เ้ากระต่ายน้อยตอนนี้มุดหัวเข้าไปใต้โต๊ะด้วยความอายจ้านอี้หยางเริ่มปวดหัว
ดูเหมือน...ครั้งนี้จะเล่นเกินไปจริงๆ
“ซูหรงหรง"
เขาส่งเสียงเรียกเธอ
“เงยหน้าขึ้นมา"
เงยหน้าขึ้นมาให้นายแกล้งอีกอย่างนั้นเหรอไม่เอาด้วยหรอก!
ซูหรงหรงยังคงนิ่ง
“ขึ้นมา"
จ้านอี้หยางเคาะโต๊ะ
“ฉันจะให้เธอดูอะไร"
เมื่อพูดจบเขาก็หยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะก่อนจะกระแทกเสียงดังอีกนิดอย่างจงใจ
ซูหรงหรงถูกความอยากรู้อยากเห็นเอาชนะใจตนเองภายในหัวของเธอราวกับกำลังมีา สุดท้ายความสงสัยก็ชนะทุกสิ่ง เธอเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย
“อะไรน่ะ?"
จ้านอี้หยางดันกล่องเล็กๆ นั้นไปใกล้มือเธอ
“เปิดดูสิ"
ซูหรงหรงเปิดดูด้วยความสงสัยในที่สุดเธอก็เห็นแหวนเพชรที่ส่องเป็ประกายอยู่ภายใน
แหวนเพชรของ Cartier ขนาดกำลังพอเหมาะพอดีแม้จะไม่สามารถเอาไปอวดใครกลางตลาดได้ แต่มันก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดแถมการออกแบบตัวแหวนก็สวยงาม แสงไฟที่ตกกระทบกับตัวเพชรก็วิบวับเป็ประกาย
“นาย..."
ซูหรงหรงเบิกตากว้างเธอจ้องไปที่ใบหน้าของจ้านอี้หยาง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“...นายกำลังขอแต่งงานเหรอ?"
ใบหน้าของจ้านอี้หยางดูสับสนกระวนกระวาย
“ไม่ใช่"
เขาคิดหาเหตุผลก่อนจะคิดออกถึงข้ออ้างหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ
“เพราะพวกเราแต่งงานกันเร็วเกินไปนี่เป็ของขวัญที่กองทัพมอบให้"
ซูหรงหรงสำรวจแหวนเพชรวงนั้นอย่างระมัดระวังเธอสำรวจยี่ห้อแหวนเพื่อจะดูว่าใช่ยี่ห้อนี้จริงหรือไม่
ก็ Cartier นี่นาเดี๋ยวนี้กองทัพมอบของขวัญที่ดู...หรูหรา ขนาดนี้ให้กับทหารอย่างนั้นเหรอ?
อ๊ายอันที่จริงแต่งงานกับทหารก็เป็ความคิดที่ไม่เลวเลยนะเนี่ย
จ้านอี้หยางกลัวซูหรงหรงจะถามอะไรแปลกๆ ขึ้นมาอีกเขารีบคว้ากล่องแหวนกลับคืนมา
“ซูหรงหรง ยื่นมือมาสิ"
“รับทราบ!"
ยัยกระต่ายน้อยตอบรับอย่างกระตือรือร้นเธอยื่นมือไปให้จ้านอี้หยางอย่างว่าง่าย แววตาตอนนี้ดูมีประกายเป็พิเศษเธอมองภาพเบื้องหน้าที่จ้านอี้หยางกำลังสวมแหวนเข้าที่นิ้วมือเธอ
จ้านอี้หยางสวมแหวนเข้าที่นิ้วเรียวยาวของซูหรงหรง
“ถ้าหากฉันไม่...ถ้าหากกองทัพไม่มีคำสั่งเธอห้ามถอดแหวนวงนี้ออก และก่อนที่จะถึงวันแต่งงานเธอก็คิดเสียว่านี่คือแหวนแต่งงานจริงๆ ถ้าใครมาถามอะไรเธอเธอก็โชว์นิ้วข้างที่สวมแหวนให้เขาดู อื้ม...แต่ห้ามให้เขาแตะตัวเธอเด็ดขาด"
ซูหรงหรงเข้าใจความหมายที่จ้านอี้หยาง้าจะสื่อดีเธอเม้มปาก ก่อนจะเอ่ยกับจ้านอี้หยางด้วยท่าทีจริงจัง
“ถ้าฉันชูมันขึ้นฟ้าฉันจะถูกฟ้าผ่านะ..."
