เจียงเฉิงเยว่เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ จากนั้นความประหลาดใจกลับกลายเป็ความประหลาดใจอย่างยินดี เขารีบยื่นมือไปบนฝ่ามือขาวของคนผู้นั้น เหยียบบนโกลนม้าแล้วออกแรงเล็กน้อย คนผู้นั้นช่างเผด็จการ เขาคิดขึ้นหลังม้าอย่างเต็มใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงไปทั้งร่างคือ...ท่าทางการนั่งบนหลังม้าของอีกฝ่าย หลังจากที่เจียงเฉิงเยว่เตรียมจะยืดเท้าหมุนตัวขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหลังของคนผู้นั้นอย่างสง่างาม กลับถูกชายหนุ่มผู้นั้นออกแรง เปลี่ยนให้มานั่งด้านหน้าอานอย่างงุนงง...
นี่มัน...
เจียงเฉิงเยว่จ้องมองอย่างเหม่อลอย ร่างแข็งทื่อเป็ท่อนไม้ในทันที ชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนจะไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ โอบรอบตัวเขาเพื่อคว้าบังเหียนอย่างไม่สนใจสิ่งใด ยามนี้หากเขาหันหน้าเพียงเล็กน้อย ปลายจมูกสามารถชนกับปลายจมูกอีกฝ่ายได้เชียวนะ?! นี่มันท่าทางอะไรกัน?!
เมื่อเห็นว่าเขานั่งลงเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มผู้นั้นจึงควบม้าไปข้างหน้าอีกครั้งอย่างไม่เร่งรีบ ไม่ได้มองเจียงเฉิงเยว่อีกต่อไป เอาแต่มองทางอย่างตั้งใจ มีเพียงบางครั้งที่ออกคำสั่งกับม้า...
ไม่รู้ว่าเหตุใดเจียงเฉิงเยว่ที่เหม่อลอย ในใจพลันรู้สึกแปลก ราวกับรับรู้โดยสัญชาตญาณว่า...อันตราย
ก่อนที่เจียงเฉิงเยว่จะคิดอย่างละเอียด ชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนสนใจที่จะคุยกับเขา เริ่มเปิดปากถาม “นักพรตมาจากยอดเขาตอนเหนือก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?”
“อา...เอ่อ อืม ถูกต้อง” เจียงเฉิงเยว่ตอบอีกฝ่ายไปอย่างไม่ทันคิด ความรู้สึกผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ในหัวใจ
ชายหนุ่มผู้นั้นถามอีกครั้ง “นักพรตไปที่ยอดเขาทางเหนือบนเขาฉีหวน สถานที่ไปคืออารามเต๋าแห่งใดหรือ? จากที่นี่นอกจากสำนักชิงเฟิงแล้ว ดูเหมือนว่ามีเพียงวิหารหลิงเซียวซึ่งเป็อารามเต๋าของราชวงศ์กระมัง?”
“อืม” เจียงเฉิงเยว่ตอบเขาอย่างสบายๆ อีกครั้ง เขายังคงพิจารณาอยู่ว่าตรงไหนที่ทำให้ตนเองรู้สึกแปลกๆ หลังจากนั้นเป็เวลานานจึงรู้ตัวว่าหลังจากชายหนุ่มผู้นั้นพูดประโยคดังกล่าวจบ เขาไม่ได้เปิดปากพูดอะไรอีกเลย อีกทั้งบรรยากาศในยามนี้ยังตึงเครียดมากขึ้น ผสานกับความรู้สึกอันตรายของฝนห่าใหญ่ที่กำลังจะถาโถมลงมา
ขณะที่ฉิงชางจวินกำลังจะเงยหน้าขึ้น ทั้งร่างแข็งทื่อในทันใด
วิหารหลิงเซียว?!
สิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งกล่าวถึงคือวิหารหลิงเซียว?!! ไม่ใช่...ศาลบรรพชนเจาอู่?!
