เื่ที่ครอบครัวสกุลหูซื้อหมูมาเชือดสองสามวันนี้ แพร่กระจายไปทั่วในหมู่บ้านนานแล้ว ชาวไร่ชาวนาที่อยากรู้อยากเห็นยังวิ่งมาท้ายหมู่บ้านเพื่อดูความคึกคักโดยเฉพาะอีกด้วย ตอนเห็นว่าอาหารหมักแขวนอยู่เต็มทั่วทั้งลานบ้านของครอบครัวเจินจู ต่างก็ประหลาดใจและพากันอิจฉา หลายคนทยอยกันมาสอบถาม
คำตอบของครอบครัวสกุลหูเป็แบบเดียวกันหมด เนื้อตากแห้งกับกุนเชียงล้วนเป็โรงเตี๊ยมสือหลี่เซียงในเมืองสั่งทำโดยเฉพาะ หลังจากผึ่งแดดดีแล้วจึงจะนำไปมอบให้ถึงสือหลี่เซียง
ส่วนคำถามเกี่ยวกับวิธีการทำและส่วนประกอบต่างๆ ของเนื้อตากแห้ง ครอบครัวสกุลหูต่างก็เพียงยิ้มแล้วไม่พูดอะไร หลบเลี่ยงไม่ตอบคำถาม แม้ชาวไร่ชาวนาจะคาดเดากันไปต่างๆ นานา ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถซักไซ้จนกระจ่างแจ้งได้
ไม่ว่าครอบครัวต่างๆ ในหมู่บ้านจะพากันพูดอย่างไร หรือชาวไร่ชาวนาลับหลังจะว่าร้ายอย่างไร แต่บรรยากาศของครอบครัวสกุลหูกลับเต็มไปด้วยความสุขและพอใจอย่างมาก
ผ่านไปไม่กี่วัน อาหารหมักทีละชุดๆ ก็ค่อยๆ ผึ่งแดดจนแห้งทั่วถึง เมื่อถึงเวลาที่ตากแดดจนใช้ได้แล้วจึงจะนำสินค้าไปส่งให้สือหลี่เซียง ตอนนั้นจะสามารถขายออกไปด้วยราคาเท่าตัว การค้าขายที่คุ้มค่าเช่นนี้จะไม่ทำให้คนหนึ่งครอบครัวดีใจะโโลดเต้นได้อย่างไร
แม้กระทั่งหวังซื่อก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังยิ้มขณะนอนหลับ กี่ปีแล้ว นางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งครอบครัวตนเองจะสามารถใช้ชีวิตดีขึ้นเช่นนี้ได้ บนตัวทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าใหม่ ทุกวันบนโต๊ะอาหารล้วนมีเนื้อสัตว์ทาน อาชีพที่บ้านเมื่อทำอย่างหนึ่งก็สามารถหาเงินได้มากกว่าอีกอย่างหนึ่งเสมอ เงินในหนึ่งเดือนที่หามาได้ยังมากกว่าทั้งสิบปีที่ผ่านมาอีก
นึกถึงสองปีก่อน ครอบครัวมีความเป็อยู่ผ่านไปอย่างยากลำบาก สองสามปีไม่เคยได้เย็บเสื้อผ้าใหม่สักชุด บนโต๊ะอาหารมีแต่ข้าวกล้องกับบะหมี่ดำทานวนเวียนกันไป พวกเด็กๆ แต่ละคนสวมเสื้อผ้ามีรอยปะชุน ใบหน้าซีดเหลืองร่างกายผอมซูบ ตลอดทั้งปีอาศัยการเพาะปลูกทำนาในที่ดินไม่กี่หมู่เป็หลัก แม้แต่ข้าวอีกนิดก็จะทานไม่อิ่มแล้ว
ปัจจุบันคิดขึ้นมา หวังซื่อยังค่อยข้างรู้สึกเ็ปใจอยู่มาก ผู้ใดจะรู้ได้ว่าสองสามเดือนสั้นๆ นี้ การเปลี่ยนแปลงของสกุลหูจะเปลี่ยนไปมาก แม้แต่นางเองยังไม่กล้าจะเชื่ออยู่เล็กน้อย
