แม่เฒ่าซุนเมื่อได้ยินกู้เจิงถามถึงหลัวฉี่เก๋อก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนางพูดอย่างโมโห “ก่อนหน้านี้บ่าวได้บอกกับนายหญิงว่าเฝิงซื่อคนนี้ต้องเสนอหน้ามาขอร้องคุณหนูแน่นายหญิงกลับบอกอีกว่าเฝิงซื่อคงไม่หน้าด้านเช่นนี้ แต่ดูสิเ้าคะเป็ไปตามที่บ่าวพูดไม่มีผิด นางช่างไม่ละอายใจจริงๆ”
กู้เจิงฟังแล้วไม่เข้าใจ “แม่เฒ่าซุนโกรธขนาดนี้ หรือว่าท่านน้าเฝิงทำเื่อะไรไม่ดีหรือ?”
“ตอนเฝิงซื่อมาขอร้องคุณหนูนางไม่ได้บอกสาเหตุกับคุณหนูเลยหรือเ้าคะ?”
กู้เจิงส่ายหัว
แม่เฒ่าซุนโกรธจนหน้าแดงไปหมด “บ่าวอยู่มาจนอายุปูนนี้แล้วไม่เคยเห็นสตรีไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อนเลยเ้าค่ะ”
“แม่เฒ่าซุน ท่านน้าเฝิงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสาเหตุเกิดจากอะไร” กู้เจิงนึงถึงสีหน้าของเฝิงซื่อเมื่อเช้า
แม่เฒ่าซุนตะลึงงัน “เป็ไปได้ยังไงเ้าคะ บุตรสาวของนางทำเื่ไร้ยางอายเช่นนี้นางจะไม่รู้เลยหรือ?”
เื่นี้เกี่ยวข้องกับเหนียนหงซานหรือนี่ กู้เจิงแปลกใจ “บุตรสาวของท่านน้าเฝิงทำอะไรลงไปหรือแม่เฒ่าซุน?”
“นับแต่จวนกู้ของเรามอบเื่เสื้อผ้าให้เฝิงซื่อจากหลัวฉี่เก๋อดูแลเฝิงซื่อกับบุตรสาวของนางก็เข้าออกจวนบ่อยๆ เ้าค่ะบุตรสาวของนางกับสาวใช้คนหนึ่งในจวนเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทว่าบ่าวผู้นั้นกลับเล่าสิ่งที่ไม่ควรพูดให้บุตรสาวของเฝิงซื่อฟังหลังจากที่บุตรสาวของนางรู้ว่าคุณหนูใหญ่แต่งงานกับท่านบุตรเขยด้วยสาเหตุใด” เสียงของแม่เฒ่าซุนหยุดชะงักไป นางลอบมองสีหน้าของคุณหนูใหญ่เมื่อเห็นคุณหนูใหญ่ไม่ได้ถือสาอะไร จึงเอ่ยต่อว่า “นางถึงกับบอกว่าจะแพร่งพรายเื่นี้ออกไปเพื่อทำลายชื่อเสียงของคุณหนูใหญ่เ้าค่ะ”
กู้เจิง “...” นางเกือบลืมเื่นี้ไป
“แน่นอนว่านายหญิงไม่ยอมให้เป็เช่นนั้นเ้าค่ะนายหญิงเรียกให้สาวใช้นางนั้นเชิญบุตรสาวของเฝิงซื่อเข้าจวนมาเงียบๆ แล้วโบยบ่าวคนนั้นจนตายต่อหน้านางทั้งยังเตือนนางว่า หากพูดเื่ที่ไม่ควรพูดออกไปนางจะได้มีจุดจบไม่ต่างจากบ่าวคนนั้นเ้าค่ะ”
กู้เจิงตะลึงงันนายหญิงถึงกับโบยสาวใช้คนหนึ่งจนตายเพราะเื่ของนางหรือ?
“คุณหนูใหญ่วางใจได้เ้าค่ะ ในเมื่อนายหญิงได้ให้สัญญากับคุณหนูใหญ่ไว้แล้วย่อมไม่ปล่อยให้ใครแพร่งพรายเื่นี้ออกไปจากจวนเด็ดขาดเ้าค่ะ” แม่เฒ่าซุนเห็นกู้เจิงหน้าเผือดลงจึงคิดว่านางกำลังกังวลว่าสาวใช้จะเล่าเื่นี้ออกไป “ขออภัยที่บ่าวปากมากด้วยเ้าค่ะ วันหน้าท่านบุตรเขยจะต้องเจริญก้าวหน้าอย่างแน่นอนต่อไปคุณหนูใหญ่ต้องมีอนาคตอีกยาวไกลแต่ท่านก็ควรนึกถึงบุญคุณของนายหญิงด้วยนะเ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เฉินเห็นลูกสะใภ้ไปส่งแม่เฒ่าซุนนานแล้วยังไม่กลับเข้าบ้านสักทีเลยเดินออกมาดูเห็นนางยืนเหม่ออยู่หน้าบ้าน ทั้งที่แม่เฒ่าซุนก็กลับไปแล้ว “อาเจิง เป็อะไรไป?”