เจียงเฉิงเยว่ใช้การเคลื่อนไหวที่ช้ามากเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้น ในที่สุดก็รู้ว่าผิดปกติที่ตรงไหน ขณะเดียวกันรูม่านตาของเขาหดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะเนื่องจากความตื่นตระหนก
ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มบาง เอ่ยอย่างเฉยชา “ผ่านไปหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดปี เสด็จพี่...จำข้าไม่ได้แล้วหรือ? ช่างน่าเศร้าใจจริงเชียว” ริมฝีปากของอีกฝ่ายยังคงโค้งงอ ความเ็าและความโกรธแค้นยังคงประกอบอยู่ในดวงตาราวกับทะเลที่สาดซัดเป็วงกว้างอย่างล้ำลึกจนคาดเดาได้ยาก
หนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดปี...
ชายหนุ่มอายุสิบสี่ปีในขณะนั้น ยังโตไม่เต็มที่ ยังคงมีความไร้เดียงสา แก้มอิ่มเอิบสมวัย ยามนี้ใบหน้ากลับคมเข้ม รูปร่างสง่างามและแข็งแรง ไม่เหมือนการแต่งกายเฉกเช่นนักพรตที่เรียบง่ายของเขาในก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงถูกทำให้เข้าใจผิดว่าเป็คุณชายร่ำรวยและสูงส่งอย่างสมบูรณ์
พลันมีเสียงคำรามในหูกับหัวใจที่เต้นรัวราวกับกลอง หลังจากตื่นตระหนกไปชั่วขณะ เจียงเฉิงเยว่กลับสั่นสะท้านขึ้นมา เมื่อตระหนักได้ว่ากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่อันตรายเป็อย่างยิ่ง ร่างกายจึงตอบสนองแทนที่จะเป็สมอง ขาที่งอเหยียดตรงโดยพลัน เขายืดตัวขึ้นแล้วไถลลงจากหลังม้า ก่อนที่จะลงสู่พื้น โม่หลงมาอยู่ใต้ฝ่าเท้าแล้ว เริ่มยกเขาบินออกไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
แดนมายาที่สร้างอยู่ด้านหลังหลี่อวิ๋นหังนั้นแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง เมื่อเห็นว่าเจียงเฉิงเยว่เหินดาบออกไปได้ไกลเพียงไหน เขากลับเย้ยหยัน จากนั้นสายฟ้าสีเงินจึงสว่างวาบจากข้างกาย ไล่ตามคนผู้นั้นราวกับสายฟ้าแลบ
ฉิงชางจวินรู้สึกเพียงว่าข้อเท้านั้นเย็นเยียบ ความเย็นะเืแผ่ไปทั่วร่างราวกับมีอสรพิษมาพัวพัน “อื้อ!” เขายังไม่ทันพูดอะไรสักคำ กลับถูกความเย็นะเืผูกมัดไว้อย่างแ่า แม้แต่ริมฝีปากและชีพจริญญายังถูกปิดผนึก โม่หลงตกลงบนพื้นพร้อมกับเสียง เนื่องจากพลังิญญาของผู้เป็เ้าของถูกผนึกจึงกลายเป็ดาบเหล็กไร้เ้าของ นอนอยู่ในพงหญ้าและไม่อาจเคลื่อนไหว
โชคชะตาแปรเปลี่ยน สองสามชั่วยามก่อนฉิงชางจวินยังมัดผู้อื่นอย่างสง่าผ่าเผย ทว่ายามนี้ผู้ที่กลายกลายเป็หนอนผีเสื้อคือตนเอง เขาหวาดผวาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หลี่อวิ๋นหังยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่เคลื่อนไหว ผ่านไปนานจึงงอปลายนิ้วเบาๆ เจียงเฉิงเยว่ที่กลับหัวกลับหางเหมือนค้างคาวด้วยเชือกสีเงินลอยมาหาเขาอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
“อื้อ อื้อ...” ฉิงชางจวินดิ้นรนสุดกำลังอย่างไร้ประโยชน์
ดวงตาของเขาที่กลับหัวกลับหางสบกับหลี่อวิ๋นหัง หัวใจของเจียงเฉิงเยว่ปั่นป่วนราวกับคลื่นที่โหมซัด ไม่มีอะไรที่เขาทำได้ ณ ตอนนี้
จะทำอย่างไรดี? จะทำอย่างไรดี?
