หลังาโลกครั้งที่สอง โลกเปลี่ยนแปลงกระทั่งจนทุกวันนี้ หมู่บ้านมีจำนวน 500 ครัวเรือน ทั้งหมดล้วนเป็ลูกหลานของผู้ติดตามของจักรพรรดิในเวลานั้น
ลูกหลานของพวกเขาเกิดที่นี่ ตายที่นี่ ในอดีตหากใครทิ้งหมู่บ้านไปก็จะถูกตัดขาด แม้แต่พ่อแม่ก็ตัดลูกได้
อย่างไรก็ตามสถานการณ์นี้ดีขึ้นมาก หลังจากการปฏิรูปและเปิดกว้าง อย่างน้อยเด็กๆ ก็ได้รับอนุญาตให้ออกไปเรียนหนังสือ แต่จะต้องกลับมาที่หมู่บ้านหลังเรียนจบ มิฉะนั้นจะถูกตัดขาด” เฝิงเฉวียนอธิบาย
“หลังจากที่ได้ไปเห็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันภายนอก ยังมีคนยอมกลับมาที่ชนบทแห่งนี้อีกหรือ?” เซี่ยวอี๋แสดงความสงสัย
“ทำไมจะไม่อยากกลับมาล่ะ? ตราบใดที่ยังอยู่ในหมู่บ้านเบเลอร์ ทุกปี แม้ว่าจะไม่ได้ทำงานอะไรเลย ก็จะได้รับเงินปันผลเป็รายหัว หารายได้ได้มากกว่าการทำงานหนักข้างนอกเสียอีก ตายก็มีสุสานฝังฟรี ป่วยก็ได้รับการรักษาพยาบาลแบบเต็มรูปแบบ โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ของ Apple ก็มีแจกฟรีตลอด ทุกปีใหม่และวันหยุด ทุกครัวเรือนจะได้รับแจกทองคำแท่ง ไม่ต้องจ่ายเงินสำหรับโต๊ะจีนซึ่งก็กินได้จนกว่าจะอาเจียน” เฝิงเฉวียนอธิบายไป
“ดูเหมือนจะเป็สถานที่อันวิเศษ” พอข้ามหัวมุมถนนไปสายหนึ่ง ในที่สุดเสิ่นิก็ได้เห็นหมู่บ้านเบเลอร์ในตำนาน หมู่บ้านซึ่งอยู่ที่ด้านล่างของหุบเขา เต็มไปด้วยบ้านพักขนาดเล็กสไตล์จีนและยุโรปทุกประเภท แสงไฟสลัวๆ มีรถยนต์ยี่ห้อดังต่างๆ จอดอยู่ในโรงรถ ถ้าไม่รู้คงคิดว่าเพิ่งมาถึงรีสอร์ตหรูที่พัฒนาขึ้นมาอย่างชาญฉลาดโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์...