สายตาของเธอมองตรงไปตรงกลางห้อง กระแอมไอก่อนจะกล่าวว่า “ยังเหลือเวลาอีกครึ่งก้านธูปก่อนจะหมดคาบเรียน ข้าจะกล่าวแนะนำตัวเองแก่ทุกท่านเพิ่มเติม ตัวข้าลืมที่จะพูดให้ชัดเจน ข้าชื่อหวังเยี่ยน หัวหน้าหมวดชั้นปีที่หนึ่งแห่งสำนักกวางขาว หวังว่าวันเวลานับต่อจากนี้ จะได้รู้จักทุกท่านมากขึ้น....”
สุ้มเสียงไม่ได้ลดน้อยลงเลย
ตูม!
ห้องเรียนทั้งห้องเหมือนถูกทิ้งะเิไร้รูปร่างเข้าใส่ บรรยากาศร้อนระอุเฉียบพลัน
บรรดาศิษย์ที่เคยง่วงตะลึงงัน
“อะไร? หัวหน้าหมวดชั้นปีหนึ่งหรือ?”
“์ อาจารย์หญิงจืดชืดเนี่ยนะ...แท้จริงแล้ว เป็หัวหน้าหมวด?”
“ตายแน่ๆ หัวหน้าหมวดอุตส่าห์ลดตัวมาสอนด้วยตนเองทั้งที ข้ากลับนั่งจนหลับไปเนี่ยนะ...”
“สมควรตายยิ่งนัก หัวหน้าหมวดหวังต้องจำวีรกรรมเลวร้ายของข้าได้ ชีวิตนับต่อจากนี้ตายอนาถแน่...”
“ถ้ารู้ั้แ่แรกจะตั้งใจเรียนเลย หัวหน้าหมวดหวังถึงขั้นมาบรรยายเื่การฝึกร่างกายทั้งเื่ขอบเขตยุทธ์สารพัดด้วยตนเอง นับเป็โอกาสหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกนะ ถึงจะเป็ชนชั้นสูงในนครก็หาจะได้พบเจอง่ายๆ เช่นนี้!”
นักเรียนแต่ละคนไม่เคยสังหรณ์มาก่อนแม้แต่กระผีกเดียวว่าอาจารย์อิสตรีที่ดูเหมือนป้าวัยทองคนนี้จักเป็ผู้แข็งแกร่งที่สุดในการเรียนการสอนชั้นปีหนึ่งยิ่งนึกถึงสิ่งที่ตนเองได้แสดงออกไป พวกเขาได้แต่ทุบอกกระทืบเท้าตัวเอง ด้วยเสียดายและเสียใจนัก
ศิษย์มากมายเป็ห่วงว่าการกระทำอันย่ำแย่ของตัวเองนั้นจะทำให้คนสำคัญของสำนักเช่นนางจดจำได้
เ่ิูมองแววตาว่างเปล่า ปากยกเป็รอยยิ้มพิมพ์ใจ
เขาเองไม่คิดเหมือนกันว่าอาจารย์ท่านที่รูปกายภายนอกแสนจะธรรมดาท่านนี้จะครองตำแหน่งสูงลิบ สูงยิ่งกว่าอาจารย์หลักข่งคงที่เขาพบเมื่อวันก่อนเสียอีก
ทว่าปัญหาคือทำไมนางถึงปรากฏตัวออกมาง่ายดาย เพื่อมาสอนวิชาสุดแสนจะพื้นฐานนี้กันเล่า?
