สายลมวสันต์พัดแ่ บนทุ่งหญ้ามีเนินดินเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาหลายลูก หนึ่งในนั้นมีหญิงชราไว้แห่งหนึ่ง
บนเนินดินมีหญ้าเขียวงอกขึ้นปกคลุม สิ่งมีชีวิตบนทุ่งหญ้าแห่งนี้มีจุดเด่นอย่างหนึ่ง คือพลังชีวิตแข็งแกร่งนัก
หลุมศพของหญิงชราที่ขุดไว้ั้แ่ยามเหมันต์ ตอนแรกยังเป็เพียงเนินดินเกลี้ยงๆ ลูกหนึ่ง บัดนี้กลับมีหญ้าเขียวงอกจนแน่นขนัด ยามที่หญิงชรายังร่างกายแข็งแรง นางมักจะพูดเสมอว่าวันหนึ่งหากนางสิ้นลมแล้วให้ฝังร่างนางไว้ในสุสานของท่านโหว
แต่ความฝันของนางไม่อาจเป็จริงได้
บัดนี้ทิวทัศน์รอบหลุมศพของนางก็นับว่าเพลินตานัก ทั้งยังไม่ต้องโดดเดี่ยว ข้างกายมีม้าและแกะคอยรายล้อมอีกมากมาย หากนางเกิดรังเกียจหญ้าบนหลุมศพตนขึ้นมาก็มีเหล่าม้า และแพะคอยช่วยเล็มหญ้าให้อยู่เสมอ
เพียงแต่ต้นหญ้าบนทุ่งหญ้านั้นแข็งแรงเหลือเกิน วันนี้แม้พวกสัตว์จะช่วยกันเล็มจนเหี้ยน พรุ่งนี้มันก็จะงอกขึ้นใหม่อยู่ดี
เมื่อเป็เช่นนี้ลูกสะใภ้คนที่สี่ของนาง ซื่อเหนียงจึงได้ดีใจนัก อย่างน้อยก็ยังมีหลุมศพ แม่สามีของนางยามมีชีวิตก็ไม่ได้ดีต่อคนอื่นเท่าใด หากว่าแค่เพียงเอาร่างของนางมาทิ้งไว้บนทุ่งหญ้าแล้วเกิดถูกสัตว์ฉีกร่างนางเข้า เกรงว่าิญญาของนางคงไม่อาจไปเกิดได้
ฝังไว้ที่นี่ย่อมปลอดภัยกว่า
ซื่อเหนียงบางครั้งก็จะถืออาหารมายังหลุมศพของนาง แล้วบ่นเรื่อยเปื่อยกับนางอยู่พักหนึ่ง
เหล่าสตรีที่ท่านนายอำเภอส่งมานั้นนอกจากหญิงชราแล้ว ทุกคนล้วนรอดชีวิต ท่านนายอำเภอที่ตอนแรกยังกังวลใจว่าจะนำปัญหากลุ่มใหญ่มาให้หมู่บ้านไป๋กู่ ไม่คาดคิดเลยว่าแม่นางเหล่านี้จะดวงแข็งถึงเพียงนี้ ดวงแข็งเสียจนน่ากลัว
รอจนพวกนางรักษาจนใกล้หายแล้วก็ไม่ยอมหยุดพักผ่อนต่ออีก ขอตามแม่นางในหมู่บ้านไปทำงานที่โรงทอผ้าทันที
แม้จะทอผ้ากันไม่เป็ แต่ก็สามารถนำความรู้เดิมที่ตนมีมาพัฒนาได้
คนรู้หนังสือก็ช่วยสอนหนังสือ คนที่เก่งงานปักก็ไปทำงานปัก คนที่ทำอาหารอร่อยก็ไปทำอาหาร แม้กระทั่งแม่นางคนหนึ่งจากตระกูลม่อที่กล่าวว่าตนนั้นรู้วิธีสร้างบ้านก็ยังได้วาดแผนผังออกมาได้อีกด้วย
พวกนางทุกคนล้วนเหมือนแม่นางทั่วไปทุกอย่าง เว้นอย่างเดียวที่ไม่เหมือนคือพวกนางไม่ยินยอมจะออกมาพบบุรุษ
หากพบว่ามีบุรุษอยู่ใกล้ พวกนางก็จะมีอาการหวาดกลัวราวกับวิหคหวาดเกาทัณฑ์ก็ไม่ปาน ทว่ายามอยู่กับเหล่าสตรีด้วยกัน พวกนางก็จะเงียบงันดังเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
คนที่นับว่าโดดเด่นที่สุดคงจะเป็น้องสาวของอดีตฮองเฮา แม่นางหลานอวี้ที่ในอดีตเคยมีคนนับไม่ถ้วนอยากจะแต่งนางเข้าเรือน ด้วยนางนั้นเป็ถึงน้องสาวคนสุดท้องของอดีตฮองเฮา อีกทั้งความรู้และความประพฤติยังเป็อันดับหนึ่ง ทั้งตระกูลหลานยังถือว่าอบรมลูกหลานได้ดีนัก ที่สำคัญคือรูปลักษณ์ก็ไม่เป็สองรองใคร
หลานอวี้เองก็เช่นกัน ทั้งร่างราวกับพราวแสงนวลระยิบระยับของหยก โปร่งใสงดงาม กระทั่งท่านแม่ของนางยังเย้าแหย่นางอยู่บ่อยๆ ว่านางพริ้มเพราถึงเพียงนี้ มิรู้ว่าบุตรชายบ้านใดจะถูกนางเอาเปรียบเข้า
