ตอนที่8 แม่กับลูก
รุ่งอรุณในป่ารัตติกาลนิรันดร์…
แม้ไร้แสงอาทิตย์และเสียงนกร้องเหมือนโลกภายนอก
แต่น่าแปลก—ในเช้าวันนี้ ทุกอย่างดู “เบาลง” กว่าทุกวัน
หมอกสีเทาอ่อนลอยต่ำ กระทบเงาใบไม้ที่ไหวระริกเบา ๆ
หยดน้ำค้างสะท้อนแสงจากปราณเร้นลับ คล้ายแสงแดดยามเช้า
และกลางผืนนั้น—เด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเดินช้า ๆ ไปตามทาง
ไป๋เฉินเดินอย่างเงียบ ๆ
ไม่เร็ว ไม่ช้า…
แต่เป็การเดินที่ “รู้” ว่าปลายทางคือที่ใด
และเมื่อเขาเดินผ่านม่านหมอก
ร่างของซือเหยียนก็นั่งรออยู่ตรงเนินหินริมลำธาร
ที่ซึ่งล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงใหญ่—หนึ่งในไม่กี่แห่งของป่าที่เงียบสงบและอ่อนโยนที่สุด
“มาแล้วรึ”
ซือเหยียนพูดขึ้นโดยไม่หันกลับไปมอง
ไป๋เฉินหยุดเท้าอยู่ด้านหลังนาง รออยู่อึดใจหนึ่งจึงนั่งลงข้าง ๆ
ไม่มีคำทักทาย ไม่มีเสียงเรียก
…แต่ไม่มีความห่างเหินใดอยู่ในนั้นเลย
ทั้งสองนั่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่
เสียงลำธารไหลรินกับลมหายใจเบา ๆ ของคนทั้งคู่กลายเป็เสียงเดียวกัน
ก่อนที่ซือเหยียนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ
“ข้าจะยอมให้เ้าไป…”
ไป๋เฉินเบือนหน้ามามองทันที
ดวงตาคู่นั้นเบิกนิด ๆ …ไม่ใช่เพราะใ แต่เพราะไม่คาดคิดว่านางจะพูดออกมาเช่นนี้ “ง่ายดาย” ขนาดนั้น
“แต่…”
เสียงของซือเหยียนนิ่ง เรียบ แต่ไม่เ็าเหมือนเคย
“ข้ายังไม่พร้อมให้เ้าไปในตอนนี้”
ไป๋เฉินไม่พูดอะไร
เพียงแค่มองนางอยู่อย่างนั้น รอคำพูดถัดไป
“อยู่กับข้าอีกหนึ่งเดือน” นางพูด
“แค่อีกหนึ่งเดือนเท่านั้น…”
นางหันหน้ามามองเขาในที่สุด
ใบหน้านิ่งขรึมไม่แสดงความอ่อนแอใด
แต่ในแววตานั้น—กลับเหมือนผู้หญิงธรรมดาที่ “ยังไม่อยากเสียลูกชายไปในวันนี้”
ไป๋เฉินยังคงเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“...ข้าจะอยู่”
ซือเหยียนหันหน้ากลับไปยังลำธารเบื้องหน้า ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงถอนหายใจ แต่แววตาของนาง…แ่ลงอย่างเห็นได้ชัด
“ใน่เวลานี้…”
“ข้าจะคลายผนึกของเ้าอีกส่วน”
ไป๋เฉินเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ถาม
ซือเหยียนอธิบายด้วยเสียงเรียบ ๆ
เหมือนบอกความจริงธรรมดา
“ผนึกของเ้าถูกฝังไว้ในกระดูก ข้าใช้เส้นใยแห่งแก่นพิษปิดกั้นมันไว้ั้แ่แรกเกิด
หากคลายเร็วเกินไป—ร่างของเ้าจะถูกกลืน”
“แต่บัดนี้…เ้าพอจะรับได้แล้ว”
ไป๋เฉินพยักหน้าอีกครั้ง ไม่ได้ดีใจ ไม่ตื่นเต้น ราวกับเขารู้ดีว่า…แม่ของเขาจะไม่ทำหากไม่มั่นใจ
“แล้ว…หลังจากคลายผนึก” เขาถาม “ข้าต้องฝึกอะไรเพิ่มเติมหรือไม่”
“ไม่” ซือเหยียนตอบทันที “เดือนนี้…ไม่มีการฝึก”
“อา…”
ไป๋เฉินเลิกคิ้วนิด ๆ อย่างไม่แน่ใจ
“แล้ว...จะให้ข้าทำอะไร?”