จากตำแหน่งและสถานะของนางแล้ว พลังที่แท้จริงต้องมากกว่าอาณาน้ำพุิญญาเป็อย่างต่ำแน่นอน แม้จะนับทั้งเมืองลู่ิ นางก็จัดเป็จอมยุทธ์ลำดับต้นๆ อยู่ดี การสวมใส่ท่าทีและรูปร่างหน้าตาเช่นนี้ช่างปกติมนุษย์นัก ชวนคนมองให้เป็ไก่ตาฟางเข้าได้ง่ายๆ
หวังเยี่ยนกล่าวต่อบนแท่นบรรยายแห่งเดิม
“ผ่านคาบเรียนเมื่อครู่ไปนี้ ข้าก็เข้าใจทุกๆ อย่างหมดสิ้นแล้ว วิชาเรียนนี้เป็คาบใหญ่ที่ศิษย์ปีหนึ่งทุกคนต้องได้เรียนพร้อมกัน ทั้งในตอนนี้และอนาคตอีกหนึ่งเดือนเต็ม เป็คาบเรียนใหญ่เพียงวิชาเดียว เพราะคาบเรียนหลังจากนี้ไปจะแบ่งเป็คาบย่อยๆ หากพื้นฐานการฝึกฝนของทุกคนแตกต่างกันมากไป สำนักกวางขาวก็จะปรับการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับวิสัยของเ้าแต่ละคน”
เสียงอึกทึกจอแจในห้องเรียนเงียบสนิท
ศิษย์ทุกคนล้วนฟังคำของหวังเยี่ยนชนิดที่ทั้งจริงจังทั้งสงบ
ไม่อาจหาญกล้าดูเบานางอีกเป็ครั้งที่สอง
จากการคาดการณ์ของเ่ิู การแบ่งห้องเรียนนั้น บรรดาลูกอัจฉริยะทายาทผู้ดีทั้งหลายแหล่คงมีพื้นฐานร่างกายที่ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเรียนใหม่ และเกี่ยวกับระดับความอ่อนแอในแต่ละคน ต้องนำมาปรับแก้เนื้อหาในวิชา ถึงจะเรียกได้ว่าเป็ทางที่เหมาะสมสำหรับงานสอน
“ทว่า ข้ายังมีอีกเื่สำคัญต้องประกาศให้ทุกคนในที่นี้ได้รับทราบ...นับอีกหนึ่งปีต่อจากนี้ เพื่อศึกแห่งเกียรติยศแห่งสิบสำนัก ข้าจักเลือกสิบคนจากพวกเ้าทั้งหมด เพื่อชี้แนะแนวทางและบทเรียนให้ด้วยตัวข้าเอง”
หวังเยี่ยนพูดเนิบนาบทว่ามั่นคง
แววตาที่กวาดมองทุกชีวิตในห้องของนาง เป็ประกายวิบวับเปี่ยมด้วยจิติญญา
นางในยามนี้ เริ่มเผยธาตุแท้คือความองอาจน่าเกรงขามและความเข้มงวดของหัวหน้าหมวดการสอน กายสูงใหญ่ขึ้นทันตา อาจารย์หญิงยังว่าต่อ “เดิมทีข้ายังลังเลเล็กน้อยกับชื่อของสิบท่านนี้ ทว่าเมื่อสอนวิชาหนึ่งจบไปแล้ว ได้เห็นการแสดงออกของทุกท่าน ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้ข้ามั่นใจกับการตัดสินใจคราสุดท้ายนี้ได้”
แซ่ด!
เพียงประโยคนั้นเผยออกมา ห้องบรรยายที่ว่าเงียบพลันเซ็งแซ่ คุกรุ่นด้วยบรรยากาศร้อน
สำนักที่วรยุทธ์เป็เอกหาใดเปรียบเช่นสำนักกวางขาวยังมีอีกเก้าสำนักทั่วอาณาจักรเสวี่ย ถูกขนานนามว่า ‘สิบยอดสำนัก’
และทุกๆ ปีสิบยอดสำนักนี้จะจัดการประลองยุทธ์ครั้งมโหฬารขึ้น เรียกว่า ‘ศึกเกียรติยศสิบสำนัก’