สาเหตุทั้งหมดนี่ เมื่อกล่าวขึ้นมาแล้ว ล้วนเป็โชคลาภทางการเงินที่ได้มาโดยหลานสาวเจินจู แม้เจินจูจะไม่ถือเป็ความดีความชอบของตนเอง แต่ในใจหวังซื่อรู้ชัดแจ้ง หลานสาวที่ฉลาดเฉลียวรู้เหตุรู้ผลของนางผู้นี้ เป็ต้นกำเนิดในการหารายได้ให้ครอบครัวสกุลหู
เช้าตรู่วันนี้ สีท้องฟ้าค่อนข้างปรากฏความมืดครึ้ม ูเาที่อยู่ห่างออกไปมีหมอกขมุกขมัว
ในลานบ้านเล็กๆ ของครอบครัวหู เสียงเรียนหนังสือดังขึ้น โรงเรียนเล็กหยุดมาหลายวันในที่สุดก็กลับมาเริ่มเรียนอีกครั้งแล้ว
หลายวันที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีใครที่จิตใจหดหู่ได้มากกว่าผิงอันอีกแล้ว เด็กคนนี้ตั้งใจอ่านหนังสืออยากรู้ตัวอักษรจริงๆ พอมีเวลาว่างก็จะวิ่งไปห้องของหลัวจิ่ง ฝึกเขียนตัวอักษรจีนและขอคำชี้แนะ
พอเข้าเรียน หลัวจิ่งให้เขียนตัวอักษรที่เรียนไปครั้งก่อนออกมา เจินจูหัวเราะอยู่ในใจ ดวงตากวาดผ่านไม่กี่คนในห้องโถง ผิงซุ่นเกาศีรษะ ขีดๆ ลบๆ อย่างงุนงง ชุ่ยจูตึงเครียดเล็กน้อยอย่างเงียบๆ ผิงอันขีดเขียนอย่างราบลื่นด้วยความมั่นใจและจริงจัง แหะแหะ… ส่วนนาง ขีดๆ เขียนๆ ตามใจอยู่ไม่กี่ทีก็เขียนเสร็จ กะด้วยสายตาว่าผิดไปสองสามตัวอักษร เจินจูเท้าคาง พิจารณาการเขียนตัวอักษรของตนเองที่ไม่มีการพัฒนาอย่างเซื่องซึม
สีหน้าและการกระทำของทั้งสี่คนอยู่ในสายตาหลัวจิ่ง บนใบหน้าเด็กหนุ่มที่ไร้ชีวิตชีวากลับมีรอยยิ้มเล็กน้อย ค้ำไม้เท้าอย่างชำนาญค่อยๆ เดินอ้อมไปดูทั้งสี่คนหนึ่งรอบ หลังจากนั้นวิจารณ์ตัวอักษรของพวกเขานิดหน่อย ผิงอันกับชุ่ยจูตัวหนังสือประณีตเรียบร้อยและสะอาด ได้รับการชมเชย ผิงซุ่นกับเจินจูลายมือไม่เรียบร้อยตัวอักษรก็เขียนผิดไม่น้อย ครั้งหน้าต้องแก้ไข
หลังจากนั้น ห้องเรียนเล็กก็เริ่มเข้าเรียนอย่างเป็ทางการ
ใบหน้ารูปงามของหลัวจิ่งพยายามรักษาใบหน้าที่จริงจังและน่าเกรงขามไว้ ท่าทางการสอนที่แข็งกระด้างและไม่เป็ธรรมชาติ การอ่านหนังสือและอธิบายให้รู้จักตัวอักษรใหม่ๆ เป็จังหวะการอ่านที่ล้วนอยู่บนจังหวะเดียวกัน เจินจูแอบหัวเราะในใจ แน่นอนว่าทั้งหมดนี่อยู่ในการคาดหมายของนางมาโดยตลอด เด็กผู้ชายอายุสิบเอ็ดสิบสองปีหนึ่งคนสามารถสอนได้เช่นนี้ก็ไม่เลวมากแล้ว