หากอธิบายจะมีประโยชน์หรือไม่? จะสามารถอธิบายได้หรือไม่กัน? อาหังจะเชื่อเขาอย่างนั้นหรือ?
ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจร่างเสด็จพี่ของเ้า เื่ที่เกิดขึ้นมีปัจจัยหลายอย่าง ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหลอกเ้า...นับว่าเป็การจับพลัดจับผลูแล้วกัน...เป็ต้น หากหลี่อวิ๋นหังรู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำตัวเป็ญาติสนิท...ทว่าความเป็จริงแล้วหลอกลวงอีกฝ่ายั้แ่ต้นจนจบจะโกรธแค้นยิ่งขึ้นหรือไม่? อีกทั้ง...่เวลานั้นดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีความรู้สึกที่ไม่ธรรมดาต่อเสด็จพี่ของตนเอง เช่นนั้นจะนับเป็อะไรได้ อันที่จริงแล้วแม้ว่าฉิงชางจวินจะไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับหลอกลวงความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่จริง!!!
หลี่อวิ๋นหังเห็นใบหน้าของเขามีเหงื่อไหล ใบหน้าขึ้นสีแดง มีท่าทางพูดไม่ออก จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยแววตาเ็า
เขาสบตากับอีกฝ่ายอย่างเงียบงันครู่หนึ่งก่อนยื่นมือออกไปเพื่อวาดเคล็ดวิชาในอากาศ รัศมีสีแดงเพลิงปรากฏขึ้นในอากาศด้วยปลายนิ้ว ถูกเขียนเป็ยันต์ขึ้นมา แม้ว่าเจียงเฉิงเยว่จะถูกห้อยศีรษะลง แต่เขายังคงหวาดผวา ดวงตาเบิกกว้าง เริ่มดิ้นรนอย่างรุนแรงมากขึ้น
นั่นคือยันต์สะท้านิญญา ใช้สำหรับสถานการณ์ที่ถูกภูตผีร่างกายโดยเฉพาะ หลี่อวิ๋นหังวาดของระดับสูงเช่นนี้ได้อย่างไรไม่จำเป็ต้องกล่าวถึง แต่จุดประสงค์คือเพื่อขับไล่ิญญาของเขาออกไปจากร่างเสด็จพี่ตนเอง
เขาค้นพบแล้ว! รู้แล้วว่าเสด็จพี่ของตนถูกร่าง!!! เขาจะเอาิญญาของข้าออกไป เขาจะแยกิญญาของข้าออกมา!!!
หลี่อวิ๋นหังไม่สนใจการดิ้นรนของตน เขาฟาดยันต์สะท้านิญญานั้นอย่างเด็ดเดี่ยวบนิญญาของเจียงเฉิงเยว่ด้วยฝ่ามือ
แสงรัศมีในฝ่ามือของอีกฝ่ายส่องสว่าง แรงกดดันิญญาที่แข็งแกร่งพร้อมครอบงำที่ปล่อยออกมาจากยันต์สะท้านิญญา้าจะผลักิญญาของเขาออกไป ทันใดนั้น เจียงเฉิงเยว่รู้สึกราวกับถูกปากคีบไฟและเตาเหล็กแผดเผา ครู่ต่อมา ร่างของเขากลับปรากฏเงาดำขึ้นเจ็ดแห่ง แขนขาทั้งสี่ หน้าผาก หัวใจและลำคอ ิญญาของเขาที่ถูกขังอยู่ในร่างนี้อย่างแ่า ทั่วร่างกายพลันสั่นสะท้าน ต้องส่งเสียงครวญครางด้วยความเ็ปจากลําคอ ฟังดูน่าสยดสยองเป็อย่างยิ่ง ความเ็ปของิญญาที่ดูเหมือนจะฉีกขาดในทันทีทำให้เจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่จะปล่อยเสียงกรีดร้องที่เสียดแทงหัวใจออกมา
“โอ๊ย! โอ๊ย!”