ถ้ามีใครมาคุยกับเธอเธอก็ต้องโชว์แหวนให้พวกเขาดูเหรอ นี่มันเป็การโอ้อวดแบบไหนกันแน่เนี่ย เทวดาฟ้าดินคงทนเห็นกิริยาโอ้อวดแบบนี้ไม่ไหวหรอก
จ้านอี้หยางหมดคำที่จะพูด
“ความหมายของฉันคือเวลามีผู้ชายมาคุยกับเธอ..."
ซูหรงหรงเข้าใจความหมายที่แท้จริงของจ้านอี้หยางในที่สุดเธอหลุดยิ้มออกมา
“จ้านอี้หยางนายกลัวฉันจะถูกคนอื่นลักพาตัวไปอย่างนั้นเหรอ?"
“ใช่"
จ้านอี้หยางลอบถอนหายใจภายในใจตนเองไอคิวสมองของซูหรงหรงในตอนนี้ไม่สามารถทำให้เขาสบายใจได้เลย
ซูหรงหรงหัวเราะเธอคิดเองว่าจ้านอี้หยางนั้นคงเป็ห่วงเธอ เธอค่อนข้างพอใจกับคำตอบ
เมื่อใส่แหวนเรียบร้อยแล้วเป็จังหวะเดียวกับที่อาหารมาเสิร์ฟพอดีพนักงานเสิร์ฟที่สวมชุดกี่เพ้าคนเดิมพูดกับจ้านอี้หยางเสียงหวานเสียจนสามารถทำให้ดอกไม้บานได้
“อาหารของคุณมาครบแล้วเชิญรับประทานได้เลยค่ะ"
ซูหรงหรงคีบหมูหันเข้าปากอย่างรวดเร็วหมูหันที่นำมาเสริฟ์นั้นค่อนข้างหอม เธอเคี้ยวหมูพลางนึกในใจ
พวกเธอชวนเขาคุยไปก่อนนะ ฉันไม่ถือสา…เพราะพวกเธอยิ้มให้เขาอย่างไรมันก็เท่านั้นเขาก็เหมือนกับหมูหันนั่นแหละ ...พวกเขาเป็ของฉันแหวนก็ใส่ที่นิ้วมือฉันเรียบร้อยแล้วด้วย
เมื่อพนักงานถอยออกไปจ้านอี้หยางก็ดันเอาอาหารที่ซูหรงหรงชอบทานมาไว้ด้านหน้าเธอ
เมื่อกินเสร็จแล้วซูหรงหรงนึกสงสัยขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามเขา
“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบกินอาหารอะไรของที่นี่?"
สายตาของเธอพลางมองไปที่ภาพวาดดอกไม้เธอกลอกตาสองรอบก่อนจะเอ่ยออกมา
“แม่ฉันบอกนายอย่างนั้นเหรอ?"
“อื้ม"
“ถ้าอย่างนั้นนายจองโต๊ะที่นี่ได้ยังไงในเมื่อที่นี่ต้องใช้เวลาจองเป็อาทิตย์ เอ๊ะ อาทิตย์ก่อนนั้นฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีงานนัดบอร์ดหาคู่ที่ทหารจัดขึ้นนี่นาย..."
ไม่จริงน่าจ้านอี้หยางคงไม่ใช่ว่าสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้หรอกนะ
“เื่การจองโต๊ะฉันเพิ่งจะสั่งให้ทหารมาทำการจองให้"
เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“เอ๋?"