กู้เจิงได้สติกลับมา นางเอ่ยยิ้มๆ “ไม่ได้เป็อะไรเ้าค่ะ”
“อาเยี่ยนน่าจะใกล้กลับมาแล้ว เ้ารีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะวันนี้เป็ครั้งแรกที่ข้ากับสามีจะได้ไปบ้านเ้า เขาเอาชุดใหม่ที่จะใส่ในวันปีใหม่ออกมาบอกว่าจะแต่งตัวซอมซ่อให้เ้าเสียหน้าไม่ได้” นายหญิงเฉินยิ้มแย้ม
กู้เจิงมีเสื้อผ้าใหม่มากมายที่ยังไม่ได้ใส่ สำหรับนางแล้วจะใส่ชุดไหนกลับจวนกู้ก็ล้วนเหมือนกันหมดแต่พอนึกได้ว่าจะได้กลับบ้านไปเจอซู่เหนียง นางก็ดีใจมาก
เมื่อเฉินเยี่ยนกลับมาถึงบ้านและรู้ว่าบ้านฝั่งภรรยาจะจัดงานเลี้ยงเขาจึงพาครอบครัวไปส่งที่จวนกู้ก่อนและเขาจะเลยไปจวนตวนอ๋องเพื่อแจ้งบางอย่างกับท่านอ๋องสักหน่อยแล้วจึงค่อยกลับมาร่วมทานอาหารที่จวนกู้
การแต่งกายของนายหญิงเว่ยซื่อกับกู้หงหย่งวันนี้ไม่ได้งดงามสวยหรูเหมือนแต่ก่อนแม้จะเป็เนื้อผ้าที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรแต่กลับแฝงไว้ด้วยความเรียบง่ายและจริงใจเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมมาเพื่อครอบครัวตระกูลเฉินโดยเฉพาะ
“พี่ใหญ่ ข้าคิดถึงท่านจังเ้าค่ะ” พอกู้เหยาเห็นกู้เจิงก็เข้ามาลากนางไปเล่นที่เรือนเล็กทันที
เรือนเล็กของจวนกู้ยังคงสวยงามน่าอยู่ไม่ได้ดูเงียบเหงาแม้จะย่างกรายเข้าสู่่ฤดูเหมันต์
กู้เจิ้งชินกับกู้อิ๋งกำลังคุยกันอยู่ในศาลาพอเห็นกู้เจิงมาพวกเขาก็ยิ้มทักทาย
ก่อนหน้านี้ทุกคนในจวนกู้เวลาเจอนางจะแสดงละครใส่เสมอแต่การกลับมาคราวนี้ทุกคนดูแสดงออกเป็ธรรมชาติและจริงใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“พี่ใหญ่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นมาหน่อยหรือเปล่าเ้าคะ?” กู้อิ๋งยิ้มหยอกล้อ “นี่ต้องโทษพี่เขยใหญ่ใช่ไหมเ้าคะ?”
กู้เจิ้งชินยิ้มพลางพูดว่า “ถ้าเ้าโทษพี่เขยใหญ่ พี่ใหญ่ไม่ปล่อยเ้าไว้แน่”
กู้เจิงนั่งลงด้วยรอยยิ้ม สาวใช้รีบเข้ามารินชาให้นาง
“อีกครึ่งเดือน น้องสามก็จะแต่งงานกับตวนอ๋องแล้วข้าคิดว่าน้องสามคงต้องตื่นเต้นมาก ไม่คิดว่าวันนี้จะมีอารมณ์มาหยอกล้อข้าอีก” บรรยากาศในยามนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อพูดถึงการแต่งงาน ใบหน้าของกู้อิ๋งก็แดงระเรื่อขึ้นมา
กู้เหยาเอ่ยเสียงฉอเลาะ “พี่ใหญ่กล่าวผิดแล้ว คนที่ตื่นเต้นไม่ใช่พี่สาม แต่เป็พี่รองต่างหากใช่ไหมเ้าคะพี่รอง?”