เมื่อตระหนักว่าได้พบกับอุปสรรค พลังิญญาที่ดึงจากยันต์สะท้านิญญาระดับสูงที่หลี่อวิ๋นหังวาดกลับแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เริ่มกดขี่ผู้คน เจียงเฉิงเยว่รู้สึกเพียงว่าิญญาของตนถูกฉีกออกจากร่างกายด้วยพลังอันทรงพลังนี้ ผนึกทั้งเจ็ดแห่งที่ตี้จวินสร้างไว้นั้นเหมือนกับลวดเหล็กที่อันตรายถึงชีวิต ยามนี้้าจะแยกชิ้นส่วนิญญาของเขาออกเป็หลายส่วน
เขาเร้นกายจากโลกบ่มเพาะอยู่ร้อยกว่าปีเพื่อบ่มเพาะสามจิตเจ็ดิญญาอย่างยากลำบาก ยามที่ออกจากูเากลับต้องถูกทำลาย ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือไม่คาดคิดว่าต้องถูกทำลายด้วยน้ำมือของหลี่อวิ๋นหัง!
์ นี่มันช่าง...เขาต้องไปขอความยุติธรรมกับใครหรือ?!!
ความเ็ปอย่างรุนแรงทำให้ร่างที่ฉิงชางจวินอาศัยอยู่ตอนนี้ไม่สามารถทนได้ เหงื่อเย็นในร่างกายไหลราวกับน้ำตก เขาน้ำตานองหน้า อับจนหนทางอย่างยิ่ง
หลี่อวิ๋นหังตกตะลึง จากนั้นเก็บมือในทันใด รูม่านตาหดตัวพลางขมวดคิ้ว “เ้า...”
ิญญาของเจียงเฉิงเยว่กลับมาที่เดิม ทว่าการดึงิญญาเมื่อครู่ทำให้ดวงิญญาของเขาไม่มั่นคง เืลมไหลย้อนกลับ เขามองขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า เพราะน้ำตาที่ส่องแสงเจิดจ้าจากความเ็ปรุนแรงทำให้หลี่อวิ๋นหังนิ่งค้างไป
อีกฝ่ายเงียบไปนาน ใบหน้ามืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ในดวงตาซับซ้อนและอ่านได้ยาก เป็ระยะเวลานาน เขากลับถามอย่างเ็า “เกิดอะไรขึ้นกับตราประทับิญญาบนร่างกายของเ้า?”
ฉิงชางจวินรู้สึกว่าตนเองอยู่ระหว่างชายขอบของการสลบไสล นอกจากนี้ทั่วทั้งร่างของเขาถูกมัด แม้แต่ริมฝีปากยังถูกผนึก เขาจะตอบได้อย่างไร?
หลี่อวิ๋นหังดูเหมือนจะรู้เื่นี้เช่นกัน เขาเกี่ยวปลายนิ้วเบาๆ ให้อาวุธวิเศษแข็งแกร่งที่มัดเจียงเฉิงเยว่ไว้คลายลงเล็กน้อยตามปรารถนาของผู้เป็เ้าของ ในที่สุดเจียงเฉิงเยว่ก็สามารถเปิดปากพูดได้ ถึงอย่างนั้น เขาในตอนนี้นอกจากหอบหายใจอย่างเ็ปแล้วย่อมพูดอะไรไม่ออก
หลี่อวิ๋นหังถามอีกครั้งอย่างหมดความอดทน น้ำเสียงเพิ่มความเ็า ราวกับรีบร้อน ช่างดูอันตรายอย่างยิ่ง “ใครเป็ผู้สร้างผนึกประทับิญญาบนร่างกายของเ้า? พูดมา!”
