“ไอ้เวรจูฉวนนั่นน่ะหรือ? เฮอะ เขาจะตีเ้าาเ็ได้อย่างไร? แม้แต่ข้าก็ยังสู้ไม่ชนะ เพียงเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอายุสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น” เลี่ยวจือหย่วนส่ายศีรษะปฏิเสธทันที
ลู่เจียงเป่ยเอ่ยจริงจัง “ไม่ว่าคนที่ตีข้าเมื่อวานจะเป็เขาหรือไม่ แต่ข้ามั่นใจว่าจูฉวนมีพร์ด้านวรยุทธ์แต่กำเนิด ทั้งยังซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนไว้ เ้าว่าเขาเอาชนะเ้าไม่ได้ ข้าอยากบอกเ้าว่าหากเป็สามปีก่อน ไม่แน่เขาอาจเอาชนะเ้าได้”
เลี่ยวจือหย่วนยังคงมีสีหน้าไม่เชื่อ ดั่งประโยค ‘สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น’ ตอนฝึกวรยุทธ์ในสำนักซีเป่ยตอนเหนือ เขาเอาชนะจูฉวนได้ทุกครั้ง หลังจบการประลอง อีกฝ่ายยังชื่นชมวรยุทธ์ของเขาว่าเก่งกาจยิ่งนัก ทั้งยังเคยเลี้ยงเหล้าอีกด้วย
ลู่เจียงเป่ยพยายามอดทนไม่กระอักเืพลางเอ่ย “ข้ารู้เพียงคนที่ต่อสู้กับข้าเป็เก๋อจู่หออู่อิง เด็กหนุ่มอายุไม่เกินสิบแปดปี ทักษะวรยุทธ์ประหลาดยิ่งนัก แตกต่างจากวรยุทธ์สำนักใหญ่หลายสำนัก อาวุธที่ใช้คือดาบใบหลิว ทว่ามันไม่ใช่อาวุธที่เขาชำนาญ เพียงเพื่อไม่ให้ฐานะถูกเปิดเผย เขาจึงตั้งใจเปลี่ยนอาวุธ มิเช่นนั้นข้าคงไม่สามารถโจมตีกำลังภายในของเขาได้ภายในหนึ่งร้อยกระบวนท่า การออกกระบวนท่าของเขาเรียบง่ายและว่องไว สังหารศัตรูได้ง่ายดาย เ้าแมวป่า ฟังข้าให้ดี วันหน้าหากเ้าเผชิญหน้ากับคนผู้นี้ตามลำพัง อย่าเอ่ยสิ่งใด หนีให้เร็วที่สุด”
เลี่ยวจือหย่วนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่มั่นใจ ยิ่งเห็นท่าทางไร้เรี่ยวแรงของลู่เจียงเป่ย เขาจึงไม่สามารถกล่าวคำสวยงามเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถทำลายความน่าเกรงขามของเขาได้
การแต่งตัวและการพูดจาของหัวหน้าลู่เจียงเป่ยเปรียบเสมือนคนเซ่อซ่าขี้โรค ศัตรูที่เผชิญหน้าเขาครั้งแรกมักคิดว่าเขาอ่อนแอดั่งขากุ้ง ทว่าหลังต่อสู้ก็รู้ว่าตนคิดผิด เ้าคนขี้โรคผู้นี้ไม่เพียง ''ไม่อ่อนแอ'' แต่กลับ ''แข็งแกร่ง'' ยิ่งนัก ต่อให้คนแข็งแกร่งที่สุดต่อสู้กับเขาก็ยังต้องแหลกสลายเป็ผุยผง ในบรรดาหน่วยองครักษ์ นอกจากยอดฝีมือาุโที่ซ่อนตัวเื้ัเมื่อสิบปีก่อน วรยุทธ์ของลู่เจียงเป่ยนั้นยอดเยี่ยมที่สุด เรียกว่าเป็ ''บุรุษหนุ่มคนแรกแห่งหน่วยองครักษ์จิ่นอีเว่ย'' ยามว่างพวกเขามักจัดประลองฝีมืออย่างไม่เป็ทางการ ครั้งหนึ่งเกาเจวี๋ยเคยต่อสู้กับลู่เจียงเป่ย ผลการประลองคือเกาเจวี๋ยแพ้เจ็ดในสิบ ลู่เจียงเป่ยเอาชนะเกาเจวี๋ยขาดลอย