เวลาที่สบายอกสบายใจและเงียบเชียบมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังโรงเรียนเล็กเลิกเรียน ทุกคนล้วนเสพสุขกับวันเวลาผ่อนคลายที่หาได้ยาก
ชุ่ยจูไม่ได้รีบกลับไป หมูสองตัวของที่บ้านเก่าล้วนนำมาทำเป็อาหารหมักแล้ว ลดขั้นตอนการเคี่ยวต้มอาหารเลี้ยงหมูออกไป เวลาของชุ่ยจูจึงมีเหลือเฟือมากขึ้น การตั้งครรภ์ของเหลียงซื่อก็มั่นคงแล้ว ฟู่เหรินครอบครัวเกษตรกรแม้จะตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่อ่อนแอขนาดนั้น นอกจากงานที่หนักและเหนื่อยแล้ว คิดว่างานทั่วไปยังพอสามารถทำได้
หลี่ซื่อนั่งอยู่หน้าประตูห้องโถงกำลังเร่งทำกางเกงผ้านวมหนึ่งตัวขึ้น เป็ผ้าฝ้ายหยาบสีน้ำตาล พอมองก็รู้ทันทีว่ากางเกงขายาวตัวนี้ทำให้หูฉางกุ้ย ชุ่ยจูเข้าไปใกล้ข้างหน้ามองอย่างละเอียดพักหนึ่งจึงยิ้มขึ้น “อาสะใภ้รอง นี่เป็กางเกงที่เย็บให้ท่านอารองหรือ รอยปักเข็มของท่านปักได้ชิดกันมากจริงๆ ฝีมือเย็บปักถักร้อยของท่านทำได้สวยมากจริงๆ เ้าค่ะ”
หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้นมอง วันนี้ชุ่ยจูสวมเสื้อกันหนาวมีซับในตัวใหม่สีฟ้าทะเลสาบ ใบหน้าเล็กงดงามมีรอยยิ้มหวานๆ เด็กสาวอายุสิบสองมีบุคลิกท่าทางของสาววัยรุ่นแล้ว หลี่ซื่ออมยิ้มที่มุมปาก มองนางแล้วกล่าวอย่างรักใคร่เอ็นดู “งานเย็บปักถักร้อยของชุ่ยจูก็สวยมากเลย ได้ยินท่านย่าของเ้ากล่าวว่า เ้าเริ่มเย็บเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมดด้วยตัวเองแล้ว มีฝีมือสูงเชียวนะ!”
“แหะๆ…” ชุ่ยจูก้มหน้ากระดากอายและรู้สึกเขินเล็กน้อย “แค่ทำชุดข้างใน ข้ายังทำไม่เสร็จเลยเ้าค่ะ”
“นั่นก็ดีมากแล้ว ไม่เหมือนเจินจูของข้า ตอนนี้แม้แต่เข็มยังจับได้ไม่ดีเลย” หลี่ซื่อยิ้มแล้วมองไปทางเจินจูที่อยู่ด้านข้าง
เจินจูถอนหายใจอย่างจนปัญญา นางนี่ซวยนัก [1]
“อาสะใภ้รอง แต่เจินจูฉลาดนะเ้าคะ จะทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็ได้อย่างไรกัน นั่นเป็เพราะนางไม่ชอบก็เลยแอบี้เีกระมัง ท่านดูนางทำงานอย่างอื่นก็เก่งกาจมากนะเ้าคะ” ชุ่ยจูมองเจินจูที่ไม่รู้จะทำหน้าเช่นไรแล้วปิดปากแอบหัวเราะ
“ที่ผ่านมาเด็กผู้หญิงต้องเรียนงานฝีมือเย็บปักถักร้อย ไม่เช่นนั้นต่อไปผู้ใดจะทำเสื้อผ้าให้นาง” หลี่ซื่อเหลือบมองบุตรสาวอย่างตำหนิเล็กน้อย