ซูหรงหรงเบิกตากว้าง
ราวกับว่าจ้านอี้หยางจะล่วงรู้ความคิดของเธอ
“อภิสิทธิ์พิเศษของทหารมักมาก่อนเสมอ"
ซูหรงหรงรู้สึกมีความสุขมากเสียจริงการได้แต่งงานกับทหารนี่ช่างเหมือนกับการได้ลาภก้อนโต
การรับประทานอาหารมื้อนี้เธอรู้สึกทั้งอิ่มทั้งพึงพอใจที่พิเศษไปกว่านั้นคือผู้ชายที่นั่งตรงข้ามเธอคือจ้านอี้หยางที่มีใบหน้าหล่อเหลาแต่ที่สำคัญที่สุดคือผู้ชายคนนี้คือ...สามีของฉัน
ผู้ชายคนนี้ช่างดูดีเกินกว่าที่คนอย่างเธอจะไปไล่จับได้
เวลาที่เธออารมณ์ดีเธอมักจะควบคุมปริมาณอาหารที่ตนเองกินไม่ได้ และผลที่ออกมาก็คือ...เธอกลืนมันลงไปทั้งหมด
จ้านี้หยางรูดบัตรเพื่อจ่ายเงินพอได้เห็นสภาพการณ์นั่งพิงเก้าอี้จนแทบจะเลื้อยไปกับโต๊ะของเธอแล้วเขาเคาะโต๊ะเพื่อเรียกเธอ
“กลับบ้านกัน"
ซูหรงหรงตอบ “อืม"ก่อนจะลุกขึ้นไปยืนข้างเขาแล้วเอามือคล้องแขนเขาอย่างเป็ธรรมชาติ
“ก่อนหน้านี้เคยมีใครพูดเื่ตลกกับนายมั้ย?"
“มีสิ"
สายตาของเขาขณะนี้จ้องไปที่ซูหรงหรงที่กำลังคล้องแขนเขาไม่เลวนะเรียนรู้ที่จะรุกก่อนแล้ว
“แล้วนายหัวเราะมั้ย?"
ซูหรงหรงถามอย่างสนใจ
“ไม่"
ปกติแล้วจ้านอี้หยางเป็คนที่ค่อนข้างเข้มงวดแล้วยิ่งเขาเป็ถึงผู้บัญชาการกองทัพ เหตุนี้จึงไม่มีใครกล้ายุ่งกับเขา
“เฮ้อถ้าอย่างนั้นฉันพูดให้นายฟังแล้วกัน รับรองได้เลยว่านายหัวเราะแน่นอน"
ซูหรงหรงเอ่ยด้วยความมั่นใจ
“อืม"
จ้านอี้หยางรอฟังอย่างมีความหวังเื่อะไรกันนะที่เธอเชื่อมั่นในตัวเองได้ขนาดนั้น
ระหว่างที่คุยกันพวกเขาก็พากันเดินมาถึงแคชเชียร์ ซูหรงหรงจึงเอ่ยถาม
“นายรู้หรือเปล่าคำว่า จ้าง–ฟู้ (สามี) มีความหมายอีกอย่างว่าอะไร"
จ้านอี้หยางคิดแล้วคิดอีกก่อนจะส่ายหัว
“คืออะไร?"
“ฟู้–จ้าง (จ่ายเงิน)"
ซูหรงหรงหลุดหัวเราะแล้วจ้องไปที่จ้านอี้หยางราวกับเด็กน้อยที่กำลังรอรางวัลตอบแทน
ดวงตาคู่นั้นที่มองมาที่เขาช่างดูสดใสและสวยงามจริงๆ
“ฉันเพิ่งเห็นข้อความเมื่อกี้จากอินเทอร์เน็ตพอเห็นนายจ่ายเงินก็เลยนึกขึ้นมาได้ เป็ไง ตลกมั้ย?"
จ้านอี้หยางกระตุกยิ้ม
“ยัยโง่"
สาเหตุที่ทำให้เขายิ้มได้ไม่ใช่เพราะเื่เล่าชวนหัวเราะพวกนั้นแต่เป็เพราะยัยกระต่ายซื่อบื้อซูหรงหรงมากกว่า...
ชายหญิงที่มาเป็คู่แถวนั้นได้ยินคำพูดของซูหรงหรงหญิงสาวต่างพากันจ้องไปที่คู่ของตน หญิงสาวที่ดูเป็คนกล้าหาญคนหนึ่งรีบเอามือคล้องแขนแฟนของตนก่อนจะเอ่ยถาม
“ได้ยินมั้ยอีกความหมายหนึ่งของสามีคือกระเป๋าเงินเคลื่อนที่ แบบนี้นายยังจะอยากแต่งงานกับฉันมั้ย?"