“ช่วย...” ฉิงชางจวินขยับริมฝีปาก เขาพ่นคำพยางค์เดียวที่ไม่ชัดเจนออกมา
หลี่อวิ๋นหังไม่เข้าใจจึงเข้าไปใกล้ริมฝีปากนั้นเล็กน้อย
“ช่วยข้าด้วย…หลิวเฟิง”
ครั้งนี้ ในที่สุดเขาได้ยินอย่างชัดเจน
ยังไม่ทันพูดจบ แสงรัศมีราวสายฟ้าฟาดตอบสนองต่อเสียง มุ่งตรงไปยังเชือกสีเงินที่มัดเจียงเฉิงเยว่ไว้อย่างครอบงำ แรงกดดันิญญาทำให้หลี่อวิ๋นหังที่อยู่ข้างกายสั่นสะท้านจนถอยกลับไปครึ่งก้าวอย่างไม่ยินยอม อาวุธวิเศษสีเงินถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว หลังจากที่ส่งเสียงออกมาอย่างคมชัดก็รีบหดกลับอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องตนเอง ภายหลังนั้นเจียงเฉิงเยว่ถูกปลดปล่อย ร่างของเขาล้มลงกับพื้น ่เวลาเดียวกับที่เงาร่างสีขาวสว่างวาบ คว้าเอวของเขาอย่างง่ายดายและพาเขาบินไปไกล
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนยังไม่ทันบินออกไปได้ไกลหลายจั้ง1 เสียงร้องของนกหลวนกลับดังขึ้น แสงดาบจากดาบที่เอวของหลี่อวิ๋นหังเล่มนั้นตามมาติด หลังจากกลายเป็แสงรัศมีกวาดเหนือศีรษะของคนทั้งสอง ต่อมากลายเป็นกั์ต่อหน้าพวกเขาเพื่อขวางทางหลบหนี
หลังจากหลิวเฟิงเห็นว่าไม่สามารถหลบหนีได้จึงหยุดยืนนิ่ง ทันใดนั้นเขาวางอาวุธวิเศษแล้วะโเสียงดัง “ช้าก่อน!”
ขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับเสียงร้องของนกหลวนที่โกรธจัด ไป๋หลวนหดตัวกลับเป็ดาบโดยพลัน ปลายดาบหันเข้าหาปลายจมูกของหลิวเฟิง
หลิวเฟิงมองไป๋หลวนที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นด้ามดาบหยกขาว คมดาบสีเงินส่องประกายด้วยแสงเย็นเยียบ เขาเช็ดเหงื่อเย็นออกจากขมับ ระบายยิ้มแล้วหมุนตัวหันกลับมามองหลี่อวิ๋นหังที่อยู่ห่างไกล ยกยิ้มสู้อีกครา “เสวียนเหยาซ่างเซียน...มีบางคำที่ข้าอยากจะเอ่ย”
หลี่อวิ๋นหังมีสีหน้าไร้อารมณ์ ไป๋หลวนร้องเบาๆ แล้วบินกลับไปบนฝ่ามือ จากนั้นด้ามหยกกลายเป็แหวนหยกขาววงหนึ่งสวมไว้บนนิ้วชี้ข้างขวา คมดาบเก็บซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ หลี่อวิ๋นหังจ้องมองอีกฝ่ายอย่างนิ่งเงียบ นิ้วหัวแม่มือข้างขวาถูเบาๆ บนแหวนหยกขาววงนั้นที่นิ้วชี้ คาดไม่ถึงว่าแหวนวงนั้นจะส่งเสียง ‘คำราม’ ในลำคอคล้ายเสียงนก ราวกับว่าพึงพอใจเป็อย่างยิ่งกับความรักและคำชมของเ้านาย
หลิวเฟิงกลืนน้ำลายอย่างเคร่งเครียดเล็กน้อย
หลี่อวิ๋นหังรออย่างเฉื่อยชา ใบหน้ามืดมน ตึงเครียดไปทั่วทั้งร่าง ราวกับว่าเขาไม่พอใจและพร้อมโจมตีอีกครา