“ก่อนหน้านี้ เกาเจวี๋ยเคยถามข้าว่ามีเบาะแสเกี่ยวกับเก๋อจู่หออู่อิงหรือไม่ ทว่าข้ากลับปิดบังเื่นี้กับเขา แมวป่า เ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงไม่บอก?” ลู่เจียงเป่ยปรายตามองเลี่ยวจือหย่วน
เลี่ยวจือหย่วนไตร่ตรองอย่างจริงจัง ก่อนพยักพลางตอบ “เพราะตอนนี้พวกเ้ากลายเป็ศัตรูหัวใจกันแล้ว เ้ากลัวว่าเขาจะเห็นความอึดอัดของเ้าจึงแสร้งเ็า”
แม้ลู่เจียงเป่ยจะไม่เอ่ยโต้แย้งเพียงเพราะ้าประหยัดแรง แต่ในใจกลับเก็บอีกฝ่ายใส่บัญชีดำเรียบร้อยแล้ว
ลู่เจียงเป่ยทอดตามองหาดทราย ทบทวนความจำพร้อมกล่าว “ตอนนั้นข้ากับเขาตีกันรุนแรงถึงสามครั้ง ไม่รู้ผลแพ้ชนะ แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังภายในของเขาแข็งแกร่งกว่าข้า สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือวิชาตัวเบาของเขาแทบเหมือนเกาเจวี๋ย ทำให้ศัตรูเกิดความสับสนในเวลาอันสั้น เปลี่ยนกลอุบายได้ต่อเนื่องในเวลาไม่นาน การเคลื่อนไหวของเขาคล้ายเชื่องช้าสุดขีด ทว่าความจริงกลับรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด สามารถหลอกศัตรูฝั่งตรงข้ามได้ ทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด โชคดีที่ข้าทำงานใกล้ชิดเกาเจวี๋ยมาหลายปีจึงคุ้นเคยทักษะเช่นนี้ มิเช่นนั้นอาจหลงกลแล้วถูกสังหารก็เป็ได้”
เลี่ยวจือหย่วนเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “กำลังภายในของเกาเจวี๋ยคือตุ้นชู่ เขาฝึกวิชาลับนี้จากญี่ปุ่น แม้พวกเราตั้งใจเรียนรู้จากมือทั้งสองของเขาก็เป็ได้เพียงคนนอกที่อยากเรียนรู้เท่านั้น เมื่อเ้าบอกว่าเก๋อจู่ของหออู่อิงมีวิชาตุ้นชู่แบบเดียวกัน หรือเขาเป็คนญี่ปุ่น?”
ลู่เจียงเป่ยส่ายศีรษะ “หากเป็คนดินแดนอื่น เหตุใดจึงต้องเปลี่ยนใช้อาวุธที่ตนไม่ถนัดเพื่อปิดบังฐานะตนเองเล่า? เมื่อปะติดปะต่อกันหลายครั้ง ข้ากล้ายืนยันว่าชายหนุ่มผู้นั้นคือคนที่เ้าและข้ารู้จักและเคยติดต่อมากกว่าหนึ่งครั้ง ข้าไม่บอกเกาเจวี๋ยเพราะคนที่ข้าสงสัยคือจูฉวนหรืออ๋องหนิง เขาคือโอรสที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด หากไม่มีหลักฐานมากพอก็ไม่สามารถกล่าวหาและตรวจสอบกำลังภายในของเขาได้ โดยเฉพาะเกาเจวี๋ย เื่นี้เ้าต้องเป็คนบอกเขา”
เลี่ยวจือหย่วนลูบคางพลางขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จูฉวนผู้นั้นเพิ่งเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็อ๋องหนิงเมื่อเดือนสาม ฮ่องเต้มอบภารกิจสำคัญให้แก่เขาโดยส่งตัวเขาไปเมืองต้าหนิงเพื่อป้องกันแนวชายแดนกับพวกมองโกล แม้เขาจะเชี่ยวชาญเื่ซ่อนตัว แต่เหตุใดจึงต้องสร้างหออู่อิงเพื่อเป็ปรปักษ์กับหอฉางเยี่ยของฮ่องเต้ด้วยเล่า?”