เจินจูทำหน้ามุ่ยไม่กล่าวอะไร ที่จริงแล้วนางไม่สนใจงานเย็บปักถักร้อยที่ต้องใช้ความอดทนและความละเอียดรอบคอบนัก ส่วนเสื้อผ้าน่ะหรือ นางขยันหาเงินเช่นนี้เพื่ออะไรกันเล่า? มีเงินแล้วยังจะกลัวว่าไม่มีเสื้อผ้าใหม่สวมอีกหรือ
“เจินจูยังเด็กอยู่เลยเ้าค่ะ ผ่านไปสองสามปีนางย่อมทำได้แน่” ชุ่ยจูยิ้มแล้วกล่าว
“หวังว่าจะเป็เช่นนั้นเถิด” มองเจินจูที่ทำหน้ามุ่ยเล็กๆ ขึ้น หลี่ซื่อก็ส่ายหน้าขบขัน
ผิงซุ่นกับผิงอันวิ่งสะเปะสะปะเล่นลูกหนังกลมๆ ที่ทำจากกระเพาะปัสสาวะหมูอยู่ทั่วลานบ้าน ระหว่างนั้นยังมีเสี่ยวหวงที่ประสมโรงเห่าวุ่นวาย “บ๊อก บ๊อก” ตามอยู่ข้างหลัง
เจินจูขมวดคิ้ว แม้แต่คนและสุนัขก็ถูกไล่ออกจากลานบ้าน ให้พวกเขาย้ายไปเล่นที่กว้างนอกลานบ้าน ในลานบ้านล้วนตากอาหารหมักอยู่เต็มไปหมด พอเล่นไม่ระวังชนล้มเข้า ก็ต้องจัดการเก็บกวาดกันอีกพักหนึ่งเลย
อากาศวันนี้ครึ้มฝน ก้อนเมฆจับตัวเป็ชั้นหนา ดูแล้วเหมือนว่าอากาศกำลังจะเปลี่ยน
หลังผ่านอาหารกลางวันไปแล้ว เจินจูกำลังคิดจะแอบเข้าไปในกระท่อมกระต่ายเพื่อสำรวจดูสักรอบ แต่นอกลานบ้านกลับสะท้อนเสียงรถม้าเข้ามา
“นี่เป็ผู้ใดมาอีกแล้วนี่?” เจินจูหมุนกาย แล้วมองออกไปทางประตูลานบ้านอย่างกลุ้มอกกลุ้มใจ
รถม้าสีดำหนึ่งคันที่ดูคุ้นตา ค่อยๆ เข้ามาใกล้ในสายตาของนาง จนกระทั่งม้าปราดเปรียวแข็งแรงรูปร่างสูงใหญ่ค่อยๆ หยุดลง ประหนึ่งได้รับการฝึกมาอย่างเข้มงวด เฉิงเผิงเฟยบังคับรถม้าอย่างชำนาญนั่งอยู่บนลำเกวียนข้างหนึ่งแล้วดึงเชือกม้าขึ้น ส่วนหลิวผิงที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งยิ้มแล้วโบกมือมาทางนาง
เป็ไปไม่ได้กระมัง? เกวียนนี้? หรือว่าคนป่วยกระเสาะกระแสะผู้นั้นก็มาด้วย? เจินจูยิ้มไม่ออกเล็กน้อย
เป็ไปดังที่คิด หลังหลิวผิงะโลงจากเกวียนก็ดึงประตูเกวียนให้เปิดออกด้วยความระมัดระวัง “คุณชาย ถึงบ้านแม่นางสกุลหูแล้วขอรับ”
“…”
น้องสาวเ้าสิ ไม่ใช่ว่าป่วยจนเอาแต่กระอักโลหิตหรือ เหตุใดไม่อยู่บ้านพักผ่อนอย่างสงบ ว่างแล้ววิ่งออกมาถึงเขตูเาที่อยู่ห่างไกลความเจริญนี่ทำอะไร? เจินจูพยายามอดทนที่จะไม่มองบน
กู้ฉีจับมือของหลิวผิงลงจากรถม้า แม้เป็เด็กวัยเยาว์ร่างกายอ่อนแอขี้โรคขาวซีดคนหนึ่ง แต่อากัปกิริยากลับทรงพลังและร่างกายสูงเพรียว เสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกไหมสลักดวงจันทร์ขาว ขับให้ทั้งร่างสูงส่งสง่างาม