“เหตุใดถึงวกกลับมาพูดเื่ข้าได้เล่า?” กู้เจิ้งชินถลึงตาใส่กู้เหยา
กู้เหยาทำหน้าเ้าเล่ห์พร้อมกับหัวเราะเสียงต่ำ “พรุ่งนี้ท่านพ่อจะนำของกำนัลไปสู่ขอคุณหนูตระกูลหนิงท่านตื่นเต้นจนนอนไม่หลับั้แ่สองวันก่อนแล้ว”
กู้เจิงหันไปมองน้องรอง นางรู้สึกสนใจขึ้นมา “พูดเช่นนี้ แสดงว่าข่าวดีของน้องรองก็ใกล้เข้ามาแล้วสินะ?”
กู้เจิ้งชินหน้าแดงในทันที แต่เขาไม่ได้ปฏิเสธอะไร
กู้อิ๋งกับกู้เหยาเม้มปากกลั้นหัวเราะ
ในความทรงจำของกู้เจิงพวกนางสี่คนพี่น้องไม่เคยได้นั่งพูดคุยหัวเราะกันด้วยรอยยิ้มแบบนี้มาก่อนแม้นางอาจจะยังไม่รู้สึกว่าพวกเขาเป็ครอบครัวอย่างแท้จริง แต่กู้เจิงก็คิดว่าได้มี่เวลาอันสงบเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
หลังจากสนทนากับพวกเขาอยู่สักพักกู้เจิงก็ขอตัวไปหาซู่เหนียงที่เรือนเล็ก
ชุนหงไปหาซู่เหนียงที่เรือนเล็กก่อนแล้วนางเล่าถึงการใช้ชีวิตที่บ้านตระกูลเฉินของคุณหนูให้ซู่เหนียงฟัง
อาการาเ็ของหวังซู่เหนียงดีขึ้นมากนางไม่จำเป็ต้องนอนรักษาตัวอยู่บนเตียงอีกแล้ว
“ซู่เหนียง” กู้เจิงะโพร้อมวิ่งเข้าไปหา
หวังซู่เหนียงกางแขนกอดนาง “ลูกแม่ แม่คิดถึงเ้าเหลือเกิน”
“ข้าก็คิดถึงท่านเหมือนกันเ้าค่ะ”
“ดูสีหน้าเ้าดีขึ้นมากนะ” หวังซู่เหนียงมองสำรวจบุตรสาวั้แ่หัวจรดเท้าด้วยความดีใจเห็นกู้เจิงดูเปล่งปลั่งกว่าปกติก็รู้ว่านางใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลเฉินได้เป็อย่างดี
สองแม่ลูกนั่งพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของกันและกันอย่างคิดถึงกู้เจิงเอาแต่ถามว่า หวังซู่เหนียงทำอะไรบ้างใน่นี้หวังซู่เหนียงก็ตอบอย่างเบื่อหน่ายว่า “จะทำอะไรได้เล่า ทุกวันนี้ได้แต่กินแล้วก็นอนนอนแล้วก็กิน ไม่ก็ออกไปอาบแดด”
“ฟังแล้วเหมือนหมูยังไงไม่รู้นะเ้าคะ” กู้เจิงพูดอย่างประชด
ชุนหงถึงกับหลุดขำออกมา
“...” หวังซู่เหนียงถลึงตาใส่บุตรสาว แต่ดวงตาของนางมีแต่ความรักใคร่ “เ้าเด็กคนนี้ แม้แต่แม่ก็ยังกล้าหยอกล้อนะ”
ทั้งสามนายบ่าวต่างหัวเราะร่วน
เห็นท่าทางมีความสุขของหวังซู่เหนียงกู้เจิงก็รู้ว่านางน่าจะไม่รู้เื่ของท่านน้าเฝิงหากนางรู้เข้าคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและรีบมาบอกนางไปนานแล้ว
เฉินเยี่ยนมาถึงจวนกู้ในตอนหัวค่ำ
งานเลี้ยงครั้งนี้นายหญิงเว่ยซื่อยังคงไม่ยอมให้หวังซู่เหนียงเข้าร่วมด้วยกู้เจิงก็ไม่อยากเอามาใส่ใจให้เป็ประเด็นบนโต๊ะอาหารทุกคนต่างพูดคุยยิ้มแย้มอย่างเป็กันเอง
หลังรับประทานอาหารร่วมกันเสร็จทั้งสองครอบครัวก็ล้อมวงนั่งพูดคุยดื่มชาด้วยกัน จนเวลาล่วงเลยมาถึงยามดึกสองสามีภรรยาเฉินจึงขอตัวกลับกันก่อน ส่วนกู้เจิงกับเฉินเยี่ยนยังคงต้องอยู่ต่อด้วยเหตุที่ว่า อย่างแรกนั้นกู้หงหย่งเป็ห่วงเื่การสอบในวังหลวงของบุตรเขยใหญ่อย่างที่สองก็คือเื่ของท่านน้าเฝิง กู้เจิงเองก็อยากจะคุยเื่นี้กับเว่ยซื่อเช่นกัน