บัดนี้นางอัปลักษณ์ยิ่งกว่าผีร้าย ทั้งยังทำตัวเงียบเชียบราวกับิญญา ทุกวันนางเพียงเดินทางไปทำงานที่โรงทอผ้า งานสำคัญในโรงทอผ้าล้วนแต่ถูกนางแย่งเอาไปทำ มีเพียงงานยกผ้ากองใหญ่ที่เหล่าแม่นางไหล่กว้างเอวหนายกขึ้นได้ภายในอึดใจเดียวเท่านั้นที่นางยังทำไม่ได้ แต่นางก็พยายามหอบผ้าเ่าั้ให้ได้มากที่สุด และยิ่งดูเหมือนจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนในทุกๆ วัน
เมื่อทำงานเสร็จ ร่างอรชรนั้นก็ทรุดนั่งลงกับพื้น
นางชอบอยู่เพียงลำพัง
แผ่นหลังแบบบางเอนพิงผนังหลังโรงทอผ้า ปากยังเคี้ยวหมั่นโถว ยามเคี้ยวไปก็รู้สึกได้ถึงความหวาน
ดวงตาทอดมองผืนฟ้า เหม่อมองหมู่เมฆ
สายลมแ่ยังคงพัดผ่านกาย
นางยังมีชีวิตอยู่
เมื่อเทียบกับชีวิตที่อาศัยอยู่ในนรกแห่งนั้น ที่นี่ราวกับสรวง์ก็ไม่ปาน ทว่านางก็ยังคงออกแรงเคี้ยวพร้อมความขมขื่นในใจ
มิรู้ว่าั้แ่เมื่อใดที่ข้างกายมีเด็กหญิงตัวน้อยยืนอยู่
อืม เฉินโย่วชอบอยู่ใกล้นาง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เด็กหญิงเองก็ไม่เข้าใจ นางรู้เพียงว่าตนชอบท่านน้าคนนี้
แม้ว่าใบหน้าของท่านน้าจะมีรอยแผลเป็มากมาย มันดูน่ากลัวยิ่งกว่าร่องรอยบนเปลือกไม้เก่าแก่บนูเาเสียอีก ทว่านางก็อดจะรู้สึกสนิทสนมกับท่านน้าตรงหน้าไม่ได้
นางยังเลียนแบบท่าทางของท่านน้า นั่งลงพิงผนังเช่นกันแล้วจึงเหยียดขาสั้นๆ ของนางออก จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองฟ้า “ท่านน้ากำลังมองอันใดอยู่หรือ”
หลานอวี้พลันรู้สึกไม่เป็ตัวเองขึ้นมา เสียงของนางถูกทำให้เป็ใบ้ไปแล้ว ยามพูดจึงพูดได้แค่อือๆ อาๆ
นางรู้สึกราวกับว่าตนนั้นเป็แม่มดเฒ่าที่เรือนร่างสะโอดสะอง แต่ใบหน้ากลับอัปลักษณ์นัก ทั้งน้ำเสียงยังแปลกประหลาด ดังนั้นนางจึงไม่เคยเปล่งเสียงออกมา
นางเกลียดชังฮองเฮาจ้าว อีกทั้งฝ่าาก็ไม่ต่างกัน
ในตอนแรกนางแค่ขอให้ตนได้ตายเท่านั้น ทว่ากลับโดนทำให้เป็เช่นนี้ ความแค้นล้ำลึกในใจนางนั้นเป็แรงที่คอยพยุงนางไว้ ‘อย่าเรียกข้าว่าท่านน้า เ้าหน้าตางดงาม ท่านแม่ของเ้าก็คงงดงาม’ หลานอวี้ไม่ได้กล่าวออกมา
นางเพียงหยิบกิ่งไม้ขึ้นมาเขียนลงบนพื้นด้านข้างทีละตัวอักษร
ตัวอักษรของนางงามนัก เฉินโย่วเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหน้า
“ท่านน้างดงามมาก ข้ามองเห็นได้ ทั้งข้ายังชอบท่านน้ายิ่ง ข้าแค่เห็นท่านก็ราวกับได้เห็นท่านแม่ ทว่าพี่ชายบอกว่าท่านแม่จากไปแล้ว ั้แ่เล็กข้าจึงไม่เคยเห็นท่านแม่ เป็พี่ชายที่เลี้ยงข้าจนโต”
กิ่งไม้ในมือหลานอวี้ขีดลงบนพื้นจนเป็รอยลึก มือที่จับกิ่งไม้อยู่นั้นสั่นระริก ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้เขียนอะไรลงไป มีเพียงรอยขีดฆ่าราวกับรอยบนใบหน้าของนางอยู่บนพื้น
“ท่านน้า ข้าสอนท่านขี่ม้าดีหรือไม่ ยามอยู่บนหลังม้านั้นราวกับโบยบินได้เลยเชียว บินจนขึ้นไปบนฟ้าได้เลย” เฉินโย่วยื่นหน้าออกมาถาม
หลานอวี้มองหน้าเด็กหญิง จากนั้นจึงหันไปมองทุ่งหญ้าตรงหน้า โรงทอผ้าด้านหลังก็ปิดแล้ว เครื่องทอก็หยุดทำงานแล้ว ดวงอาทิตย์บนสุดขอบทุ่งหญ้าก็ค่อยๆ ลดต่ำลง
เด็กหญิงตัวน้อยควบม้ามาหยุดตรงหน้านาง ร่างนั้นโบกไม้โบกมือพร้อมรอยยิ้มสว่างเจิดจ้า “มาเถิด!”