ลู่เจียงเป่ยคล้ายจะเอ่ยบางอย่างทว่ากลับเปลี่ยนใจ เขาเพียงเอ่ยว่า “พวกเราละเลยเื่นี้ชั่วคราวก่อนได้ ข้ารู้เพียงมีผู้อายุน้อยกว่าข้าสิบปีไม่เกินห้าคนที่วรยุทธ์เทียบเคียงข้า จูฉวนเป็หนึ่งในนั้น คืนวานหลังข้ากลับมา ข้าให้คนรีบไปที่เมืองต้าหนิงเพื่อดูว่าอ๋องหนิงอยู่หรือไม่ เก๋อจู่แห่งหออู่อิงได้รับาเ็สาหัสกว่าข้า เขาคงไม่สามารถอดทนนั่งรถม้าเป็เวลานานได้ วันที่ยี่สิบสองเป็การซ้อมรบที่สนามฝึกในต้าหนิง หากอ๋องหนิงปรากฏตัวก็หมายความว่าเขาไม่ใช่คนที่ข้าสงสัย แต่หากไม่มีวี่แววก็นำเื่นี้ทูลฝ่าาได้ แนะให้เรียกตัวอ๋องหนิงกลับมาเพื่อสังเกตพฤติกรรมสักระยะ”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” เลี่ยวจือหย่วนพยักหน้า ก่อนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “หัวหน้า เ้าพบกำลังภายในที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเปรียบของจูฉวนตอนไหน? เมื่อก่อนไม่เคยได้ยินเ้าเอ่ยถึง เ้าเด็กจูฉวนผู้นั้นมักอ่อนแอขี้โรคต่อหน้าข้าเสมอ ทั้งยังเสเพลเล่นไปทั่ว เขาจะเปิดเผยตัวตนต่อหน้าเ้าได้อย่างไร?
“ตอนหยางเฟยสิ้นพระชนม์เมื่อสองปีก่อน ข้ากับเสี่ยวต้วนเห็นด้วยตาตัวเอง”
“หยางเฟย พระมารดาของจูฉวนน่ะหรือ?”
“ใช่ ตอนนั้นเ้าและเกาเจวี๋ยยังอยู่ที่ก่วงซีจึงไม่รู้เื่” ลู่เจียงเป่ยถอนหายใจแล้วเอ่ย “ข้ากับเสี่ยวต้วนกลับเมืองหลวงเพื่อรายงานความคืบหน้า ขณะถึงเมืองหลวงก็ได้ยินข่าวจากวังหลวงว่าฮ่องเต้ทรงกริ้วด้วยเหตุผลบางประการจึงบั่นคอและควักหัวใจหยางเฟย ฝังศีรษะไว้ข้างประตูวังฝั่งตะวันออก ฝังหัวใจที่ประตูวังฝั่งตะวันตก ร่างของนางถูกแขวนบนเสาธงนอกประตูไท่ผิงโดยมีองครักษ์เฝ้า พร้อมสั่งว่าหากแร้งจิกกินเนื้อจนเหลือเพียงกระดูก ให้นำกระดูกฝังที่หลุมฝังศพอย่างลวก ๆ ”
เลี่ยวจือหย่วนได้ยินดังนั้นก็สงสัยทันที หลายปีที่ผ่านมาอาการโมโหร้ายของฮ่องเต้เพิ่มขึ้นตามอายุ นับวันอารมณ์ก็ยิ่งแปรปรวน เขามักจะระบายอารมณ์ใส่เหล่าพระชายาและพระสนมในวังหลัง แม้แต่พระมารดาของเหล่าองค์ชายก็ไม่เว้น