“อยากสิแน่นอนว่าต้องอยากแต่งอยู่แล้ว ฉันยอมที่จะจ่ายเงินให้เธอชั่วชีวิตเลย"
พอได้ยินดังนั้นไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะใจไม่เต้นระส่ำ หญิงสาวยื่นมือออกไปหาชายหนุ่มชายคนนั้นถือแหวนขึ้นมาแล้วสวมเข้าที่นิ้วของเธอ
สุดท้ายชายคนนั้นส่งสายตาขอบคุณมาให้ซูหรงหรง หากไม่มีคำพูดตลกๆ ของซูหรงหรงเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าแหวนของเขาจะไปอยู่บนนิ้วของเธอคนนั้นได้ตอนไหน
ซูหรงหรงเองก็คิดไม่ถึงว่าเธอกลายเป็แม่สื่อจำเป็นอกจากจะทำให้จ้านอี้หยางหัวเราะ เธอยังทำให้คู่รักได้ขอแต่งงานกันสำเร็จ
ซูหรงหรงมองหน้าชายคนนั้นก่อนจะหัวเราะให้กันโดยที่ตัวเธอไม่ได้รู้เลยว่ารอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเธอช่างงดงาม
กระเป๋าเงินเคลื่อนที่ของเธอเห็นอากัปกิริยานั้น
วินาทีต่อมาตัวของเธอก็ปลิวตามแรงลากของจ้านอี้หยาง
“ต่อไปนี้ห้ามพูดเื่ตลกไปทั่วอีก"
นี่คือประโยคแรกที่จ้านอี้หยางเปิดปากพูดหลังจากออกมาจากภัตตาคาร
ซูหรงหรงไม่เข้าใจเธอส่งสายตางุนงงไปหาเขา
เื่ตลกดีจะตายทำให้นายทหารอารมณ์ดีแถมยังทำให้คู่รักได้ขอแต่งงานกันสำเร็จอีก
แต่ทำไมจ้านอี้หยางอยู่ๆก็บอกให้เธอหยุดพูดถ้าอย่างนั้นเธอจะไม่พูดต่อหน้าเขาอีกต่อไป ในขณะที่เธอคิดจะพยักหน้าสัญญากับตนเองอยู่ๆ เขาก็พูดประโยคถัดไป
“ต่อไปนี้พูดได้เฉพาะตอนอยู่กับฉันสองคนเท่านั้น"
“…”
น้ำตาจะไหล! พี่จ้านคะพี่แน่ใจนะว่าไม่มีความสามารถในการอ่านใจคน?
รถของจ้านอี้หยางจอดอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามไม่ไกลนักเขาจูงมือซูหรงหรงเดินข้ามทางม้าลาย เมื่อใกล้จะถึงที่จอดรถอยู่ๆซูหรงหรงก็เอ่ยขึ้น
“พวกเรากลับบ้านกันตอนนี้เลยเหรอ?"
“ถ้าไม่ล่ะ?"
เขาหยุดเดินก่อนจะหันไปมองหน้าเธอ
กระต่ายน้อยซูหรงหรงชี้นิ้วไปที่ห้างแคร์ฟูลที่อยู่ไม่ไกล
“พวกเราไปเดินซื้อของกันสักหน่อยมั้ยฉันสำรวจที่บ้านแล้ว มีของต้องซื้อเยอะเลย อีกอย่างฉันก็..."
เธอเงียบไปสักพักอย่างนึกสรรหาคำที่พูดต่อก่อนจะเอ่ย
“ฉันอิ่มแล้ว"
“..."
ที่แท้ก็เป็กระต่ายซื่อบื้อจริงๆกินอิ่มแล้วก็บอกว่าอิ่มแล้ว จะคิดข้ออ้างที่ดูน่าฟังกว่านี้ไม่ได้หรือไง
จ้านอี้หยางดูเวลา...ยังทันนี่ เขายีหัวยัยกระต่ายน้อย
“งั้น...ไปกัน"
อาจเป็เพราะวันนี้ไม่ใช่วันหยุดหรือวันเสาร์อาทิตย์ คนจึงไม่เยอะมากส่งผลทำให้พื้นที่ภายในห้างสรรพสินค้าชั้นสี่นี้ดูกว้างเป็พิเศษ
อันที่จริงของในบ้านมีครบแทบทุกอย่างสิ่งเดียวที่ไม่มีก็เห็นจะเป็ของกินนี่แหละ ซูหรงหรงเดินตรงไปยังโซนอาหารเธอสำรวจไปรอบๆ บริเวณก่อนจะเดินอาดๆ มาจนถึงโซนผักและผลไม้
พวกขนมกรอบแกรบค่อนข้างดึงดูดความสนใจของเธอ แต่ทว่าเธอไม่ซื้อมันต่อหน้าจ้านอี้หยางดีกว่าถ้ากินเยอะจนตัวบวมจะเป็ยังไง? นี่เพิ่งจะวันแรกที่แต่งงานกันเอง
ซูหรงหรงที่คิดว่าเธอสามารถปกปิดสายตาตัวเองได้อย่างมิดชิดแล้วแต่มันกลับยังไม่สามารถรอดสายตาปีศาจของจ้านอี้หยางไปได้
พวกเขาซื้อผักและเนื้อจำนวนหนึ่งซูหรงหรงพาจ้านอี้หยางมาจ่ายเงิน แต่เขากลับหยุดเดินก่อนจะเอ่ย
“ยังไม่ได้เดินอีกที่หนึ่ง"
ซูหรงหรงถูกจ้านอี้หยางลากไปที่โซนขนมขบเคี้ยวซูหรงหรงสงสัยเสียจนร้อง “เอ๋?" ออกมาเธอมองเขาราวกับเจอแผ่นดินใหม่
"นาย...นายกินขนมด้วยเหรอ?"