เื่นี้ข้องเกี่ยวกับการจัดสรรอันดับสำนักและการแบ่งทรัพยากรทุกอย่าง สำคัญเป็ที่ยิ่ง และเป็งานประลองสำคัญที่หนุ่มสาวทั้งรัฐเสวี่ยให้ความสนใจ หลายรายกลายเป็ยอดจอมยุทธ์ที่ถูกบูชาประหนึ่งเป็พ่อแบบแม่แบบชีวิต ล้วนแต่ผงาดขึ้นมาจากการแข่งขันนี้ทั้งสิ้น ชื่อเสียงระบือไกล ดุจโบยบินแผ่ศักดาเหนือน่านฟ้าคราม
หลายปีมานี้ สำนักกวางขาวได้ให้กำเนิดอัจฉริยะบุคคลไม่น้อยเลย ทว่าพอเข้าร่วมศึกสิบสำนักแล้วกลับไม่เคยชนะสักครั้ง
เ้าสำนักกวางขาวผู้ยศศักดิ์สูงส่ง ยังไม่วายถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง
การสมัครสอบของสำนักในปีนี้ ได้ปรากฏยอดฝีมือผู้มีแววหาได้ยากยิ่งเช่นฉินอู๋ซวง เยี่ยนสิงเทียนและอีกหลายคน ซึ่งสำนักมองว่าเป็รุ่นที่โดดเด่นยิ่งนัก ถือเป็ความหวังอันสูงสุดของสำนักเลยทีเดียว
หวังเยี่ยนเองก็เป็หนึ่งในผู้นำทั้งหกของสำนักกวางขาว ฐานันดรหัวหน้าหมวดการสอนนี้ ตัดสินใจจะคัดเลือกศิษย์ทั้งสิบเพื่อสั่งสอนบทเรียนด้วยตัวเอง อบรมดูแลมิให้ขาดตกบกพร่อง เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงเกียรติยศของสำนักกวางขาวคืนมาในศึกสิบสำนักในปีหน้าหลังจากนี้ เก็บกวาดซากความถดถอยยุคก่อนให้หมดสิ้นไป
เพราะมีเื้ัเช่นนี้เอง อาจคิดได้ว่าศิษย์ทั้งสิบที่ถูกเลือกนั้นช่างวาสนาหล่นทับเสียนี่กระไร
จะได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างดีด้วยหลักสูตรเยี่ยมสุดของสำนักกวางขาว แล้วยังอยู่ภายใต้การเรียนการสอนของอาจารย์หวังเยี่ยนยศสูงลิ่วอีก โอกาสพิเศษเช่นนี้ร้อยปีคงมีได้ครั้งเดียว ไม่เฉพาะเด็กปีหนึ่งดั่งลูกเจี๊ยบเกิดใหม่เท่านั้น แม้แต่เหล่าอัจฉริยะปีสูงๆ ยังน่ากลัวว่าจะแหลกลาญกันได้ง่ายๆ
แค่ได้เป็หนึ่งในรายชื่อทั้งสิบคนนั่น ก็เท่ากับก้าวขึ้นราชรถมาเกยให้ระบิลบันลือไปทั่วทุกดินแดนแล้ว
จู่ๆ ก็ได้ยินหวังเยี่ยนเอ่ยเช่นนั้น เหล่าหนุ่มสาวในห้องเรียนก็ไม่อาจห้ามใจมิให้คุยกันจอแจดุเดือดได้
สำหรับพวกเขาแล้ว มีความโชคดีซ่อนอยู่แม้ในความรู้สึกของการถูกตัดสิน
ศิษย์มากมายเขม็งแท่นอย่างหิวกระหาย สายตารุมร้อนมองอาจารย์สตรีที่พวกเขาเคยดูถูกดูแคลนไปเมื่อไม่กี่ครู่ก่อน หากมินึกเกรงใจมารยาทในห้องเรียนแล้ว น่ากลัวว่าหนุ่มสาวมากมายจะผุดลุกขึ้นแล้วะโเกรียวกราวว่า “เลือกข้าๆๆ...”
มีเพียงกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ใบหน้าอบอวลด้วยมั่นใจ นั่งนิ่งเงียบอยู่ประจำที่ตัวเอง ไร้ซึ่งความตื่นเต้นอันใด
พวกเขาเชื่อหมดใจ ว่าตัวเองจะต้องเป็หนึ่งในสิบคนที่ถูกแล้วแน่นอน
“เงียบ” หวังเยี่ยนเปิดปาก
ทั้งห้องเงียบสงัดประหนึ่งป่าช้า จนอาจได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มเล็กๆ ตกพื้น