ซือเหยียนหันกลับมามองเขาอีกครั้ง
“เดินเล่น กินข้าว พักผ่อน—ทำทุกอย่างที่มนุษย์แม่ลูกทำกัน”
“…”
“เ้าไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ข้าศึกษามาแล้ว”
นางเว้นจังหวะเล็กน้อย “…จากกิเลนโลกันตร์”
ไป๋เฉินหลุดหัวเราะเบา ๆ
“น้ากิเลนเอาหนังสือเล่มไหนมาให้ท่านแม่อ่าน?”
“มันไม่รู้หนังสือ” ซือเหยียนพูดเรียบ ๆ
“แต่มันเคยจับมนุษย์ได้คนหนึ่ง...แล้วสอบถาม”
ไป๋เฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ
“แล้วเขารอดกลับไปหรือไม่?”
ซือเหยียนส่ายหน้า
“ไม่…มันลืมปล่อย”
ไป๋เฉินหลุดหัวเราะอีกครั้ง เสียงหัวเราะนั้นเบา คล้ายลมเฉียดผ่านผิวน้ำ แต่มากพอที่จะทำให้ริมฝีปากของซือเหยียน…กระตุกเล็กน้อย
ไม่ถึงขั้นยิ้ม แต่ก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้น ทั้งสองนั่งเงียบกันครู่ใหญ่
ก่อนซือเหยียนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ
“วันนี้…ข้าจะพาเ้าไป ‘เดินตลาด’ ”
ไป๋เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ตลาด?”
“มนุษย์คนนั้นมันบอกว่า มารดาต้องพาบุตรเดินตลาดอย่างน้อยเดือนละครั้ง” ซือเหยียนว่าเสียงนิ่ง
“...เพื่อกระชับความสัมพันธ์แม่ลูก”
“ท่านแม่หมายถึงตลาดมนุษย์?”
“ไม่” ซือเหยียนตอบเรียบ
“ตลาดกลางป่า—ข้าสั่งพวกมันให้จัดตั้งเมื่อวาน”
ไป๋เฉินกระพริบตา
“พวกมัน?”
“อสูรระดับล่างทั้งหมดในป่า…รวมถึงราชันย์ทั้งแปด”
ไป๋เฉินนิ่งไปนิดหนึ่ง
ก่อนจะถอนหายใจบาง ๆ
“…ท่านแม่จะใช้ราชันย์ทั้งป่าตั้งตลาดให้ข้าเดินเล่น?”
“ใช่”
“…”
“…หรือมันไม่พอ?”
“ไม่ ๆ ข้าไม่ได้ว่าอะไร” ไป๋เฉินยกมือขึ้น “ข้าแค่…ประหลาดใจ”
“มนุษย์แม่บางคนยังลงทุนทำอาหารเอง” ซือเหยียนว่า
“ข้าแค่ใช้ ‘ราชันย์’ บ้าง คงไม่มากเกินไป”
“…ท่านแม่เข้าใจผิดคำว่า ‘พอดี’ ไปไกลมากแล้ว”
ซือเหยียนไม่ตอบ
นางเพียงลุกขึ้นยืน แล้วสะบัดแขนเบา ๆ
ม่านหมอกเบื้องหน้าคลี่ออกเป็ทางเดินทอดยาว
ลมพัดหอบกลิ่นหอมบางเบาของสมุนไพรและผลไม้หลากชนิด
พร้อมเสียงจอแจเบา ๆ ที่ไม่เคยปรากฏในป่ารัตติกาลนิรันดร์มาก่อน
ไป๋เฉินมองภาพนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามนางไปอย่างเงียบ ๆ
ในใจก็ไม่รู้ว่าตลาดที่จัดโดยราชันย์อสูรทั้งแปดมันจะหน้าตาแบบไหน…
แต่เขารู้แน่ ๆ ว่า—
มันจะเป็ตลาดที่ไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิต
ทางเดินที่ทอดผ่านหมอกเปิดออกเรื่อย ๆ
ต้นไม้สูงใหญ่แหวกทางเหมือนมีใครสั่งการล่วงหน้า
แม้จะยังไม่เห็นตัวอาคารหรือแผงใด ๆ—แต่เสียงจอแจเบา ๆ และกลิ่นหอมจาง ๆ ก็ดึงดูดใจอย่างประหลาด
ไป๋เฉินเดินข้างซือเหยียนโดยไม่พูด
บางครั้งเงยหน้ามองนาง บางครั้งก็เหลือบมองรอบทาง
จนกระทั่งทั้งสองเดินผ่านม่านหมอกสุดท้าย
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า…
“...นั่นมันตลาดจริง ๆ หรือ?”