เจินจูแอบดุนลิ้นเงียบๆ อย่างใช้ความคิด... บางคนราวกับว่าเกิดมาก็พกฐานะสูงส่งและนิสัยเฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใครมาด้วย ไม่ว่าจะปรากฏอยู่ที่ใด ล้วนดึงดูดสายตาคนให้หยุดอยู่เช่นนั้น
แน่นอน ทั้งหมดนี่ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง นางเป็แค่สามัญชนเช่นนี้ จะสูงส่งงดงามอะไรล้วนไม่เกี่ยวกับนางเลยสักนิด บุคลิกของกู้อู่หรือชนชั้นตระกูลขุนนางส่วนใหญ่นั้น ชนชั้นสามัญชนเช่นนางขอชื่นชมอยู่ไกลๆ ก็พอ
สายตาหลี่ซื่อกับชุ่ยจูที่อยู่ภายในลานบ้านมองด้วยความตกตะลึงและอิจฉากับชื่นชมระคนกัน
กู้ฉียืนนิ่ง สายตาทอประกายออกมา หน้าบ้านที่เรียบง่ายทำอย่างเรียบๆ และหยาบ กายบอบบางเล็กยืนอยู่ข้างๆ บนใบหน้าเล็กขาวละเอียดนั่นไม่มีสีหน้าท่าทางยินดีต้อนรับใดๆ เพียงดวงตาสองข้างสีดำขลับจ้องมองตาโต ในตาทอความประหลาดใจและมีคำถามว่า... เขามาได้อย่างไร
ฮ่าๆ… กู้ฉีกลั้นความขบขำไว้ในใจ ก้าวอย่างเชื่องช้าไปข้างหน้า
“แม่นางหู พวกข้ามารบกวนเ้าอีกแล้ว!” หลิวผิงหัวเราะเสียงดัง ถือเตาทองเหลืองเล็กๆ ฝีมือประณีตและงดงามหนึ่งลูกออกมาจากรถม้าสำหรับใช้อังมือให้อุ่น เดินมาข้างกายกู้ฉีแล้วยื่นส่งไปให้เขา หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินมาข้างหน้าดึงประตูลานบ้านเปิดออกให้กู้ฉี
“โอ้ ทักทายเ้าของร้านหลิวเ้าค่ะ” เจินจูก้าวไปด้วยฝีเท้าไม่เต็มใจนัก แล้วเผยใบหน้ายิ้มเดินเข้าไปต้อนรับข้างหน้า “พี่ชายกู้อู่ ทำไมท่านยังวิ่งมาถึงหมู่บ้านพวกเราเล่า ถนนของพวกเราทางนี้ไม่ค่อยราบเรียบนัก วันนี้อากาศก็ไม่ค่อยดีเท่าไร ระวังอย่าป่วยอีกนะ”
“ขอบคุณความห่วงใยของน้องสาวเจินจู ระยะนี้พี่ชายกู้อู่สุขภาพดีขึ้นมากแล้ว นี่ยังต้องขอบคุณครอบครัวเ้ามากจึงจะถูก” กู้ฉีเสียงเย็นฉ่ำ มุมปากยกรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
“ขอบคุณครอบครัวข้าทำไมกัน ครอบครัวข้าเลี้ยงกระต่ายเลี้ยงไก่ไว้ไม่ใช่ว่าเพื่อขายแลกเงินหรือ ขายให้ผู้ใดก็เหมือนกัน” เจินจูเบะปากเล็กน้อย โบกมืออย่างไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด
กู้ฉีกลับยิ้มอย่างอ่อนโยน สายตาที่มองไปยังนางมีความรักลุ่มหลงอย่างไม่ชัดเจน
“…” เจินจูหางตากระตุก นางจะต้องสายตามีปัญหาแน่ๆ ที่สามารถมองเห็นลักษณะท่าทางแปลกประหลาด เหมือนการแสดงความรักมาจากแววตาของเด็กหนุ่มที่ป่วยอ่อนแอคนหนึ่ง