ในตำหนักเฉียนอู่ ปีหงอู่ที่ยี่สิบสาม หลี่เสียนเฟยพระมารดาของอ๋องถัง กวาหนิงเฟยพระมารดาของอ๋องลู่ เก๋อหู่เฟยพระมารดาของอ๋องอี้ ทั้งสามทำให้ฮ่องเต้ทรงบันดาลโทสะด้วยเหตุผลบางประการ หลี่เสียนเฟยถูกฮ่องเต้ใช้หยกทับกระดาษบนโต๊ะทรงงานทุบศีรษะแหลกกว่าครึ่ง กวาหนิงเฟยและเก๋อหู่เฟยใหน้าถอดสี พวกนางแอบซ่อนตัวภายในตำหนัก ฮ่องเต้จึงถือโอกาสนี้ปิดประตู เมื่อทำสิ่งใดต้องทำให้ถึงที่สุด เขาโน้มตัวเก็บปากแตรสีทองเพื่อเล่นซ่อนหากับพวกนาง ผ่านไปครู่หนึ่ง องครักษ์นอกตำหนักได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังจากด้านใน ประตูพลันถูกเปิดทันที ฮ่องเต้ออกมาสั่งการองครักษ์ให้นำตะกร้าไม้ไผ่ใบที่ใหญ่ที่สุดมา กล่าวจบก็ถอยกลับเข้าตำหนักพร้อมปิดประตู
ด้วยเหตุนี้จึงมีขันทีวิ่งไปที่โรงครัวแล้วพบตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ เมื่อฮ่องเต้อนุญาตให้เข้า เขาก็ผลักประตูใหญ่เข้าไปอย่างระมัดระวังพร้ะกร้าไม้ไผ่ ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฮ่องเต้เดินหาวออกมาพร้อมบอกว่าอยากเสวยปลาดิบและเนื้อแกะย่าง ให้ข้ารับใช้รีบไปเตรียมอาหารที่ห้องเครื่อง พลางชี้นิ้วไปยังกลางพระตำหนักเฉียนอู่ บอกให้องครักษ์นำตะกร้าไม้ไผ่ใบนั้นไปฝังนอกประตูไท่ผิง เหล่าองครักษ์จึงต้องทำตามคำสั่ง นำตะกร้าไม้ไผ่ที่ด้านใดถูกคลุมด้วยผ้าสีดำไปฝัง นับแต่นั้นมา หลี่เสียนเฟย กวาหนิงเฟยและเก๋อหู่เฟยก็หายไปจากวังหลัง
ครึ่งเดือนต่อมา ด้วยมีข่าวดีจากชายแดนบ่อยครั้ง ฮ่องเต้จึงอารมณ์ดีไม่น้อย พลางตรัสด้วยความเศร้าพระทัยว่าคิดถึงเหล่าพระชายาที่เคยอยู่กับเขามาหลายปี ทั้งยังช่วยเลี้ยงดูองค์ชายทั้งสาม พวกนางสร้างคุณูปการแก่แผ่นดินมากมาย ฮ่องเต้จึงประทานป้ายหลุมศพให้แก่พวกนาง สั่งให้คนไปขุดตะกร้าไม้ไผ่นอกประตูไท่ผิงเพื่อนำร่างของพวกนางใส่โลงศพแกะสลักอย่างดี เหล่าขันทีขุดตะกร้าขึ้นมาตามคำสั่ง เมื่อเปิดผ้าคลุมสีดำออกก็พบว่าเป็ซากศพสามศพที่เน่าเฟะจนแยกไม่ออกว่าใครเป็ใคร พวกเขาทำได้เพียงสุ่มจากเครื่องแต่งกายและปิ่นปักผม ทำงานให้เสร็จไปอย่างลวก ๆ
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในวังหลวงสองครั้ง เลี่ยวจือหย่วนคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก เหตุใดเหล่าขุนนางยังยอมส่งบุตรีของตนเข้าวัง ทั้งที่เคยได้ยินเื่เช่นนี้มาก่อน พวกเขาคิดอะไรอยู่?