ที่จริงก่อนหน้านี้แม่เฒ่าซุนได้บอกเื่นี้กับเว่ยซื่อไว้แล้วดังนั้นเมื่อพวกผู้ชายแยกกันไปที่ห้องหนังสือ เว่ยซื่อจึงเรียกกู้เจิงมาพูดกันในอีกห้องหนึ่ง
“เพราะข้ารู้ว่าเฝิงซื่อกับตระกูลเฉินมีความสัมพันธ์กันอย่างไรดังนั้นข้าจึงไม่ได้แตะต้องบุตรสาวของนาง” เว่ยซื่อฉีกยิ้มเย็น “แต่นึกไม่ถึงว่าเฝิงซื่อจะยังไม่รู้ว่าบุตรสาวของนางเป็คนก่อปัญหานี้ขึ้นมา”
“เื่นี้ ลูกไม่มีความเห็นอะไรเพียงแต่ท่านน้าเฝิงพูดเื่นี้ขึ้นมาต่อหน้าพ่อแม่สามีของลูกจะไม่ช่วยก็ดูกระไรอยู่เ้าค่ะ” ที่ว่าไม่มีความเห็นนั้นนางโกหกแต่การตัดสินเื่นี้ก็ต้องให้เว่ยซื่อเป็คนจัดการอยู่ดีตัวกู้เจิงจะตัดสินใจเองโดยพลการไม่ได้เด็ดขาด
เว่ยซื่อพยักหน้า “เ้าเป็ลูกสะใภ้เฝิงซื่อไปขอร้องต่อหน้าพ่อแม่สามีขนาดนั้น ที่เ้าทำไปก็ถูกต้องแล้วเช่นนั้นก็ช่วยนางไปแล้วกัน แต่เื่ที่บุตรสาวของนางทำเฝิงซื่อก็ควรจะต้องรับรู้ด้วยเช่นกัน”
เมื่อรู้ว่าเว่ยซื่อตัดสินเื่นี้ได้แล้วกู้เจิงจึงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นคารวะ “ลูกขอบคุณท่านแม่เ้าค่ะเช่นนั้นเมื่อหมดธุระแล้วลูกก็ขอตัวก่อนนะเ้าคะ”
พอกู้เจิงออกจากห้องไป กู้อิ๋งก็รีบมานั่งลงข้างกายมารดานางเข้ามากอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน “ท่านแม่ พี่ใหญ่เปลี่ยนไปเหมือนคนละคนจริงๆ เ้าค่ะว่ากันว่าหลังจากสตรีแต่งงานออกเรือนไปแล้วก็จะเปลี่ยนไปมากดูท่าจะเป็เื่จริงนะเ้าคะ” กู้อิ๋งอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อตนเองแต่งเข้าจวนตวนอ๋องแล้วจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
“เ้านี่นะ” เว่ยซื่อหยิกแก้มบุตรสาวอย่างเอ็นดู “คนๆ หนึ่งนั้นก่อนและหลังแต่งงานก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วแต่ถึงจะเปลี่ยนอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ กู้เจิงคนนี้เมื่อก่อนข้าดูแคลนนางไปจริงๆ”
กู้อิ๋งทำหน้าไม่เข้าใจ
“เฉินเยี่ยนผู้นั้นเป็คนมีอนาคตไกล ตวนอ๋องกับบิดาของเ้าก็ล้วนให้ความสำคัญกับเขามากกู้เจิงเองก็รู้ในจุดนี้ดี แต่พอนิสัยของนางเปลี่ยนไปนางก็ไม่ได้สร้างปัญหาตามหวังซู่เหนียงอีก ต่อหน้าข้านางก็มีมารยาทและวางตัวดีนางทำให้ผู้คนรู้สึกดีต่อนางมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่านางรู้แล้วว่านาง้าอะไรและต้องวางตัวอย่างไร”
“นาง้าอะไรหรือเ้าคะ?”
“นาง้าชื่อเสียง ้าความรักจากสามี้าให้ครอบครัวสนับสนุนนาง ้าให้ครอบครัวสามีให้ความสำคัญกับนางหากมีสิ่งเหล่านี้พร้อมหมดแล้ว สถานะของนางก็จะมั่นคงขึ้น” เว่ยซื่อยิ้มเยาะ “นับวันนางยิ่งฉลาดขึ้นจริงๆ”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านแม่มักพร่ำสอนข้าและกู้เหยาหรือเ้าคะ?” กู้อิ๋งไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
“นี่เป็สิ่งที่แม่มักสอนพวกเ้าแต่หวังซู่เหนียงนั้นได้สอนสิ่งเหล่านี้ให้กู้เจิงด้วยหรือ?”