ไป๋เฉินถามเสียงเรียบ แต่ในใจรู้สึกเกินกว่าคำพูด
เขาเคยได้ยินเื่ตลาดมาจากท่านน้าวิหคแต่เขาเองก็ไม่เคยเห็นของจริง แต่ตลาดจริงคงไม่ต่างจากนี้สักเท่าไหร่
ตรงหน้าคือที่โล่งกว้างใต้เรือนไม้ั์หลายต้น
มีแผงเล็ก ๆ จัดเป็แถวยาว ทั้งจากหิน ใบไม้ หรือกระดองสัตว์อสูร
อสูรหลายตน—ทั้งขนปุกปุย สีสันฉูดฉาด หรือมีรูปร่างประหลาด—กำลังนั่งขายของอย่างขะมักเขม้น
บางตนะโเชิญชวนลูกค้า (แม้ลูกค้าจะมีแค่ “นายน้อย” คนเดียว)
บางตนลูบขนตัวเองให้ดูเงางามราวกับขายตัวเองเสียอย่างนั้น
และที่น่าใกว่าคือ…
“นั่น…น้าพยัคฆ์คราม?”
ไป๋เฉินชี้เบา ๆ ไปยังแผงตรงกลาง
ซึ่งมีพยัคฆ์ร่างใหญ่กำลัง…ทอดเนื้อ?
“ข้าก็ไม่รู้ว่ามันหัดทำอาหารตอนไหน” ซือเหยียนพูดเรียบ ๆ
“...หรือเขาแอบไปเรียนกับลุงเต่าา?” ไป๋เฉินกระซิบ
“เต่าอยู่ทางซ้าย ขายยาอมปราณอสูร” ซือเหยียนพยักหน้าเบา ๆ ไปทางแผงหินอีกแผง
“ข้าเห็นมันเขียนป้ายแปะไว้ว่า ‘ของแท้หมื่นปี ไม่ถูกใจยินดีคืนเงิน’ ”
ไป๋เฉินกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว
เดินเข้าไปใกล้แผงที่มีราชันย์อสูรนั่งอยู่หลายตน
ราชสีห์วายุเป่าใบไม้ทำเสียงเพลง
จิ้งจอกเก้าหางปัดหมอนลวงตาเป็รอบที่สิบ
วิหคะโบกขนนกให้ไฟลุกเล่น ๆ อย่างใจเย็น
“ข้าไม่คิดเลยว่าท่านแม่จะทำให้ข้าดู ‘ตลาด’ ได้ขนาดนี้” ไป๋เฉินพูดเสียงเบา
“ข้าเคยทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้…” ซือเหยียนตอบเรียบ
“…แต่ไม่เคยทำสิ่งใด ‘เพื่อเ้า’ เลย นี่คือครั้งแรก”
ไป๋เฉินชะงัก
ก่อนจะเบนหน้าหนีเล็กน้อย เพื่อซ่อนรอยยิ้มมุมปากที่ไม่อยากให้เห็น
ทันใดนั้น วานรอัสนีก็โผล่มาจากหลังต้นไม้
พร้อมกับชูสิ่งหนึ่งขึ้นเหนือหัว
“ไม้เท้าสายฟ้ารุ่นใหม่! รุ่นที่สี่! วิ่งแล้วมีเสียงปุ้งปั้ง วิ่งเร็วขึ้นสาม่ตัว!”
