ผมยาวสีดอกเลานั้นถูกมัดขึ้นครึ่งศีรษะด้วยผ้าสีเทา อีกครึ่งหนึ่งปล่อยยาวสยาย
หน้าผากมีไรผมเรียงเส้นเรียบร้อยดุจหญิงงาม
ใบหน้าดูอารี
ผู้เป็เ้าของใบหน้านี้คือราชครู
ใบหน้านี้ยามยังเป็หนุ่มจะต้องรูปงามมากเป็แน่
บัดนี้ใบหน้านี้ยามเอ่ยบทสนทนา ริ้วรอยบนหน้าผากสามเส้นก็จะชัดขึ้นมาเช่นกัน
ยามได้ยินเด็กหญิงถามเื่องค์หญิง
เขาก็สะบัดหน้าอย่างหนักแน่น “ไม่เคยเจอ”
ต่อมาก็เห็นเ้าเด็กปีศาจทำหน้าใจนอ้าปากค้าง
“ท่านอาจารย์ ท่านเคยเจอองค์หญิงจริงหรือ”
ราชครูพลันทำหน้ากลัดกลุ้ม ก็เขาเพิ่งบอกไปแท้ๆ ว่าไม่เคยเจอ
เด็กหญิงนั้นจึงคลอนศีรษะไปมาพร้อมกับอธิบาย “พี่ชายบอกว่าใบหน้าของมนุษย์ทุกคนล้วนสื่อสารได้ เมื่อครู่ที่ท่านอาจารย์บอกว่าไม่เคยเจอองค์หญิง ริ้วรอยสามเส้นที่เห็นกันอยู่ทุกวันได้กลายเป็สี่เส้น คิ้วขวาก็เลิกสูงขึ้น มุมปากก็คว่ำลงเล็กน้อย อีกทั้งมือของท่านก็กระตุกขึ้นมา จริงๆ ก็ยังมีอีกมาก ทว่าอย่างไรเสียเมื่อครู่ท่านต้องกำลังพูดปดอยู่ไม่ผิดแน่”
ราชครูบัดนี้แทบจะเป็ใบ้ไปแล้ว
เขารู้ว่าคือพี่ชายของเ้าเด็กปีศาจคนใด ย่อมต้องเป็เ้าเด็กหนุ่มปราบพยัคฆ์คนนั้นอยู่แล้ว กระเป๋าหนังงูของเด็กหญิงเขาก็เดาว่าน่าจะทำมาจากหนังงูเหลือมั์ ดังนั้นยามที่นางแค่พูดว่าพี่ชายก็ราวกับกำลังะโชื่อของเ้าเด็กหนุ่มนั่นออกมา
ไม่แปลกใจที่ทุกครั้งยามที่เขาพบเ้าเด็กนั่นจะรู้สึกไม่สงบนัก ไม่พูดไม่จาสักคำก็มองคนทะลุปรุโปร่งเสียแล้ว ใครจะอยู่ด้วยแล้วสบายใจได้กัน
“ไม่เป็ไรหรอกท่านอาจารย์ น้าหลัวบอกว่าทุกคนย่อมมีความลับที่ยากจะเอ่ยถึงทั้งนั้น ดังนั้นจึงได้พูดปด เพียงแต่องค์หญิงงามจริงหรือไม่เ้าคะท่านอาจารย์ งดงามกว่าข้าหรือไม่” เด็กหญิงยิ้มแปล้พร้อมกับถามราชครู
เมื่อเขาตั้งใจพินิจเ้าเด็กปีศาจก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไร เ้าเด็กตรงหน้าตนนั้นทั้งน่ารักและงดงามนัก ผมที่ชี้โด่ชี้เด่บนศีรษะนางก็ทำให้คนมองรู้สึกเบิกบาน องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าก็นับว่าหมดจด เมื่อถึงเวลาแล้วนางย่อมจะต้องเป็สตรีที่งดงามอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้โดยปกติเขาจะเห็นว่านางทั้งดื้อเละซนราวกับปีศาจ ทว่าบัดนี้กลับเพิ่งพบว่าแท้จริงแล้วนางช่างงดงามนัก
แน่นอนว่ารูปโฉมของนางนั้นไม่แพ้องค์หญิงแม้แต่น้อย
เพียงแต่เด็กหญิงนั้นใส่เพียงชุดยาวสีเทากับเข็มขัดเส้นเล็ก ด้านในก็ใส่กระโปรงเพื่อความสะดวกในการขี่ม้า ท่อนล่างสวมรองเท้าหนังวัวคู่หนึ่ง สะพายกระเป๋าหนังงู ผมบนศีรษะชี้โด่ชี้เด่ราวกับลูกนก ดูแล้วช่างน่ารักเกินบรรยาย
พระพักตร์ขององค์หญิงน้อยนั้นแน่นอนว่าเลอโฉม ด้วยเพราะฮองเฮาจ้าวนั้นพระพักตร์หวานละมุน
ทว่าเมื่อตั้งใจมองให้ละเอียด เ้าเด็กปีศาจตรงหน้านี้กลับงดงามองอาจยิ่งกว่า
ใช่แล้ว ในสมองของราชครูพลันปรากฏคำว่า “องอาจ” สองพยางค์นี้ขึ้นมา