เจียงเฉิงเยว่วางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของหลิวเฟิง เอวถูกอีกฝ่ายเขาโอบเอาไว้ น้ำหนักทั้งร่างเกือบจะพิงอยู่บนร่างนั้น ร่างกายอ่อนปวกเปียก แต่เขายังคงกัดฟันและไม่ยอมที่จะสลบไป
หลังหยุดไปชั่วคราว ในที่สุดหลิวเฟิงก็จัดการความคิดของตนเอง เปลี่ยนท่าทางถ่อมตัวก่อนหน้านี้ที่มีต่อหลี่อวิ๋นหัง จากนั้นยืดอกแล้วตำหนิด้วยความโกรธอย่างชอบธรรม “เสวียนเหยาซ่างเซียน...แม้ว่าฉิงชางจวินจะเป็ผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ที่สุดเื้ัคดีคำสาปชั่วร้ายของโซ่วหลิง เป็เื่จริงที่ท่านได้รับคําสั่งให้ลงมาสืบสวนคดีนี้ จริงอยู่ที่หลักฐานทั้งหมดนั้นไม่เป็ผลดีกับฉิงชางจวิน...แต่ แม้แต่ขุนนางในโลกมนุษย์เมื่อ้าจับกุมกับลงโทษยังต้องให้ความสนใจกับกระบวนการมิใช่หรือ? รอจนกว่าจะสรุปหลักฐานการกระทำความผิดได้ จนกระทั่งผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ หลังจากตัดสินโทษถึงส่งไปลานปะาเพื่อสำเร็จโทษ ขณะนี้คดีโซ่วหลิงนั้นเต็มไปด้วยข้อสงสัย อาศัยเครื่องหมายที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงเพียงไม่กี่อันในการตัดสินความผิดของฉิงชางจวิน ไม่เป็การตัดสินโดยพลการเกินไปหน่อยหรือ? แม้ว่าท่านจะมีหลักฐานอาชญากรรมจริง ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะใช้ลงโทษเป็การส่วนตัวล่วงหน้า ไม่ทราบว่าเสวียนเหยาซ่างเซียนคิดเห็นเช่นไร?”
หลี่อวิ๋นหังขมวดคิ้ว ไร้คำพูด
เจียงเฉิงเยว่คิดจะยกเปลือกตาที่ดูเหมือนมีน้ำหนักพันจวิน2 ขึ้นอย่างยากลำบาก แต่เขาทำได้เพียงกระพือขนตาอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าเขาจะสะลึมสะลือ ถ้อยคํายาวเหยียดที่กล่าวโดยหลิวเฟิงซึ่งอยู่ข้างกายนั้นฟังดูเหมือนอยู่ใกล้และไกลราวกับไม่ใช่เื่จริง ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่พลาดข้อมูลสำคัญไป เซียนจวินที่แดน์ส่งมายังโลกมนุษย์เพื่อสืบสวนคดีโซ่วหลิง...ไม่นึกเลยว่าจะเป็อาหัง
เมื่อเห็นว่าหลี่อวิ๋นหังไม่พูดอะไร ท่าทางที่ก้าวร้าวของหลิวเฟิงจึงผ่อนคลายลง “ซ่างเซียน ข้าน้อยไม่ได้พยายามที่จะแก้ตัวความกลับกลอกของฉิงชางจวิน พูดตามความจริง ฉิงชางจวินมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง การจับเื้ัผู้กระทำผิดที่แท้จริงจึงจะสามารถพ้นข้อกล่าวหาได้ จุดประสงค์ของการเดินทางนี้ แท้จริงแล้วย่อมเหมือนกันกับซ่างเซียน”