จ้านอี้หยางต่อสู้กับสิ่งที่อยู่ภายในใจตนเองสักครู่ก่อนจะเอ่ยตอบ
“อื้ม"
ความจริงขนมหลากสีลายดอกไม้พวกนี้เขาไม่ได้กินนานแล้วในตอนที่เขายังอยู่ในภารกิจสิ่งที่ได้กินบ่อยสุดคงเป็ขนมปังอัดแท่ง
แววตาของซูหรงหรงเปล่งประกายขึ้น
“ว้าว!"
ราวกับเธอเพิ่งได้เจอกับมนุษย์จำพวกเดียวกับเธอ
“นายรอฉันแป๊ปนึงฉันจะเลือกให้นายเอง ไม่มีใครรู้ดียิ่งไปกว่าฉันแล้วว่าขนมชนิดไหนอร่อยขนมชนิดไหนไม่อร่อย"
ไม่นานผักและเนื้อจำนวนนั้นที่อยู่ในตะกร้ารถเข็นก็ถูกถมทับไปด้วยขนมขบเคี้ยวกองพะเนิน
เหตุหนึ่งก็อาจจะเป็เพราะเวลาที่ซูหรงหรงไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเอาขนมอันไหนหรือรสชาติไหนดีจ้านอี้หยางจะต้องคอยเก็บทั้งสองตัวเลือกของเธอเข้าตะกร้าสินค้า
ซูหรงหรง...เธอจะต้องเป็ผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกแน่ๆเลย
เมื่อก่อนเวลาเธอไปเดินห้างสรรพสินค้ากับเ้าไก่อ่อนคนนั้นเขามักจะไม่ให้เธอกินของเรื่อยเปื่อย นู่นไม่ได้นี่ไม่ได้ บอกแต่ว่ากลัวเธอจะอ้วนพอมาเทียบกันดูแล้วจ้านอี้หยางดูจะเป็คนเข้าใจความรู้สึกคนอื่นดีกว่าอีก
พอคิดถึงตอนนี้ ซูหรงหรงมองไปที่จ้านอี้หยางด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปมันเริ่มแฝงไปด้วยความรัก
จ้านอี้หยางที่รู้ว่าเธอจ้องเขาอยู่หันมาลูบผมสีดำเงาของเธอ
“เป็อะไรเหรอ?"
“ไม่มีอะไร"
เธอตอบเขาน้ำตาคลอ
“ฉันแค่รู้สึกอยากจะไปขอบคุณใครสักคนหนึ่ง"
เธออยากขอบคุณเฉินหย่าถิง เป็เพราะเธอถึงทำให้ซูหรงหรงหรงได้เห็นธาตุแท้ของกู้แหยนเจ๋อถ้าไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่ได้พบจ้านอี้หยาง
แม้จ้านอี้หยางจะไม่รู้ว่าคนที่เธอต้องไปขอบคุณคือใครแต่ดวงตาของเธอตอนนี้มันกำลังสื่อออกมา ริมฝีปากของเขากระตุกยิ้มขึ้นกว่าเดิม
ยัยกระต่ายน้อยซูหรงหรงช่างดีเกินราคาจริงๆเพียงแค่ต้องทำดีกับเธอเพิ่มขึ้นอีกนิด อีกแค่นิดเดียว