นางเห็นดังนั้นก็เดินไปทางเด็กหญิงราวกับกำลังต้องมนตร์ จากนั้นก็จับมือเล็กๆ ของเด็กหญิงก่อนจะค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหลังม้า
เมื่อรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างของตนกางออก ส่วนล่างของร่างกายรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไรนัก ทั้งยังไม่อาจควบคุมร่างกายให้หยุดสั่นได้ ทว่าม้าก็เริ่มออกฝีเท้าวิ่งไปข้างหน้าเสียแล้ว
“ท่านน้า ท่านจับแน่นๆ ไม่ต้องกลัว”
นางได้ยินเสียงเด็กหญิงดังขึ้นพร้อมกับสายลม นางกอดเด็กหญิงแน่น หลับตาทั้งสองข้าง
ร่างกายนางสั่นเทิ้ม ความทรงจำที่แสนเ็ปประเดประดังเข้ามาจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลของนางนองไปด้วยน้ำตา
เ้าม้ายิ่งออกวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ มือทั้งสองยิ่งกำแน่นขึ้นเช่นกัน นางพลันตาเบิกโพลง ทันใดก็พบว่านางราวกับกำลังยืนอยู่ริมขอบฟ้า
ดวงอาทิตย์สีเหลืองทองยามอัสดง บัดนี้กำลังลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ดูราวกับเปลวเพลิงดวงโตนัก ทั้งยังกลมเกลี้ยง นางพลันรู้สึกอยากจะะโออกมา
หญิงสาวอ้าปากส่งเสียง “อ้า...อ้า...อ้า...”
นางส่งเสียงอืออาออกมาจากลำคอ ในที่สุดนางก็เอ่ยปาก เสียงนั้นราวกับลูกศรที่อยู่ดีๆ ก็พุ่งออกมา
นางหลงรักการขี่ม้าเข้าแล้ว ทั้งยังหลงรักเด็กหญิง หลงรักทุ่งหญ้า หลงรักดวงอาทิตย์ยามอัสดง
ขากลับหลานอวี้จึงลืมตาขี่ม้าไปตลอดทางจวบจนถึงกระท่อมที่พวกนางอาศัยอยู่ เมื่อมาถึงหน้าประตู ใจนางก็หวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าตนได้กลับไปยังสถานที่เลวร้ายแห่งนั้นอีกครั้ง ทว่านางกลับได้ยินเสียงหัวเราะะเืเลือนลั่นดังขึ้น “ซื่อเหนียง เ้าแพ้แล้ว เสื้อผ้าของข้าเ้าต้องเป็คนซัก ฮ่าๆ”
“ซักก็ซัก คราวหน้าข้าจะล้มเ้าให้ ไม่มีทางแพ้อีกแน่”
หลานอวี้ะโลงจากหลังม้า เงาของสตรีเอวบาง บั้นท้ายงอนงาม เรียวขาเหยียดยาว มองแล้วราวกับเทพเซียนก็ไม่ปาน
เฉินโย่วเงยหน้ามองนาง หลานอวี้ััได้ถึงแววตาเฝ้าคอยข้างหลังตน ทว่านางก็ไม่ได้หันกลับมา
นางเกรงว่าใบหน้าหน้าของตนจะทำให้เด็กหญิงใ
นางลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็อดไม่ไหวที่จะหันกลับไป เห็นเด็กหญิงตัวน้อยโบกมือไปมาพร้อมรอยยิ้ม
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นั้นปรากฏรอยยิ้มขึ้น ดูแล้วไม่ค่อยจะน่ามองนัก ราวกับดอกไม้เหี่ยวเฉาดอกหนึ่งกำลังเบ่งบาน ใบหน้านั้นช่างโหดร้าย ทว่าใบหน้างดงามของเด็กหญิงก็ยังคงยิ้มตอบให้นาง ราวกับดอกไม้งามที่กำลังเบ่งบาน หลานอวี้ราวกับได้เห็นกระจกสะท้อน
ยามอาทิตย์อัสดง เด็กหญิงและผมจุกที่พลิ้วไหวไปมาบนศีรษะของนางก็ขี่ม้าจากไปอย่างร่าเริง
“ท่านน้า ต่อไปข้าจะสอนท่านขี่ม้า ข้าจะปกป้องท่านเอง”