คิ้วทั้งสองของลู่เจียงเป่ยขมวดเป็ปม ส่ายศีรษะพลางเอ่ย “วังหลวงและวังหลังมีสายสัมพันธ์มากมายนับพันนับหมื่นเส้น ดูผิวเผินอาจเป็เพียงฮ่องเต้ทรงบันดาลโทสะชั่วขณะจึงสังหารพระชายาจำนวนหนึ่ง แต่ในทางกลับกันมันมีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น ทุกขั้วต่างแย่งชิงอำนาจ หยางเฟยเป็เพียงก้อนหินบริสุทธิ์ที่ถูกโยนถามทาง ตอนนางมีชีวิตก็ไม่มีครอบครัวสกุลเดิมหนุนหลัง เมื่อตายไปจะมีใครฝังร่างให้นางเล่า?”
เลี่ยวจือหย่วนเอ่ยเห็นด้วยทันที “นอกจากสนมระดับล่างที่ไม่มีทายาทสืบราชวงศ์เ่าั้ หยางเฟยคือหนึ่งในพระชายาที่ได้รับการสนับสนุนน้อยที่สุด ข้าได้ยินว่านางเป็สตรีชาวบ้านที่ฮ่องเต้นำกลับวังหลวง”
“ตอนนั้นจูฉวนโอรสของนางมีอายุเพียงสิบสามชันษา เขาอาศัยในตำหนักร่วมกับองค์ชายคนอื่น ๆ ที่วังหลังฝั่งตะวันออก เริ่มแรกแทบไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ฮ่องเต้บอกว่าเขาเป็บุรุษที่บอบบางกว่าสตรี ในอนาคตเกรงว่าจะเป็เพียงคนไร้ค่า ผ่านไปไม่กี่ปี ความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ของเขาก็โดดเด่นขึ้นจนได้รับความสนใจและความโปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่เป็เพราะเขาไม่มีมารดาปกป้องจึงถูกองค์ชายคนอื่นละเลย” ลู่เจียงเป่ยถอนหายใจพลางเอ่ยต่อ “ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น แม้แต่จะปกป้องตัวเองก็ยังทำไม่ได้ ทว่าเขากลับกล้าวิ่งไปเก็บศพพระมารดาของตน นับว่าเป็เื่ยากมากสำหรับเขา”
“หืม? เขาฝ่าฝืนคำสั่งฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่โกรธหรือ?” เลี่ยวจือหย่วนคิดไม่ถึงว่าเื่ใหญ่เช่นนี้เคยเกิดขึ้นในวังหลวง เขาเรียกตัวเองว่า ''ผู้หยั่งรู้ทุกเื่ในเมืองหลวง'' ทว่ากลับไม่เคยรู้เื่นี้มาก่อน
ริมฝีปากของลู่เจียงเป่ยคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ เขาเอ่ยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ไม่รู้ว่าเขาวางแผนเ้าเล่ห์ถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ ภายหลังจึงไม่มีใครนำเื่ศพของหยางเฟยที่หายสาบสูญเชื่อมโยงกับเขา เวลานั้นข้ากับเสี่ยวต้วนบังเอิญเห็นด้วยตาตัวเองที่นอกประตูเทียนผิง แม้จะคิดว่าแปลกแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ จากนั้นสิบวัน ยอดฝีมือที่เคยเฝ้าศพของหยางเฟยสองสามคนก็เสียชีวิตอย่างน่าสงสัย ศีรษะของพวกเขาหายไป ข้ากับเสี่ยวต้วนคิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้น จึงสงสัยว่าเด็กเลี้ยงแกะผู้นั้นจะเป็จูฉวนที่ปลอมตัวมา... ข้าสงสัยเขาที่สูญเสียพระมารดาั้แ่อายุยังน้อย ข้ากับเสี่ยวต้วนจึงตัดสินใจปิดบังเื่นี้เพื่อเขา”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้