“คุณชายขอรับ!” เมื่อเฉินเผิงเฟยผูกรถม้าเรียบร้อยก็ประคองของขวัญหนึ่งกองลงมาจากรถม้า เดินอ้อมอาหารหมักที่เต็มทั่วลานบ้านเข้ามาอย่างระมัดระวัง
“แค่ก” ผู้มาเป็แขก จะไม่ยินดีได้อย่างไร เจินจูนำทางทั้งสามคนเข้ามายังลานบ้าน “เอ่อ… นี่เป็ท่านแม่ของข้าเองกับพี่สาวคนรอง”
“ท่านแม่ พี่รอง นี่เป็พี่ชายกู้อู่ของร้านฝูอันถัง นั่นเป็เ้าของร้านหลิวกับองครักษ์เฉินเ้าค่ะ”
แม้บนใบหน้าหลี่ซื่อจะมีความลุกลี้ลุกลนอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง แต่ใจเย็นเงียบขรึมลงได้อย่างรวดเร็ว ก้มตัวทักทายอย่างเรียบร้อย ชุ่ยจูจึงทำตามอย่างสับสนมึนงงหนึ่งครั้ง
“ทักทายฮูหยินสกุลหู” กู้ฉีแสดงคารวะตอบทันทีทันใด “บุ่มบ่ามมาเยี่ยม ได้โปรดให้อภัยด้วย” ทันทีหลังจากนั้น ให้เฉินเผิงเฟยยื่นกล่องของขวัญส่งไปให้
ฮูหยิน? เจินจูกลั้นหัวเราะ แล้วรับกล่องของขวัญมา อยู่ในหมู่บ้านูเาเล็กๆ อันไกลโพ้นเช่นนี้ เกรงว่าจะมีเพียงกู้อู่เท่านั้นกระมังที่เรียกมารดาของนางเช่นนี้
หลังทักทายผ่านไปแล้ว หลี่ซื่อก็อ้างว่าจะไปต้มน้ำแล้วถือโอกาสหลบอยู่ในห้องครัว ชุ่ยจูก็ก้มศีรษะลงและเดินตามไป
เฮ้อ… บุคคลใหญ่โตมาที่บ้าน แต่ละคนล้วนหลบเลี่ยงออกไปอย่างไม่สบายใจ นางก็ไม่อยากดูแลพวกเขาหรอกนะ เจินจูเบะปากอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาออกมา เหตุการณ์เช่นนี้เหมือนมีเ้านายเข้ามาตรวจสอบก็ไม่ปาน ยังต้องอยู่เป็เพื่อนและแสดงรอยยิ้ม ทำใบหน้าท่าทางแสร้งว่าร่าเริงมีความสุขจนกว่าจะกล่าวคำอำลาและกลับไป
“พี่ชายกู้อู่ ท่านนั่งพักก่อน ที่บ้านสภาพไม่เรียบร้อยนัก ดูแลไม่ทั่วถึงโปรดให้อภัยด้วย” เจินจูเชิญพวกเขาเข้ามาในห้องโถง แล้วกล่าวอย่างมีมารยาท
“ไม่หรอก เป็พวกข้าที่บุ่มบ่ามมารบกวน น้องสาวเจินจูอย่าได้ตำหนิ” กู้ฉีก็มองออกว่าการมาถึงของตนเองทำให้ทั้งครอบครัวต่างไม่ค่อยสบายใจนัก เลยทำได้เพียงยิ้มแล้วแสดงความรู้สึกผิด
“แหะๆ…” รู้ว่ารบกวนแล้วยังจะมา เจินจูวิจารณ์อยู่ในใจ หัวเราะแห้งๆ ไม่กี่เสียง แล้วหันไปถามเ้าของร้านหลิว “วันนี้ท่านมาลากหมูหรือ?”
เชิงอรรถ
[1] ซวยนัก หรือ 躺枪 มาจาก 躺着也中枪 ซึ่งเป็สแลงมีความหมายว่า อยู่เฉยๆ ก็โดนลากเข้าไปเกี่ยวข้อง มาจากภาพยนตร์ คนเล็กนักเรียนโต