นางพยักหน้า กำลังจะประกาศนามคนทั้งสิบนั้น แต่ทันใดนั้นก็พลันได้ยินบรรยากาศที่ไม่อาจตรวจจับได้ผ่านเข้ามาต้องโสตประสาทของนาง สีหน้าหวังเยี่ยนเปลี่ยนไป ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงมองลูกศิษย์ทั้งหนึ่งร้อยคนพร้อมกล่าว “รายชื่อทั้งสิบนั้น ผู้ช่วยของข้าจักเป็ผู้ประกาศ”
เอ่ยจบแล้ว นางก็จากไปอย่างรีบเร่ง
ภาพนั้นทำเด็กหนุ่มเด็กสาวโง่งมไปชั่วขณะ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรกันขึ้น หวังเยี่ยนถึงได้รีบรนจะออกไปนัก
เวลาผ่านไปเท่ากับหายใจได้สิบครั้ง ร่างอีกร่างหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นบนแท่นสอน
เป็นารีเยือกเย็นในชุดกระโปรงขาวผุดผ่องดั่งหิมะ
นางผู้นี้มองดูอายุอานามราวสิบสามสิบสี่ สวมเครื่องแบบปีสี่สีขาวพิสุทธิ์ของนักดาบหญิง ไม่ได้แต่งเติมเครื่องสำอางใดๆ ผิวพรรณหมดจดดั่งหยกขาว บอบบางราวหากเป่าลมเพียงคราเดียวก็อาจหักสลาย ไหปลาร้าทรงสวย คิ้วงามดั่งวาดเขียน นวยนาดขึ้นแท่นบรรยาย ประดุจดั่งนางฟ้าเยือกเย็นเสด็จลงจากแสงจันทราก็ไม่ปาน
ชายชาตรีมากมายมองนางตาไม่กะพริบ
เ่ิูเองก็รู้สึกเหมือนมีแสงจรัสมาวาบวับอยู่ตรงหน้า
ในบรรดาสตรีที่เขาเคยพบพานมาทั้งชีวิต หากวัดกันเฉพาะที่รูปร่างหน้าตาแล้ว นางนี้ต้องเป็หนึ่งในสามอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าอารมณ์ของนางเย็นเยียบเกินไป ดุจดังูเาน้ำแข็ง แค่เหลือบั์ตางามมองมาชั่วครู่ ก็มีอานุภาพมากพอจะแช่แข็งิญญาคนมองให้หนาวไปถึงขั้วหัวใจ
คนประเภทนี้ร้อยทั้งร้อยหยิ่งยโสเห็นตัวเองเป็ศูนย์กลางเอกภพจนเข้ากระดูกดำ ไม่เหมาะแก่การคบหาสมาคมด้วยเท่าไร
ผู้ช่วยของหัวหน้าหมวดหวังเยี่ยน เป็บุคคลสำคัญที่ไม่ได้เคี้ยวง่ายเลยอีกคน
“ข้ามีนามว่าไป๋อวี้ชิง ปีสี่ หัวหน้าหมวดหวังมีธุระ จึงให้ข้ามาประกาศรายชื่อทั้งสิบคนแทน” ไป๋อวี้ชิงกล่าวเสียงเรียบเฉยบนแท่นสูง “เมื่อศิษย์น้องได้ยินนามของตัวเองแล้ว จงออกมายังแท่นบรรยาย ให้ทุกคน...”
เพียงไม่กี่ประโยคหลุดรอดออกมา อุณหภูมิในห้องก็เหมือนลดฮวบไปสี่ห้าองศา
มีผู้ะโก้องออกมา
“ที่แท้นางก็คือไป๋อวี้ชิง!”
“เซียนหญิงอันดับหนึ่งแห่งสำนักกวางขาว!”
“เหมาะสมกับเนืองนามเลื่องระบือนัก!”
“ว่ากันว่าพลังของนางนั้นก็แข็งแกร่งที่สุดในสำนักกวางขาวเช่นกัน แค่มีเืเนื้อและร่างกาย ก็มีประตูคนใหญ่คนโตเปิดรับเข้าแล้ว ถ้าไม่เป็เพราะนางยืนหยัดที่จะจบการศึกษาทั้งสี่ปีของสำนักกวางขาวให้ได้ คงออกไปจากสำนักนานแล้ว!”
“สมแล้วที่เป็หญิงซึ่งทุกคนจับตามอง แต่ก็เ็าไปหน่อยนะ!”