“ปีที่แล้วเ้าก็พูดแบบนี้…” จิ้งจอกพึมพำ
“แต่มันก็ะเิอยู่ดี…”
“ปีนี้ไม่ะเิ! ข้าทดลองแล้วกับต้นไม้สามต้น!”
“…นั่นเรียกว่าทดลองหรือ?”
ไป๋เฉินเดินเข้าไปดูของแต่ละชิ้นแบบเงียบ ๆ
แต่สีหน้าของเขาเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อผ่านไปถึงแผงสุดท้าย
เต่าายื่นกล่องหินขัดเกลาสีเขียวมาให้อย่างเงียบงัน
“นี่คือเม็ดยาเสริมปราณสำหรับเดินทางไกล” มันพูดช้า ๆ
“ข้าผสมสมุนไพรจากเขตเหนือสุดใส่ลงไปเพื่อให้ร่างกายเ้าไม่เหนื่อยง่าย”
ไป๋เฉินรับมาเงียบ ๆ ก่อนจะกล่าวเบา ๆ
“ขอบคุณครับ ท่านน้าเต่า”
เต่าากระพริบตาสองที…แล้วพยักหน้าอย่างภาคภูมิ
เมื่อเดินกลับมาถึงด้านหน้าตลาด
ซือเหยียนหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หันมาทางเขาแล้วถามอย่างห้วน ๆ
“เป็อย่างไร ตลาดของอสูร”
ไป๋เฉินสบตานางนิ่ง ๆ
ก่อนจะพูดเบา ๆ
“…ข้าชอบมัน”
ซือเหยียนไม่ตอบ
เพียงแต่มองเขาอยู่แบบนั้น…แล้วพยักหน้าช้า ๆ หนึ่งครั้ง
วันนี้ นางไม่ได้ยิ้ม
ไม่ได้จับมือเขาเหมือนคืนก่อน
แต่นาง “อยู่ตรงนี้” ทั้งวัน
อยู่ทุกก้าว ทุกทางเดิน
…โดยไม่พูดอะไรมาก
แต่ไม่ปล่อยให้เขา “เดินคนเดียว”
และเพียงแค่นั้น—ก็เพียงพอแล้ว
.
.
.
.
ที่ราบกลางใจป่า
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่สุดในป่ารัตติกาลนิรันดร์—คือสถานที่ที่ไม่มีอสูรใดกล้าเหยียบย่างหากไม่ได้รับอนุญาต
คืนนี้ ทั้งป่าถูกสั่งห้ามเคลื่อนไหว
แม้แต่วานรอัสนี…ยังต้องปีนยอดไม้ไปนั่งดูอยู่ห่าง ๆ
กลางพื้นที่ล้อมด้วยเถาวัลย์สีเงิน
ไป๋เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่ในวงแสงอ่อนจาง
ร่างเปลือยท่อนบนของเขาเผยให้เห็นเส้นปราณจำนวนมากที่เชื่อมโยงจากจุดชีพจรทั่วร่าง—แต่ละจุดล้วนมี "จุดมืด" ขนาดเท่าปลายนิ้วฝังอยู่ในกระดูก
นั่นคือผนึกที่ซือเหยียนฝังไว้ั้แ่วันแรกที่เขาเกิด
และคืนนี้—บางส่วนของมันจะถูกปลด
ซือเหยียนยืนอยู่เื้ัเงียบ ๆ
เส้นผมขาวพลิ้วตามสายลม
สองมือยกขึ้นช้า ๆ ก่อนแตะกลางหลังของไป๋เฉิน
แผ่นหลังของเด็กหนุ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย
แต่เขาไม่พูด ไม่คราง ไม่ขยับ
"อสูรกลืน์"
สิ่งที่ผนึกมันไม่ใช่ผนึกธรรมดา…แต่มันคือเส้นใยิญญาที่ซับซ้อนยิ่งกว่าวงแหวนพันปี
แค่การเปิดเส้นแรก
เสียง "ปึก" เบา ๆ ก็ดังขึ้นในร่างของไป๋เฉิน
ตามด้วยลำแสงดำสนิทที่ไหลย้อนขึ้นมาตามกระดูกสันหลัง