แววตาของหลี่อวิ๋นหังจ้องไปที่ใบหน้าของหลิวเฟิงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปหาเจียงเฉิงเยว่ซึ่งอยู่ข้างกายอีกฝ่าย ซึ่งยามนี้มีใบหน้าซีดเซียว ขมวดคิ้วแน่นไม่ผ่อนคลาย เขาขยับริมฝีปากเล็กน้อยหลายครั้งราวกับอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูด
หลิวเฟิงเป็เพียงคนเดียวในขณะนี้ที่ร่ายยาวเป็ชุด เขาหยุดชั่วคราวแล้วกล่าวต่อ “เอาแบบนี้เถิด...ฉิงชางจวินได้รับาเ็ ข้าน้อยจะพาเขาลงไปรักษาก่อน หลังจากนี้สองสามวันถึงรวมตัวกับเซียนจวิน เื่ในวันนี้ไม่จำเป็ต้องให้คนนอกรับรู้ ทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้น รอให้ฉิงชางจวินฟื้นจากอาการาเ็ เมื่อถึงเวลาจะจัดการอย่างไร เราค่อยหารือกัน ไม่ว่าจะเป็พ้นข้อสงสัยหรือกักขัง เชื่อว่าเซียนจวินจะต้องสามารถจัดการได้อย่างเป็กลาง วังหลิงปี้นั้นถือครองดาบเซวียนหยวน ซ่างเซียนมีฐานะเป็เ้าของวังหลิงปี้ และยังเป็แบบอย่างของทั้งสามโลก ซ่างเซียนสืบทอดเสื้อคลุมของเ้าของวังคนก่อน สันนิษฐานว่าผลสรุปของวังหลิงปี้จะโน้มน้าวใจทั้งสามโลกได้เป็แน่ ข้าน้อยขอใช้กระดูกเซียนกับแก่นิญญาเป็หลักประกัน หากฉิงชางจวินหลบหนี เซียนจวินเพียงรายงานไปที่วังจินเยี่ยน บอกกล่าวให้เจินจวินเป็ผู้ตัดสินในการเลาะกระดูกเซียนกับแก่นิญญาของข้าน้อย พร้อมมอบให้ซ่างเซียนจัดการอย่างไม่เอ่ยคำใด เช่นนี้เป็อย่างไร?”
ถ้อยคำนี้ทั้งข่มขู่และล่อลวง ในคำพูดมีเนื้อหามากมายราวกับพยายามทุกวิถีทาง หลิวเฟิงรู้สึกเพียงว่าตนเองได้ใช้วาทศิลป์ที่ฝึกฝนมาตลอดหลายปีเพื่อต่อกรกับอีกฝ่าย เรียกได้ว่าเข้มงวดกวดขัน ดังนั้นจึงพอใจกับการแสดงของตนเองเป็อย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหลี่อวิ๋นหังไม่ได้ฟังทุกคำที่เขาพูด ยังคงเงียบไม่พูดจา ดวงตาจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าของเจียงเฉิงเยว่เท่านั้น เมื่อเห็นว่าสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายประคองร่างไว้ไม่ไหวแล้วหมดสติไป หลิวเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นจึงยกอีกฝ่ายขึ้นพลางกระชับเอวแน่นถึงจะไม่ทำให้ล้มลงไปกับพื้น เมื่อหลี่อวิ๋นหังเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้าซีดเซียวขณะก้มศีรษะ ถึงกับเผยท่าทีตื่นตระหนกและอ่อนล้าอย่างทำอะไรไม่ถูก
------------------------
[1] จั้ง หมายถึง หน่วยวัดความยาวฟุตของจีน
[2] จวิน หมายถึง หน่วยวัดน้ำหนัก 15 กิโลกรัมของจีนโบราณ