เขาส่ายหน้าติดกันหลายหน เขาโดนเ้าเด็กนี่อำเล่นเสียจนอเนจอนาถเกินไปแล้ว
“เฉินโย่ว ตัวตนเ้าในใจของญาติพี่น้องนั้นย่อมเป็องค์หญิงของพวกเขา ทั้งยังเป็องค์หญิงที่งดงามที่สุด” ราชครูเอ่ยตอบ
เฉินโย่วได้ยินก็สะบัดหน้าหลายที่ติดกัน
“ไม่ใช่ๆ ข้าเป็ผู้ใหญ่บ้านตัวน้อย ไม่ใช่องค์หญิง”
เฉินโย่วเดินไปก็ล้วงผลไม้สองลูกออกจากกระเป๋าใบน้อย จากนั้นกัดแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ
จากนั้นก็บีบมือให้เมล็ดมันแตกออกจนเห็นเมล็ดอ่อนด้านใน
ลูกหนึ่งส่งเข้าปากตนเอง อีกลูกมอบให้ท่านอาจารย์ แล้วจึงยื่นมือกลับไปจูงมือท่านอาจารย์เช่นเดิม
“ท่านอาจารย์ ท่านชอบเล่นไฟหรือไม่ ตอนท่านยังเล็กยามเล่นไฟแล้วถูกครอบครัวตีหรือไม่” หัวข้อสนทนาของเฉินโย่วเปลี่ยนเร็วนัก จากองค์หญิงกลายมาเป็ไฟ
ราชครูนั้นยังคิดอยู่เลยว่าจะอธิบายเื่นางฟ้าอย่างไรดี
บัดนี้จึงหยิบเมล็ดอ่อนใส่ปากแล้วเคี้ยวหนุบหนับ เมล็ดอ่อนมีกลิ่นหอมน้ำมันอ่อนๆ ไม่มีรสหวาน มีแค่ความขมจางๆ ทว่ากลับเอร็ดอร่อยนัก
ตอนเขายังเด็กงั้นหรือ เขาจำไม่ได้เสียแล้ว ทว่ายามเขายังเด็กนั้นย่อมไม่เคยเล่นไฟอย่างแน่นอน
“ข้าไม่เคยเล่น”
ราชครูเคยเห็นไฟบนแท่นบูชามาก่อน
มันช่างร้อนแรงนัก
ตระกูลจ้งนั้นสามารถตัดสินเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายได้จากการมองเปลวไฟ
ไฟนั้นล้วนแต่ถูกใช้ในเื่จริงจัง แน่นอนว่าไม่มีทางใช้ในการเล่น
กระทั่งเื่ถูกท่านพ่อท่านแม่ตีนั้นก็ไม่เคย แต่ก็...อาจจะเคยก็ได้
ในความทรงจำที่แสนเลือนรางของเขา เขานั้นถูกส่งเข้าวังไวนัก แม้เขาจะไม่อยากเข้าไปสักนิด จึงทั้งร้องทั้งโวยวาย สุดท้ายจึงโดนตีเข้ายกหนึ่ง
เขาโดนทุบตีอย่างโหดร้ายจนสลบไป เมื่อตื่นขึ้นมาก็อยู่ในวังเสียแล้ว
คงจะเป็เพราะโดนตีรุนแรงเกินไป จึงทำให้เขาลืมเื่นี้ไปเสียแล้ว
ยามนี้เมื่อได้ยินเด็กหญิงกล่าวขึ้นมา ก็คิดขึ้นได้ว่าเขาเองก็มี่เวลาที่ร้องไห้โวยวายอย่างจนตรอกเช่นกัน
แท้จริงแล้วการหนีเอาชีวิตรอดนี้ไม่ใช่การจนตรอกครั้งแรกของเขา
“ท่านอาจารย์ ท่านกำลังยิ้มรึ อันที่จริงท่านก็ยิ้มเป็นี่นา แม้ท่านจะยิ้มแล้วดูชรากว่าเดิม แต่ยามท่านยิ้มแล้วกลับดูน่าสนิทสนมขึ้น”
ราชครูเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหญิง ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับผมที่ชี้ไปคนละทิศละทางของนางทีหนึ่ง
เหมือนกับว่าั้แ่เจอกันครั้งแรก เขาก็อยากทำเช่นนี้แล้ว
ที่แท้มันช่างนุ่มนัก
ทว่าชี้ฟูไปเสียหน่อย
ราชครูพลันหัวเราะลั่น
เฉินโย่วมองท่านอาจารย์ของตนราวกับกำลังมองคนโง่งม
รู้สึกว่าท่านอาจารย์ของตนช่างน่าสงสารเสียจริง ไม่เคยเล่นไฟ ยามระลึกถึงเื่ที่เขาถูกตีในวัยเด็กก็ยังยิ้มออกมาเสียนี่
เฉินโย่วจึงตัดสินใจแล้วว่าจะพาท่านอาจารย์ไปเล่นไฟ
อืม
เช่นนั้นราชครูจึงถูกเด็กน้อยจูงมือเดิน ผ่านทั้งถนนกระดูก ผ่านทั้งสะพานเถาวัลย์บนหน้าผา จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำ
ราชครูคิดไม่ถึงว่าูเาลูกนี้จะมีถ้ำใหญ่ถึงเพียงนี้ ช่างน่าทึ่งนัก
ถ้ำนั้นใหญ่โตมโหฬารจนแม้แต่ม้าเป็ขบวนก็ผ่านได้
เดินอยู่ด้านในสักระยะหนึ่งก็มีตะเกียงกระดูกแขวนอยู่
ช่างเหนือจากที่คาดไว้ ยามเขาเดินไปก็ไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย
เขารู้สึกว่าในอุ้งมือตนนั้นยังมีมืออุ่นๆ คู่น้อยอยู่
ตลอดทางก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของนางประเดี๋ยวก็ไฟ ประเดี๋ยวก็องค์หญิง ประเดี๋ยวก็พูดเื่เ้ามืด เ้าเสี่ยวอวี้ เ้าก้าง เสียงเล็กๆ นั้นดังขึ้นราวกับมีเื่ให้พูดไม่รู้จบ ฟังดูเบิกบานนัก
“เ้าจะพาอาจารย์ไปที่ใด” บัดนี้นั้นเดินมาไกลราวกับไกลแสนไกล จนราชครูรู้สึกเหนื่อย จึงอดไม่ได้ที่จะขัดจังหวะการเล่าเื่ของเด็กหญิงแล้วถามขึ้น
“ใกล้แล้ว อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว ท่านอาจารย์เห็นแสงรำไรตรงหน้านั้นหรือไม่” เฉินโย่วน้อยกล่าวออกมาอย่างไม่เหนื่อยหอบ
ราชครูมองตามเด็กหญิงก็เห็นแต่ความมืดมิด มีแสงที่ไหนกัน
ทว่าเมื่อมองเด็กหญิงก็เห็นว่านางนั้นยืนยันว่ามีแสงจริงๆ เขาจึงได้แต่พยักหน้าตามอย่างกระอักกระอ่วน
คิดในใจว่าตนคงไม่ได้ตาฝ้าฟางด้วยความชราถึงเพียงนั้นกระมัง
เฉินโย่วน้อยจึงถลึงตาขึ้นมาอีกครั้ง
ท่านอาจารย์โกหกแล้ว เขาต้องมองไม่เห็นเป็แน่
ราชครู.......
เมื่อเดินไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เดินมาถึงจุดที่เด็กหญิงบอกว่ามีแสงสว่าง ราชครูนั้นแทบจะสบถด่า เดินมาไกลถึงเพียงนี้ ซ้ำยังต้องผ่านทางคดเคี้ยว นางเห็นแสงสว่างเป็เช่นนี้หรืออย่างไร เขาย่อมต้องโดนเ้าเด็กนี่หลอกอีกแล้วเป็แน่
เดินมาจนถึงโพรงถ้ำที่อยู่สูงจากพื้นดินนัก เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นท้องฟ้าสีคราม
ราชครูยืนอยู่ตรงนั้น มองท้องฟ้าทรงกลมๆ ทันใดก็คิดถึงวลีหนึ่งขึ้นมา ‘มองท้องฟ้าจากก้นบ่อ’
“ท่านอาจารย์ ท้องฟ้ากลมๆ นี่สวยมากใช่หรือไม่” เฉินโย่วยืนอยู่ด้านข้างก็กำลังแหงนมองพร้อมถามขึ้น
เอาเถิด ราชครูพลันรู้สึกขบขันขึ้นมา
แม้จะชัดเจนนักว่าคำที่เขากล่าวนั้นแฝงไปด้วยความหมายลบ ทว่าเมื่อเ้าเด็กนี่พูดขึ้นมา เขาก็พลันรู้สึกอบอุ่นและเบิกบานใจ
“น่ามองนัก”
ราชครูพยักหน้า
“ยังมีที่สวยกว่านี้อีก” ที่เฉินโย่วลากท่านอาจารย์มาไกลถึงเพียงนี้ก็เพื่อให้เขาได้ตื่นตาตื่นใจเสียหน่อย
จากนั้นจึงเห็นเฉินโย่วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหนังงูของนางแล้วหยิบหินเหล็กไฟที่นางแอบไว้ออกมา พี่เสี่ยวอู่เป็คนให้นางมา
ราชครูก็ได้แต่ยืนรอชมการแสดงจากเด็กหญิง
ก็เห็นว่าในมือนางถือหินเหล็กไฟ ใช้มือคู่น้อยเช็ดเบาๆ จากนั้นก็โยนลงบนพื้น ก็เห็นว่าพื้นที่มืดมิดเมื่อครู่ค่อยๆ มีไฟลุกขึ้นมา เปลวไฟสีฟ้าราวกับดอกไม้สดที่ผลิบานค่อยลามลุกขึ้นสูง
ส่วนเด็กหญิงนั้นยืนอยู่ตรงกลางพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า