ซือเหยียนขยับมือ เปลี่ยนท่าเรื่อย ๆ ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด
ในแววตานั้นไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย—แต่มองลึกลงไปจะเห็นแววปวดร้าวบางเบาซ่อนอยู่
"อีกเพียงสามเส้น…"
เสียงของนางเบาเหมือนลมผ่าน
แต่ไป๋เฉินกลับได้ยินทุกคำ
แม้จะปวดจนเหงื่อไหลท่วม—เขาก็ไม่พูดอะไร
ลำแสงสีดำไหลวนทั่วร่างของไป๋เฉิน
ในจังหวะนั้นเอง…หนึ่งในเส้นใยที่ฝังลึกที่สุดบริเวณชายโครง
เกิดการสั่นะเืขึ้นเล็กน้อย
“…แตกออกเร็วเกินไป” ซือเหยียนขมวดคิ้ว
นางรีบชักมือกลับ—แต่ไม่ทัน
เสียง “แกร๊ก!” เบา ๆ ดังขึ้นในร่างของเด็กหนุ่ม
พร้อมกับกระแสพลังสีดำไหลทะลักออกมารอบตัว
ม่านหมอกรอบลานปั่นป่วนทันที
ไอสังหารบางอย่างที่แฝงในพลังนั้นทำเอาอสูรระดับสูงที่แอบสังเกตการณ์อยู่รอบ ๆ ต้องถอยหนีทันทีโดยไม่รู้ตัว
“…นี่คือพลังกลืนกินที่ถูกผนึกไว้” เต่าาพึมพำจากแนวต้นไม้ไกล ๆ
“แม้เพียงเสี้ยวเดียว…ก็เหมือนคำสาปที่ดูดกลืนทุกสรรพสิ่ง”
ซือเหยียนยกมืออีกครั้ง
เส้นใยบางจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกจากฝ่ามือ ซึมเข้าสู่จุดรอยแตกของผนึก
ดึงพลังที่ไหลทะลักออกมาสะกัดกั้นเอาไว้
พลังสีดำสะท้อนประกายในดวงตาสีอำพันของนาง
แต่นางไม่หวั่นไหว—ไม่แม้แต่จะถอยหลังสักก้าว
จนกระทั่งผ่านไปอีกหลายสิบลมหายใจ
ทุกอย่างจึงค่อย ๆ สงบลง
ลำแสงสีดำหดกลับ
เส้นใยสีเงินปิดแน่นอีกครั้งเหนือจุดที่แตกร้าว
และร่างของไป๋เฉินที่ยังนั่งนิ่งอยู่ในสมาธิ…หายใจออกช้า ๆ หนึ่งครั้ง
ซือเหยียนย่อตัวลง
วางมือบนไหล่ของเขาเบา ๆ
“เ้าอดทนได้ดี”
ไป๋เฉินลืมตาขึ้น
ไม่มีคำโอ้อวด ไม่มีเสียงโอดครวญ
เขาเพียงพยักหน้าช้า ๆ
“ผนึกเส้นที่คลายไปวันนี้…จะทำให้เ้าใช้พลังกลืนกินได้บางส่วน”
ซือเหยียนบอก
“แต่อย่าใช้มันพร่ำเพรื่อ…แม้ในยามล่าอสูร”
“ทำไม?” ไป๋เฉินถาม
“เพราะพลังนั้น…จะเปลี่ยนเ้า” นางตอบทันที
“ถ้าเ้าใช้มันโดยไม่ควบคุม—เ้าจะไม่ใช่ตัวเ้าอีกต่อไป”
ไป๋เฉินนิ่งไปนิดหนึ่ง
ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“เข้าใจแล้ว ท่านแม่”
ซือเหยียนหลุบตาลง…แล้วลูบศีรษะเขาเบา ๆ
---
ค่ำคืนนี้จบลงโดยไม่มีคำพูดใดอีก
แต่ระหว่างสองเงาที่นั่งอยู่เคียงกันใต้ต้นไม้ใหญ่—ไม่มีช่องว่างเหลืออีกแล้ว
ผนึกหนึ่งถูกคลาย
และหัวใจของแม่คนหนึ่ง…ก็เปิดกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้