เด็กไก่อ่อนเริ่มพูดคุยวิพากย์วิจารย์กัน
เ่ิูเพิ่งรู้เอาคราวนี้ ว่านารีที่เ็าเทียบชั้นน้ำแข็งเหน็บหนาวได้นางนี้มีชื่อเสียงมากมายในสำนัก
บนแท่นบรรยาย
“คนแรกคือ...” ไป๋อวี้ชิงหยุดลงครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยนามแรกอย่างไร้อารมณ์ใด “ฉินอู๋ซวง”
เสียงเงียบงันลง
เมื่อประกาศรายนามแรกนั้นเอง เขาผู้หล่อเหลางามสง่าใบหน้าเกลี้ยงเกลาก็ลุกขึ้นยืน ก้าวย่างเชื่องช้าตรงสู่แท่นบรรยาย
สีหน้าเขาเรียบสงบมิไหวติง มุมปากเผยรอยยิ้มอ่อนจาง ราวกับล่วงรู้ผลการเลือกนี้อยู่แล้ว ทว่าก็ไม่ปรากฏแม้เศษเสี้ยวของความพึงพอใจ
และเพื่อนนักเรียนรอบข้างก็หาได้มีอาการตระหนกแตกตื่นอะไรแต่อย่างใด
นี่คือหนึ่งในผลที่พวกเขาทำนายเอาไว้แล้ว คนชาติตระกูลสูง แถมยังมีผลสอบเข้าเป็อันดับหนึ่งอย่างฉินอู๋ซวง ถ้าไม่ได้เข้าเป็หนึ่งในสิบ คงไม่มีใครหน้าไหนมีคุณสมบัติพอจะได้รับเลือกแล้วล่ะ
“คนที่สอง...เยี่ยนสิงเทียน” ไป๋อวี้ชิงประกาศรายนามต่อไปติดต่อกัน
เด็กหนุ่มรูปร่างผอมแห้งลุกจากที่นั่งตัวเองแล้วเดินไปแท่นบรรยายช้าๆ
เ่ิูทอดสายตามองเยี่ยนสิงเทียน นี่ก็เป็ครั้งแรกเหมือนกันที่เขาได้พบกับยาจกคนยากที่ฝีมือเก่งกล้าในโลกภายนอก
เยี่ยนสิงเทียนน่าจะอายุอานามไม่เกินสิบเอ็ดสิบสอง รูปลักษณ์ออกจะประหลาดเสียเล็กน้อย โครงหน้าเขาเหลี่ยมสันชัดเจน คิ้วคมกริบปลายเฉียงขึ้นราวกับคนโมโห สองหูั์ใหญ่ ลาดไหล่กว้างขวาง แขนยาวกว่าคนทั่วไปมากนัก หากวางแนบกายลงมา ปลายนิ้วก็เกือบจะแตะหัวเข่าได้เลย
ยามยืนอยู่บนแท่น เยี่ยนสิงเทียนขมวดคิ้วน้อยๆ ดั่งมีเื่อะไรในใจ คนเงียบกริบขรึมเคร่งกันยกห้อง
นามนี้ก็ไม่มีใครกล้าโต้แย้งหรือเห็นต่าง
เยี่ยนสิงเทียนมีผลการสอบเป็อันดับสอง เหมาะสมแล้ว
แต่นามที่สามนี้ซิ ที่เริ่มจะเหนือจากการคาดคะเนของพวกเขาไปไม่น้อย
“ซ่งชิงหลัว!”
เด็กสาวดวงหน้าหมดจดผมดำจัดลุกขึ้นยืน เห็นกันชัดๆ ว่าตื่นเต้นยิ่งนัก แต่กลับพยายามข่มใจตัวเองไว้ สวมบทบาทเป็เดินขึ้นแท่นอย่างมั่นคง ก้าวเท้าฉับไวอย่างกับบิน นางเป็ทายาทรวยล้นฟ้าของเครือการค้าชิงหลัวแน่ๆ ผลทดสอบเข้าสำนักอยู่อันดับที่หก นับได้ว่าเป็อัจฉริยะเหมือนกัน
เสียงอื้ออึงแสดงความเห็นนานาเริ่มกลับมาอีกครั้ง
อันดับหกอย่างซ่งชิงหลัวยังถูกเรียกเป็ลำดับสาม นี่เป็สัญญาณโจ่งแจ้ง ว่าหวังเยี่ยนไม่ได้เลือกคนจากผลคะแนนสอบทั้งหมดเป็แน่ ทำเหล่าคนที่แรกทีเดียวคิดว่าตัวเองผ่านเป็หนึ่งในสิบได้ฉลุยชักหลุดความร้อนรนออกมาให้เห็น
นามต่อมา รังศิษย์ทุกผู้ตระหนกใกันเป็แถบ
“่เี่ิ” ไป๋อวี้ชิงกล่าวนามที่สี่
เ่ิูชะงักน้อยๆ สมองพลันผุดภาพของเด็กหญิงตัวเล็กน่ารักอ่อนเดียงสา ซึ่งพบกันโดยบังเอิญกลางทางเมื่อตอนเช้านี้เอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้